แม้จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นคั่นกลางอยู่บ้าง แต่ภายหลังจากที่พวกผมเริ่มต้นทำการฝึกเสริมความแข็งแกร่งของเวทมนตร์เพื่อมุ่งหมายพิชิตการแข่งปราบปรามไปได้สองวันนั่นเอง
ในวันนั้น ผมก็มุ่งหน้าไปยังโรงเรียนนักผจญภัยตั้งแต่เช้า เพื่อเข้ารับฟังคาบเรียนเล็คเชอร์ดังปกติอยู่หรอก—–
“ ถ้าอย่างนั้น ฉันขอสั่งเค้กที่เรียงอยู่ตรงนี้ทั้งหมดทุกชิ้นเลยก็แล้วกัน ครอสล่ะจะสั่งอะไรหรือ? ”
“ อ่า อะ เอิ่ม…….งั้นผมขอเจ้าเค้กเซ็ต? นี่แล้วกันครับ ”
เป็นช่วงเวลาที่ตามเดิมแล้วสมควรจะต้องมีคาบเรียนช่วงเช้า
แต่ผมกลับมานั่งหันหน้าชนกับคุณเอลิเซียอยู่ภายในร้านอาหารแสนเก๋ไก๋ที่เค้าเรียกกันว่าคาเฟ่อะไรนี่เฉยเลยซะอย่างนั้น
ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้น่ะเหรอ เหตุผลมันก็เป็นเพราะว่าจู่ๆคาบเรียนทั้งหมดของช่วงเช้าก็ถูกยกคลาสอย่างพร้อมเพรียงในคราเดียวกันเลยนั่นเอง
เหมือนจะมีการค้นพบว่าบริเวณลึกของ <<ผืนป่าเบื้องลึก>> ที่มีปริมาณขนาดพื้นที่แสนกว้างขวางเป็นหลายต่อหลายเท่าของบัสเคิลเบียร์มันถูกเป่ากระจุยจนราบเรียบเตียนโล่งไปหมด ทางการที่หวาดผวากลัวว่าจะมีมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งหยั่งกะยักษ์กะมารถือกำเนิดขึ้นมา จึงได้ออกคำสั่งให้ทำการสอบสวนอย่างเร่งด่วนโดยพลัน และพวกอาจารย์ก็ถูกเกณฑ์ตัวไปทำภารกิจนั้นกันหมดเลยน่ะนะ
ตัวผมที่ได้ยินเรื่องนั้นเข้า ก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวันก่อนมีคนที่ดูหน้าคล้ายๆผู้อำนวยการซาริเอร่าบุกถล่มเข้ามาในคฤหาสน์พร้อมแหกปากตะคอกลั่นทำนอง [พวกหล่อนเป็นคนกำชับเองว่าห้ามเอาเรื่องของพวกตนไปบอกกับใครไม่ใช่หรือแล้วนี่เล่นบ้าอะไรน่ะ! หัดเอาใจเขามาใส่ใจเราคิดถึงหัวอกของคนที่ต้องช่วยกลบเกลื่อนตามล้างตามเช็ดให้ซะบ้างเซ่!] แบบนั้นอยู่เหมือนกัน เท่านั้นแหละผมก็ถึงกับเหงื่อแตกพลั่กพลางพึมพำ [อย่าบอกนะว่า…..] เลยทีเดียว…….เอ้อแต่เรื่องพวกนั้นช่างมันไปเถอะเนอะ
เป็นในจังหวะที่จู่ๆก็มีเวลาว่างขึ้นมาด้วยเหตุผลดังกล่าวนั่นเอง ที่คุณเอลิเซียซึ่งก็ว่างเพราะถูกยกคลาสด้วยเช่นเดียวกันพลันปรากฎตัวโผล่ออกมา
[เพราะสัญญาไว้ว่าถ้ามีเวลาแล้วจะบอกกล่าวถึงเรื่องเล่าประสบการณ์ของฉันให้ฟัง…….ก็เลยมาหาน่ะ]
[ตั้งแต่ช่วงกลางวันไปมีนัดเอาไว้ ฉะนั้นก็เลยคงจะพูดนานมากไม่ได้หรอก……แต่ร้านคาเฟ่ที่ไปกันคราวก่อนก็อยู่ใกล้ๆนี้เลยนี่นะ ไปกันไหม?]
