“ โออ นั่นน่ะหรือคือผู้สืบสายเลือดของผู้กล้า ท่านเอลิเซีย ราฟาแกลิออน ที่เขาร่ำลือกันนั่น ”
“ เคยมีเกียรติได้พบเห็นอยู่ครานึงตอนท่านยังเล็ก มาปัจจุบันนี่ยิ่งงดงามมากเข้าไปใหญ่เลยเชียว ยังไม่นับอากัปกิริยาอันไร้ซึ่งช่องโหว่ปราศจากที่ตินั่นอีก….เห็นเช่นนี้แล้วก็พอจะทำใจยอมรับเรื่องเล่าสุดจะเชื่อที่ว่าสามารถไต่ขึ้นมาถึงอาชีพสูงสุดตั้งแต่ยังมีอายุเพียง 16 ปีนั่นได้หน่อย ”
เมืองป้อมปราการบัสเคิลเบียร์
นั่นคือเมืองปราการขนาดใหญ่ยักษ์ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของนักผจญภัย และภายในคฤหาสน์ซึ่งโอ่โถงอลังการมากเป็นอันดับต้นๆของเมือง ก็กำลังถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้อันแสนหรูหราอยู่
ไม่ว่าใครก็ล้วนสวมเครื่องแต่งกายอันงามสง่าควบคู่ไว้ด้วยสีหน้าอันเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ มองเห็นได้ชัดเจนในปราดเดียวเลยว่าเป็นการรวมตัวพบหน้ากันระหว่างกลุ่มขุนนางและบุคคลที่ถูกจัดประเภทอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูง
และผู้ที่ส่องประกายด้วยความงดงามเลอโฉมมากขึ้นอีกระดับอยู่ ณ ศูนย์กลางของงานเลี้ยงแสนหรูหราแห่งนี้ก็คือหญิงสาวผู้หนึ่ง
ผู้สืบสายเลือดของผู้กล้า——-เอลิเซีย ราฟาแกลิออน
สีหน้าอันนิ่งเฉยฉายให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจต่อโลก ผนวกเข้ากับแววตาที่ราวกับปฎิเสธสิ่งรอบตัวนั่น ล้วนไม่ใช่กิริยาท่าทางที่เหมาะสมควรต่อสถานที่ซึ่งต้องวนเวียนมีปฎิสัมพันธ์กับผู้คนเอาเสียเลย
แต่รูปโฉมอันงดงามประดุจดั่งดาบเลอค่า กับดวงวิญญาณที่ไต่เต้าขึ้นมาถึงอาชีพสูงสุดนั่นก็ทำการปลดปล่อยตัวตนของเธอออกมาอย่างท่วมท้น ดึงดูดสายตาทั้งมวลภายในสถานที่ให้จับจ้องมองมาไม่อาจละ
ทว่า ที่สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมองตรงไปยังเอลิเซียนั้น ไม่ใช่ว่ามีสาเหตุเพียงเพราะตัวเธอเพียงคนเดียวแต่อย่างใด
เพราะมีผู้เป็นเลิศ ทั้งสามคน ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้สืบสายเลือดของปาร์ตี้ผู้กล้าคอยยืนกระหนาบอยู่ราวกับคอยเฝ้าปกป้องคุ้มครองเอลิเซียด้วยต่างหาก นั่นล่ะคือปัจจัยหลักที่ทำให้ความสนใจถูกเพ่งเล็งตรงเข้ามาหาเธอ
“ จะท่านไหนๆก็ช่างยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน…….นั่นน่ะหรือปาร์ตี้ผู้กล้าของยุคสมัยนี้ ”
“ ไม่แปลกเลยที่พรรคซึ่งได้รับการสนับสนุนคุ้มครองอยู่โดยท่านๆเหล่านั้นจะเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ ศึกแก่งแย่งอำนาจในเที่ยวนี้เห็นทีจะได้กลายเป็นการห้ำหั่นที่รุนแรงดุเดือดกว่าคราไหนๆเป็นแน่แท้ ”