เนี่ยเค้าเสนอมาว่าแบบนี้
อุตส่าห์เจียดเวลาว่างที่มีเพียงน้อยนิดเพื่อมาทำตามสัญญาอย่างซื่อตรงเลยเชียวเหรอ ผมซาบซึ้งอย่างยิ่งยวดเลยเชียวล่ะ
ตอนกลางวันวันนี้ผมก็จะต้องไปเริ่มซ้อมร่วมกับพวกจิเซลเพื่อเตรียมรับมือกับการแข่งปราบปรามด้วยเหมือนกัน คาเฟ่ใกล้ๆก็เหมาะจะใช้เป็นที่ฆ่าเวลาเล่นได้อย่างดีเลยด้วย แถมนั่งกินที่ร้านก็น่าจะไม่ได้ผลาญเงินมากเหมือนกับเดินตระเวนกินอีกต่างหาก ผมจึงทำการพยักหน้ารับข้อเสนอโดยไม่ต้องคิดให้มากความเลย
และแล้วผมก็เลยได้ออกมาเที่ยวสองต่อสองด้วยกันกับคุณเอลิเซียอีกรอบด้วยเหตุประการฉะนี้เอง…….ถึงจะเริ่มชินขึ้นมาหน่อยแล้ว แต่ก็อดประหม่าไม่ได้เลยจริงๆแฮะ
ผมหันสายตามองไปยังคุณเอลิเซียที่กินเค้กหงับๆแก้มตุ่ยอยู่โดยที่ยังสวมเสื้อพอนโชที่มีเอฟเฟคยับยั้งการรับรู้
จนตอนนี้ก็ยังทำใจให้เชื่อไม่ลงเลย นี่ผมกำลังนั่งหันหน้าชนอยู่กับบุคคลที่ (หากไม่นับพวกคุณลีโอเน่แล้ว) มีความสามารถและชื่อเสียงสูงส่งท่วมท้นมากล้นเป็นอันดับต้นๆของบัสเคิลเบียร์แห่งนี้ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของนักผจญภัยเลยจริงๆเหรอเนี่ย
แล้วพอผมนั่งเหม่อลอยตาค้างโดยไม่ได้แตะเค้กด้วยซ้ำอยู่อย่างนั้น
“ ถ้าอย่างนั้นก็ จะให้เริ่มเล่าจากไหนก่อนดีล่ะ ”
คุณเอลิเซียที่กินเค้กก้อนที่สามหมดลงไปอย่างเร็วไวก็พลันเปิดประเด็นออกมา
“ เพราะตลอดจนตอนนี้เอาแต่ต่อสู้ผ่านศึกมามากมาย……ก็เลยไม่รู้น่ะว่าควรจะเริ่มเล่าจากตรงไหนดี ”
“ อ๊ะ นั่นสินะครับ เอ่อ ถ้างั้นก็…นั่นสินะฮะ….. ”
ผมที่ถูกชวนคุยพลันทำการหมุนใช้งานสมองอย่างแตกตื่น
ในเมื่อเป็นฝ่ายออกปากบอกเค้าเองว่าอยากจะขอฟังเรื่องราว งั้นก็จะโบ้ยภาระให้คุณเอลิเซียทั้งหมดได้ยังไงกันเล่า
และแล้วผมที่ยกเอาน้ำขึ้นมาซดรัวๆเพื่อเว้นช่วงถ่วงเวลาพลางใช้สมองครุ่นคิด ก็พลันปิ๊งอะไรขึ้นมาได้
“ งั้นก็เอ่อ ตลอดจนถึงตอนนี้ คุณเอลิเซียมีมอนสเตอร์แบบไหนที่สู้ด้วยแล้วลำบากบ้างมั้ยครับ? ”
นั่นก็คือ คำถามที่อิงจากสถานการณ์ส่วนตัวของผมที่กำลังหนักใจกับฝูงสไลม์ปุกปุยและพยายามวางมาตรการต่อกรอยู่ในตอนนี้เลย
กล่าวคืออยากจะรู้นั่นแหละ ว่าคุณเอลิเซียที่ไต่เต้าขึ้นมาถึงอาชีพระดับสูงสุดได้โดยที่ยังมีอายุเพียงแค่ 16 ปีคนนี้ เค้าเคยมีช่วงเวลาที่ต้องทุ่มเทความพยายามอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อพิชิตศัตรูที่แสนร้ายกาจเหมือนกันรึเปล่า —–ทว่า
“ มอนสเตอร์ที่สู้ด้วยแล้วลำบาก……… ”
คุณเอลิเซียยกมือขึ้นมาแตะหน้าผากราวกับพยายามขุดคุ้ยความทรงจำ ก่อนจะอ้าปากพูดสิ่งที่สุดจะเชื่อออกมา
“ มีกรณียกเว้นอย่างฮีโดร่าเมื่อก่อนหน้านี้อยู่หรอก……..แต่ตามพื้นฐานแล้วต่อให้เจอกับตัวไหนก็ไม่เคยลำบากเลยน่ะ ”
“ เอ๊ะ ”
“ ฉันน่ะนะ ต่อให้ศัตรูจะแข็งแกร่งมากยิ่งกว่าอย่างไรขนาดไหน แต่ก็ใช้สกิลสร้างแผลฉกรรจ์ให้ได้เกือบทั้งหมดเลยน่ะ ”
“ เอ๊ะ! ”
ต่อให้อีกฝั่งแข็งแกร่งกว่ายังไงแต่ก็สร้างแผลฉกรรจ์ให้ได้นี่……..อย่าบอกนะว่านั่นมันคือ ผลพวงจากยูนีคสกิลของผู้กล้าอะไรแบบนั้นเหรอ…….?
พอผมอึ้งตะลึงงันกับคำตอบของคุณเอลิเซียอยู่
“ อ๊ะ ”
คุณเอลิเซียก็พลันยกมือขึ้นมาแตะปากตนเองเอาไว้
ท่าทางนั่นเหมือนกับจะฟ้องว่า [นี่คืออะไรที่จะยอมบอกให้ใครอื่นทราบง่ายๆไม่ได้นี่นา] เลยก็ไม่ปาน
แล้วหลังจากที่คุณเอลิเซียสอดส่ายสายตาหนีพร้อมเงียบสนิทไปซักระยะ เค้าก็
“ ………นี่หรือว่า ครอสคิดจะสอบถามล้วงข้อมูลของฉันหรือ…….? ”
“ ปะ เปล่านะครับผมแค่ถามคำถามแบบปกติเอง……. ”
เห็นคุณเอลิเซียเอียงหัวอย่างแปลกใจแล้วผมก็งงตาม
บรรยากาศมันชักจะเริ่มอึมครึมขึ้นมา ผมก็เลยอ้าปากขึ้นพูดอย่างแตกตื่นเพื่อปัดเป่าบรรยากาศดังกล่าวให้หายลับไป
“ ตะ แต่ว่าก็ว่าเถอะ คุณเอลิเซียนี่สุดยอดจริงๆเลยนะครับ! ตลอดจนตอนนี้ไม่เคยสู้ลำบากมาก่อนเลยซักครั้งเนี่ย! ”
“ ………ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ ถ้าว่าอย่างละเอียดแล้วก็เคยมีอยู่เหมือนกันล่ะศึกที่ยากจะรับมือน่ะ ”
เท่านั้นแหละ คุณเอลิเซียที่เอาแต่เอียงหัวฉงนว่า “ทำไมถึงได้พูดออกไปนะ” มาตลอดจนถึงเมื่อครู่ ก็พลันยกระดับโทนเสียงให้ฟังดูจริงจังมากขึ้นจนน่าแปลกใจ
“ ต่อสู้โดยจำกัดตัวเองไม่ให้ใช้สกิลบางส่วนเพื่อฝึกตนบ้างล่ะ ถูกปั่นหัวโดยคู่มือที่หลบหนีซ่อนตัวเก่งบ้างล่ะ แล้วอย่างอื่นก็เช่น……นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน <<หุบเขาลึกที่กวักมือเรียก>> ละมั้งนะ….. ”
สงสัยจะจับเคล็ดในการเรียกความทรงจำกลับมาได้แล้วละมั้ง