ปาร์ตี้ดำเนินไปอย่างชื่นมื่น โดยมีพวกเอลิเซียเป็นศูนย์กลางของการสนทนาตั้งแต่ต้นจนจบ
ผู้ที่อยู่ภายในที่แห่งนี้ เกือบทั้งหมดต่างเป็นเหล่าคนหนุ่มที่ยังไม่ได้ถูกแต่งตั้งเป็นทายาทสืบทอดตระกูลก็จริงอยู่ แต่ไม่ว่าจะเป็นใครๆก็ล้วนได้รับการสั่งสอนอบรมในฐานะชนชั้นสูงมากันหมดไม่มีกรณียกเว้น
ไม่มีคนเขลาที่ดื่มด่ำเมามายอยู่กับรสเหล้าเลยแม้แต่รายเดียว รอยยิ้มเสียงหัวเราะแจ่มใสดังกังวานขึ้นทั่วตรงโน้นทีตรงนี้ที
แต่ในขณะเดียวกันนั้น—–ก็ไม่มีใครเลยซักคนในที่นี้ที่ยิ้มร่าไปถึงดวงตาด้วย
ซึ่งก็แน่แหงอยู่แล้ว
ก็คฤหาสน์แห่งนี้คือสถานที่ซึ่งเหล่าว่าที่ทายาทรายถัดไปของตระกูลขุนนางต่างๆ แห่งอาณาจักรอัลเมเรีย—อันเป็นรัฐที่มีขนาดยิ่งใหญ่มากที่สุดในทวีป—มารวมตัวพบหน้าเจอะเจอกันอยู่นี่นา
กล่าวคือ มีพรรคขนาดใหญ่ ทั้งสาม ที่ห้ำหั่นแก่งแย่งความเป็นใหญ่ภายในอาณาจักร—– <<ขุมกำลังหลักทั้ง 3>> มาพบหน้ากันครบถ้วนอยู่ภายในสถานที่แห่งนี้เพียงแห่งเดียวนั่นเอง
ในช่วงเวลานี้ที่ผู้สืบสายเลือดของผู้กล้ามาพักอาศัยอยู่ภายในบัสเคิลเบียร์เป็นเวลานาน เหล่าผู้มีอำนาจจากทุกสารทิศก็จะถูกดึงดูดให้มารวมตัวกันอยู่ภายในเมืองป้อมปราการแห่งนี้ที่แปลงโฉมกลายเป็นสถานที่เปิดศึกแก่งแย่งอำนาจราวกับโลกขนาดย่อส่วน
และศึกแก่งแย่งอำนาจดังกล่าวนั่น ก็เป็นการปะทะที่จะปะทุขึ้นโดยมีใจกลางคือ <<ขุมกำลังหลักทั้ง 3>> นี่อยู่เสมอๆทุกยุคทุกสมัย
หากสามารถสำแดงอำนาจที่พรรคมีอยู่ในครอบครองให้เห็นชัดเป็นที่ประจักษ์ได้ภายในเมืองแห่งนี้ที่เป็นศูนย์รวมของผู้คนจากทั่วทวีป ในยามที่พวกตนรับช่วงตระกูลต่อ อิทธิพลของพรรคที่สังกัดอยู่ก็จะยิ่งทรงพลังมากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้เหล่าว่าที่ทายาทรายถัดไปของตระกูลขุนนางจึงพากันตระเตรียมการเพื่อเปิดศึกแก่งแย่งอำนาจอย่างระมัดระวังและรอบคอบ เพื่ออนาคตของพวกตนเอง และที่สำคัญที่สุด เพื่อศักดิ์ศรีเกียรติยศอันสูงส่งของพวกตนเอง
ตั้งแต่ที่เอลิเซียเข้าไปศึกษาในโรงเรียนนักผจญภัย นี่ก็ผ่านไปได้แล้วหนึ่งเดือน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เหล่าขุนนางซึ่งในที่สุดก็จะได้พ้นจากช่วงเตรียมการ เข้าสู่ช่วงลงมือจริงๆเสียที จะมารวมตัวพบหน้ากันในที่แห่งนี้โดยแอบแฝงซ่อนเร้นจิตมุ่งร้ายอันรุนแรงเหลือล้นเอาไว้อยู่ภายใต้รอยยิ้มหน้าบาน
ท่ามกลางเหตุเช่นนั้น
“ ฮึ จะไอ้ตัวไหนก็ทำหน้าราวกับว่าการลองเชิงรอดูท่าทีถือเป็นอันจบสิ้นกันในงานเลี้ยงยามค่ำคืนนี้กันหมด เอ้อ ถึงแม้ว่านั่นแหละจะเป็นเป้าหมายที่ทำให้จัดงานขึ้นตั้งแต่แรกก็เถอะ ”
ชายหนุ่มที่มีรูปโฉมสง่าเด่นสะดุดตายิ่งกว่าเหล่าขุนนางที่มารวมตัวกันอยู่เสียอีก พลันสอดส่ายสายตาอย่างเฉียบคมไปทั่วทิศ