คุณเอลิเซียจึงเริ่มต้นทำการเล่าถึงการต่อสู้ที่ตนเองเอาชนะก้าวผ่านมาได้ทีละนิดทีละหน่อย พลางกินเค้กร่วมไปด้วย
นั่นก็คือ บันทึกการต่อสู้ที่เปิดฉากขึ้น ณ สถานที่ต่างๆทั่วทั้งโลก
ไม่ใช่ตำนานการผจญภัยแบบรวบรัดที่ถูกกล่าวขานโดยบาร์ด (กวี) แต่เป็นเรื่องราวอันละเอียดถี่ยิบจากปากของผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์โดยตรงเลย
“ เอ๊ะ สุดยอด! แล้วไงครับต่อจากนั้นเป็นยังไงต่อเหรอ!? ”
“ ค่อยยังชั่ว…….วีรกรรมของคุณเอลิเซียเป็นตัวช่วยชีวิตผู้คนเอาไว้ได้มากมายเลยเชียวนะครับ! ”
“ รับมือกับมอนสเตอร์ฝูงยักษ์ขนาดนั้นแท้ๆ แต่กลับได้รับความเสียหายระดับแค่ดื่มโพชั่นขวดเดียวก็หายขาดเลยเนี่ยนะ!? แบบนั้นไม่เรียกว่าสู้ลำบากหรอกนะครับ!? ”
“ สู้ต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์โดยไม่ได้หยุดพัก!? ถ้าพยายามหนักถึงขนาดนั้นจะเก่งขึ้นมาก็สมควรแล้วแหละครับ! ”
เพราะเป็นคนที่หลงใหล แล้วก็เพราะเป็นเรื่องเล่าที่ถูกกล่าวขานออกมาจากปากของคุณเอลิเซียที่มีอายุใกล้เคียงกันกับผมด้วยละมั้ง
ทำให้เรื่องราวซึ่งเหมือนหลุดมาจากอีกโลกที่แตกต่างไปคนละแบบกับประสบการณ์สุดจะผ่าเหล่าที่พวกคุณลีโอเน่เล่าให้ฟังนั่น มันทำให้ผมหลงฟังอย่างใจจดจ่อได้ราวกับว่าบรรยากาศอึมครึมเมื่อซักครู่เป็นเรื่องโกหกเลยก็ไม่ปาน
ฟังเรื่องของคุณเอลิเซียไปได้นิดหน่อยก็ตกตะลึงบ้างล่ะ พูดตอบรับรัวๆด้วยดวงตาที่เปล่งประกายเจิดจ้าหยั่งกะเด็กๆบ้างล่ะ ตื่นเต้นลิงโลดซะจนรู้สึกเอือมตัวเองขึ้นมานิดๆเลย
“ อะ เอ่อ……สุดยอดขนาดนั้นเลยเชียวหรือ……? ที่ฉันทำลงไป ไม่น่าจะเป็นอะไรที่มีค่าให้ต้องถูกชื่นชมมากขนาดนั้นหรอกนะ…… ”
พอเห็นปฎิกิริยาแบบนั้นของผมเข้าแล้วคุณเอลิเซียก็ถึงกับงงเต๊ก แสดงท่าทางเหมือนกับว่าสับสน
แต่พอเค้าทำแบบนั้นเข้าที ผมก็จะโพล่งจากใจจริงทำนองว่า “เอ๊ะ? ทำไมล่ะครับ? ดูเท่สุดๆไปเลยนะครับ!” แบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่เรื่อยๆ จนพอไปได้ซักระยะ
“ ………ครอสเนี่ย เป็นคนที่แปลกจริงๆเลยนะ ได้ยินรายงานการต่อสู้ของฉันแล้ว กลับตอบสนองอย่างตื่นเต้นสนุกสนานแบบนั้นเฉยเลย ”