ก่อนจะพลันกล่าวซุบซิบต่อผู้ที่อยู่โดยรอบตนด้วยเสียงอันค่อย ราวกับคิดจะให้ถูกซ่อนเอาไว้โดยเสียงเซ็งแซ่ของงานปาร์ตี้
“ ใกล้ถึงคราวที่ศึกแก่งแย่งอำนาจกับพวกมันจะได้เริ่มต้นอย่างจริงจังแล้วกระมัง ในฐานะพรรคดิออสเกรฟซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือในฐานะฝ่ายติดอาวุธอันเป็นหนึ่งในหมู่พรรคหลักทั้งสามแล้ว จะยอมออกตัวล่าช้ากว่าใครมิได้ จงเคลื่อนไหวให้ว่องไวยิ่งกว่าพรรคใดๆ แล้วเริ่มต้นเพิ่มจำนวนหมากมาให้ใช้ได้โดยเร็วซะ หากเจอตัวดาวเด่นที่น่าจับตามองแสนงี่เง่าอะไรนั่นเข้า ถ้าไม่เอามาเป็นลูกไล่ใต้บัญชาเรา ก็จงขยี้ทิ้งไม่ให้พรรคอื่นได้ตัวมันไปซะล่ะ ”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็เพ่งสายตาไปยังหญิงสาวผู้หนึ่ง
“ โดยเฉพาะแคทลียา เธอน่ะนอกจากจะเป็นผู้รับช่วงต่อของตระกูลริชมอนต์ที่มีความเป็นเลิศด้านเวทมนตร์สูงยิ่งในพรรคของเราแล้ว ยังเป็นถึงลูกพี่ลูกน้องของฉันผู้นี้เลยด้วย ฉันหวังกับเธอเอาไว้มากนะ ”
“ ไว้ใจได้เลยค่ะ! ”
แม้ชายหนุ่มจะพูดเสียงค่อยเสียดิบดี แต่หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าแคทลียากลับตอบรับเสียงใสดังฟังชัดพร้อมยืดอกอย่างผ่าเผยเฉยเลยเสียอย่างนั้น
“ แคทลียา ริชมอนด์ผู้นี้ จะนำผลลัพธ์ที่ท่านพี่ต้องพึงพอใจกลับมาให้อย่างแน่นอนเลยเชียวค่ะ ”
และแล้วฟ้าก็ยิ่งมืด ปาร์ตี้เองก็ค่อยๆเข้าใกล้การสิ้นสุดไปเรื่อยๆ—-
วันรุ่งขึ้น
“ …………พูดแบบนั้นไปดิบดี แต่อื้ม จะทำยังไงดีละเนี่ย ”
แคทลียา ริชมอนด์หมกมุ่นครุ่นอยู่กับความคิด พลางยึดห้องสนทนาของโรงเรียนนักผจญภัยไว้เป็นของตนเองกับคนติดตามได้อย่างหน้าตาเฉย
ถึงจะพูดกับท่านพี่เอาไว้ดิบดี แต่จะเริ่มต้นเคลื่อนไหวแบบไหนยังไงก่อนดีนะ
ดื่มชาอย่างงามสง่าไปพลางใช้ความคิดเช่นนั้นไปด้วย
แต่ไม่ว่ายังไงก็นึกแผนดีๆไม่ออก เป็นในฉับพลันที่คิดจะโบ้ยหน้าที่ไปให้ผู้ติดตามซึ่งเฝ้าประจำการอยู่เคียงข้างคิดแทนทั้งดุ้นอยู่นั่นเอง
“ ………? ข้างนอกเอะอะอะไรกันน่ะ มีอะไรหรือไง ”
แคทลียาที่มองลงไปยังภายนอกผ่านหน้าต่างห้องสนทนาแบบไม่ได้คิดอะไร พลันสังเกตว่าเหล่านักผจญภัยสามัญชนที่เดินสัญจรอยู่ภายในโรงเรียนกำลังส่งเสียงเอะอะอะไรกันอยู่ ก่อนจะเอ่ยกล่าวออกมาเช่นนั้น
และแล้วหนึ่งในผู้ติดตามที่มีร่างกายกำยำแข็งแรงฟิตดียิ่งกว่าคนอื่นๆ ก็พลันกล่าวเสนอกับแคทลียาว่า “คงจะพูดถึงข่าวลือนั่นอยู่กระมังครับ”
“ ที่พูดกันว่า จิเซล สตริงก์ ที่เป็นประเด็นคุยกันใหญ่โตในช่วงพิธีประทานเมื่อเดือนก่อน กับเด็กกำพร้าที่เป็น <<ไร้อาชีพ>> ร่วมมือกันปราบร็อกลิซาร์ด วอริเออร์ ริสก์ 4 ลงได้นั่น ดูเหมือนว่าจะนำเอาชิ้นส่วนร่างกายซึ่งพิสูจน์ว่าปราบได้จริงๆกลับมาด้วย ก็เลยกลายเป็นประเด็นคุยกันอยู่ในหมู่พวกสามัญชนมาตั้งแต่คืนวานแล้วครับ ”