กล่าวแล้ว ใบหน้านั้นก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนกลายเป็นรอยยิ้มทีละนิด
แล้วพอผมเผลอตัวจ้องมองสีหน้าแบบนั้นของคุณเอลิเซียอย่างเหม่อลอยเข้าปุ๊บ
“ ตัวเธอเอง ก็เป็นคนสุดยอดมากๆที่หาญเข้าต่อกรกับพ๊อยซั่นสไลม์ฮีโดร่าทั้งที่ตัวเองเลเวล 0 แถมยังช่วยชีวิตฉันเอาไว้ได้เลยไม่ใช่หรือ พิลึกคนจริงๆเลย ”
“ อุเห๊ะ!? ”
จู่ๆก็โดนเค้าพูดอะไรแบบนั้นเข้าใส่ เล่นเอาผมถึงกับแตกตื่นลนลานไปเลยทีเดียว
“ มะ ไม่หรอกครับ คือว่านั่น ทำได้เพราะมีคนอื่นๆคอยช่วยเหลืออยู่มากมายต่างหาก……ไม่ใช่อะไรที่คุณเอลิเซียสมควรจะต้องชื่นชมเลยซักนิด…… ”
“ ……..เอ๊ะ? ทำไมล่ะ? ขยับได้ในสถานการณ์แบบนั้น มันดูเท่มากๆไปเลยนะ? ”
“ ทะ…….!? ”
หน้าแดงก่ำภายในบัดดลเลยล่ะ
หลังจากนั้นผมก็สติแตกสับสนงุนงงขั้นหนักไปพักนึงเลย…….เป็นระหว่างนั้นเองที่ผม พลันสังเกตเห็นถึงสีหน้าที่คุณเอลิเซียปั้นขึ้นมา
ถึงสีหน้าของคุณเอลิเซีย ที่ทำทีบ่งชี้เหมือนกับว่าเอาคืนได้บ้างแล้ว อยู่นิดๆนั่น
ดูเหมือนคุณเอลิเซียเค้าจะทำการยิงลูกไม้เดียวกันกับผมที่เอาแต่ชื่นชมสรรเสริญว่า “สุดยอดๆ” รัวๆโดยไม่ได้เจตนานั่นกลับมาแฮะ
“ ……….คุณเอลิเซียเนี่ย แอบนิสัยไม่ดีนิดๆรึเปล่าครับ? ”
“ ……….ไม่ซะหน่อย ครอสนั่นแหละผิดที่ตอบสนองให้ฉันรู้สึกอายขึ้นมา แล้วก็ ที่คิดว่าเธอเป็นคนสุดยอดมากๆนั่น ก็เป็นเรื่องจริงเลยนะ “
แล้วหลังจากนั้นร่างกายของผมที่ยังคงเกร็งอยู่นิดหน่อยก็ค่อยๆผ่อนคลาย การเล่าเรื่องของคุณเอลิเซียเองก็ดูเหมือนจะลื่นไหลขึ้นทุกๆถ้อยคำเลยด้วย
——แต่พอพูดคุยกันออกรสไปได้แบบนั้น ช่วงเวลาแสนสนุกมันก็พลันล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว……ล่วงเลยมากเกินควรไปด้วยซ้ำ พวกผมที่ได้ยินเสียงระฆังของโบสถ์ดังก้องนี่คือถึงกับรีบร้อนลนลานลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้จะไม่ทันกันเลยทีเดียว
แล้วพอก้าวออกมาจากร้านอย่างรีบร้อน
ก็เดินด้วยกันมาจนถึงบริเวณโรงเรียน และในช่วงก่อนจะแยกย้ายไปกันคนละทางเพื่อหลบเลี่ยงสายตาผู้คนนั่นเอง
“ จะว่าอย่างไรดี…….วันนี้สนุกมากเลยล่ะ คนที่รับฟังรายงานการต่อสู้ของฉันด้วยท่าทีแบบนั้น ก็มีเธอนี่แหละเป็นคนแรก ”
คุณเอลิเซียพลันหยุดเดิน ก่อนจะเอ่ยออกมาพลางแย้มยิ้ม
“ ยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้เล่าอยู่อีกมากมายเลย ฉะนั้นถ้าหาเวลาว่างได้อีกจะแจ้งให้เธอทราบนะ ”
“ ครับ! กรุณาด้วยนะครับ! ”
ถ้าเป็นในยามปกติ เจอแบบนี้ผมคงจะเกรงใจจนพูดว่า “แค่นี้ก็มากเกินพอแล้วครับ!” ออกไปแล้วล่ะ
แต่ความปีติยินดีที่จะได้ฟังเรื่องราวอันแสนน่าตื่นเต้นนั่นอีกเยอะๆมันกลับชนะใจ ผมก็เลยเผลอตัวตอบตกลงไปอย่างดังชัดเจนซะอย่างนั้น
คราวหน้าจะได้ฟังเรื่องราวแบบไหนอีกกันนะ คิดแล้วก็ตื่นเต้นตั้งแต่ตอนนี้เลย
“ แต่ว่าก็ว่าเถอะนะครับ…… ”
เป็นตรงนั้นเองที่ผม กล่าวความรู้สึกออกมาราวกับหวนระลึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ได้ยินไปในวันนี้อีกครั้ง
“ การต่อสู้ของคุณเอลิเซียนี่…….มีศึกกับคนด้วยกันเยอะผิดคาดเลยนะครับเนี่ย? ”
บันทึกการต่อสู้ที่คุณเอลิเซียเล่าให้ฟังนั้น ตามหลักแล้วก็เป็นการต่อสู้กับมอนสเตอร์หรอก
แต่ก็เหมือนกับพวกคุณลีโอเน่ คู่มือของคุณเอลิเซียนั้นก็มีกองโจร องค์กรก่อการร้าย หรือไม่ก็กลุ่มบูชาเทพมาร อะไรทำนองนั้นอยู่ค่อนข้างมากพอดูเลยเหมือนกัน……..
เพราะแบบนั้นแหละ สำหรับตัวผมที่คิดว่างานหลักของนักผจญภัยก็คือการปกป้องผู้คนไว้จากมอนสเตอร์แล้ว เรื่องเล่าดังกล่าวนั่นจึงฟังดูผิดคาดไปนิดหน่อย
และแล้วคุณเอลิเซียที่รับฟังความรู้สึกของผมเข้าไปก็พลันหรี่ตาลงพร้อมพูด “ก็จริงนะ”
“ งานของนักผจญภัยนั้นตามหลักแล้วก็คือการปราบมอนสเตอร์จริงอย่างที่เธอว่านั่นแหละ……แต่พอได้อยู่เป็นนักผจญภัยไปเรื่อยๆแล้ว มันก็เริ่มจะรู้สึกขึ้นมาน่ะ ว่าตัวอันตรายที่แท้จริงนั้นไม่ใช่มอนสเตอร์ แต่เป็นเผ่ามานพด้วยกันนี่แหละต่างหาก…..ฉันคิดแบบนั้นล่ะนะ ”
คุณเอลิเซียซึ่งมีประกายสีดำมืดแฝงเร้นไว้อยู่ภายในดวงตา พลันพูดให้คำขาดออกมาแบบนั้นอย่างชัดเจน
สำหรับตัวผมที่ถูกมอนสเตอร์ถล่มทำลายหมู่บ้านเมื่อ 4 ปีก่อน และเพิ่งจะเจอกับริสก์ 4 มาหมาดๆเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่แล้ว คำพูดนั้นมันช่างฟังดูพิลึกไม่ค่อยจะเข้าใจเลยก็จริง——-
แต่แล้วผมก็จะได้ล่วงรู้รับทราบภายในไม่ช้า
ว่าคำพูดที่ราวกับเป็นคำเตือนของคุณเอลิเซียนั่น มันคือเรื่องจริงแท้ไม่ได้ผิดพลาดแม้แต่เศษเสี้ยวเดียวเลยเชียวล่ะ