“ …………พรึ่ด อ๊าฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะ! ”
แคทลียาที่ได้ยินคำรายงานของผู้ติดตาม ถึงกับหัวเราะท้องแข็งออกมาในทันใด
“ สามัญชนที่เพิ่งจะได้รับ <<คลาส>> มาหมาดๆเมื่อเดือนก่อนเนี่ยนะปราบริสก์ 4 ได้!? แถมจิเซล สตริงก์ที่ว่านี่มันคือยัยนั่นไม่ใช่เหรอ!? นังคนที่ตอนพิธีประทานละเด่นดาวเสียนี่กระไร แต่กลับมาแพ้ยับให้กับ <<ไร้อาชีพ>> ในการสอบชิงสิทธินั่น! นังคนที่ทำเราผิดหวังซะสนิทนั่น! ”
คิดยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก….แคทลียาหัวเราะเช่นนั้นไป ก่อนที่จะกล่าวขึ้นต่อ
“ ว่าก็ว่าเถอะพวกสามัญชนนี่หัวทึบกันเอาเรื่องเลยนะเนี่ย ไม่ใช่การสอบชิงสิทธิที่มีผู้เห็นเหตุการณ์แบบจะๆอยู่เต็มไปหมดซะหน่อยนึง ไอ้การปราบมอนสเตอร์เนี่ยมีวิธีการปลอมแปลงอยู่มากมายก่ายกองเต็มไปหมดเถอะ อย่างเผอิญฟลุ๊กไปเจอศพเข้าพอดีบ้างล่ะ หรือไม่ก็ไปไหว้วานอ้อนวอนขอให้คนอื่นช่วยปราบให้ทีอะไรแบบนี้น่ะนะ แพร่คำโกหกที่แค่ฟังดูก็รู้แล้วว่าโม้แบบนั้นไปเดี๋ยวก็ความแตก ต้องทำถึงขั้นนั้นเพื่อไม่ให้ถูกรอบข้างดูหมิ่นดูแคลนเลยหรือนี่……คิดจริงๆเหรอเนี่ยว่าแบบนั้นจะช่วยปกป้องพวกตนให้รอดได้น่ะ ”
แคทลียาลองสันนิษฐานเหตุผลที่ทำให้จิเซลซึ่งเหมือนจะเป็นตัวหัวหน้าของเหล่าเด็กกำพร้าทำการเผยแพร่คำโกหกที่เห็นชัดเจนว่าโม้เช่นนั้นดู ก่อนจะเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาเพราะขำมากเกินควร
แล้วจากนั้นจึง
“ ตัดสินใจได้ละ เอานังนั่นแหละเป็นรายแรก ”
แคทลียายกมุมปากขึ้นมาแสยะ ราวกับเห็นลูกบลั๊ฟอันแสนน่าหัวร่อของเหล่าเด็กกำพร้าแล้วมันช่างกระตุ้นต่อมอยากจะกลั่นแกล้งรังแกเสียนี่กระไร
“ นอกจากจะแพ้ให้ <<ไร้อาชีพ>> แล้ว ยังโง๊โง่ก๊ากกากขนาดที่คิดว่าถ้าหลอกว่าชนะ ตัวกระจอกอย่างริสก์ 4 ได้แล้วคนอื่นเค้าจะกลัวหัวหดอีก…คนพรรค์นี้ไม่รู้หรอกนะว่าถ้าดึงเข้ามาเป็นลูกไล่แล้วจะใช้ประโยชน์ได้แน่รึเปล่า……แต่คนในพื้นที่ก็ใช้ประโยชน์ในด้านการสะสมข้อมูลได้ แถมยังมีข่าวลือว่าจิเซล สตริงก์เป็นผู้ถือครองยูนีคสกิลที่ค่อนข้างแปลกด้วยนี่นะ ถือว่าเป็นผลลัพธ์แรกที่ก็ไม่เลวซะทีเดียวเหมือนกันล่ะ ”
ว่าแล้ว แคทลียาก็สั่งการให้เหล่าผู้ติดตามทำการสืบแนวโน้มทิศทางการเคลื่อนไหวของพวกจิเซลที่เป็นกลุ่มเด็กกำพร้า
“ เอ้ารีบไปเร็วเข้าสิ! ขยายดินแดนในการควบคุมของเราให้กว้างไกลออกไปในฐานะหอกเล่มที่หนึ่งของพรรคดิออสเกรฟ เพื่อให้ท่านพี่กิมเล็ตชื่นชมในตัวดิฉันผู้นี้! ”
เสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีของแคทลียาดังก้องกังวานอยู่ภายในห้องสนทนาไม่รู้จบ