“ ว้ากฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ย่อยยับไปเสียเถอะนังเด็กสะท้อนเวท! ”
“ สุดยอดเล้ยพาฟลอฟ! สมกับที่เป็นคนสนิทของดิฉันผู้นี้จริงๆนะ! ”
เสียงหัวเราะดังลั่นพลันก้องกังวาน ราวกับว่าเป็นการระบายความหงุดหงิดเคืองใจตลอดมาจนถึงตอนนี้เลยยังไงยังงั้น
ตอนนี้พาฟลอฟได้ทำการแบ่งปาร์ตี้ออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มนึงคือทัพแรกที่ประกอบไปด้วยตน แคทลียา แล้วก็ <<เรนเจอร์ระดับกลาง>>
แล้วจากนั้นก็แบ่ง <<จอมขมังเวทดิน>> ที่มีสองคนให้แยกไปคู่กับ <<อัศวิน>> คุ้มกันกลุ่มละคน กลายเป็นทัพสองและทัพสาม
เป้าหมายที่ทำการแบ่งจำนวนคนที่แต่เดิมก็มีน้อยอยู่แล้วให้แยกออกเป็น 3 กลุ่มอีกนั่น ก็เพื่อวิเคราะห์ตรวจสอบคุณสมบัติของสกิลสะท้อนเวทที่จิเซลมีอยู่ในครอบครองนั่นเอง
และแผนนั่นก็สำเร็จอย่างงดงามเลย
พอลองปลดปล่อยเวทมนตร์เข้าใส่จากสามทิศทางดู ก็พบว่าศัตรูสามารถสะท้อนเวทกลับมาในจังหวะเดียวกันได้แค่สองนัดเท่านั้น
เป็นสกิลสะท้อนเวทมนตร์ที่ร้ายกาจอย่างยิ่งยวดเลยก็จริงอยู่หรอก แต่ถ้ารู้ลึกไปถึงรายละเอียดตรงนี้ได้ ที่เหลือก็ง่ายแล้ว
ที่ต้องทำก็แค่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้โดนอัดด้วยการสะท้อนเวทแบบจนตรอกของศัตรู พร้อมกับยิงเวทระดับกลางอัดรัวๆเข้าใส่ไปเรื่อยๆก็พอ ตามจริงแล้วก็อยากจะวางแผนให้ลึกกว่านี้เพื่อที่จะได้อัดเวททิ้งระเบิดล้างบางอีกฝั่งในทีเดียวไปเลยอยู่หรอก แต่ถ้าเกิดว่าผิดแผนโดนมันสะท้อนกลับมาแบบนั้นก็หลบไม่ได้เหมือนกัน
แต่ถึงไม่ทำแบบนั้น พวกมันก็ยังเป็นแค่ปาร์ตี้ระดับต่ำ กระหน่ำเวทดินระดับกลางเข้าใส่ไม่ยั้งแค่นั้นก็จัดการได้แบบเหลือเฟือแล้ว
เห็นผลได้ตรงที่ทำให้ศัตรูหมดสภาพไปได้ทีเดียวถึง 3 คนในการระดมยิงระลอกแรกเลยนี่แหละ แล้วพอทำการอัดเวทโจมตีต่อเนื่องเข้าอีกจำนวนนั่นมันก็ค่อยๆลดลงอย่างชัดเจน
พูดได้ว่าสถานการณ์รบได้ถูกพลิกกลับด้านโดยสมบูรณ์เลย
“ อะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะ! นี่สิ นี่สิมันต้องแบบนี้! การได้ไล่ยิงฆ่าพวกมดปลวกอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้แหละคือความยอดเยี่ยมของอาชีพเวทมนตร์ล่ะ! จิเซล สตริงก์ กล้าดีมากนักนะที่บังอาจทำให้ดิฉันต้องทุกข์ระทมตกระกำลำบากมากมายตลอดมาจนถึงตอนนี้…….! ดิฉันผู้นี้จะแสดงความต่างชั้นด้านกำลังอำนาจของขุนนางให้หล่อนได้รู้ซึ้งเอง! ”
“ ใช่ครับยอดเยี่ยมไปเลยครับ! โปรดสัตว์ให้พวกมันเลยครับ ให้ไอ้พวกเด็กกำพร้าหน้าโง่ดักดานพวกนั้นมันได้รู้ซึ้งเลิกหูฝ้าตาฟางเข้าใจมองเห็นความแตกต่างด้านฐานะเลยครับ! ”
ได้เห็นแคทลียากลับมาอารมณ์ดีเช่นนี้แล้ว พาฟลอฟก็พึงพอใจ
ถ้าแบบนี้ก็คงจะจบศึกได้โดยไม่จำเป็นต้องรอสมทบกับดาเรียสหรอก
“ เอ้า ยิงเวทมนตร์อัดเข้าใส่พวกมันไปเรื่อยๆเลย! ”
พาฟลอฟแผดเสียงดังสนั่นให้คำสั่งกับทัพสอง และทัพสามที่แยกตัวไปอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกของพวกตน
ทว่า—–
“ ………? เป็นอะไรไป? ”
น่าจะกล่าวคำร่ายเวทเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้วแท้ๆ แต่ไม่ว่าจะรอซักเท่าไหร่ ทัพสองและทัพสามก็ไม่ยอมส่งสัญญาณพร้อมเตรียมยิงเวทมนตร์กลับมาให้ซักที
แม้จะล่วงเลยเวลาที่แคทลียาจะสามารถประคองเวทมนตร์ที่ประกอบเสร็จสิ้นเอาไว้ได้ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีท่าทีการเคลื่อนไหวใดๆ ทำให้พาฟลอฟถึงกับเอียงหัวอย่างงุนงง
“ เฮ้ย ลองตรวจสอบท่าทีของอีกฝั่งดูหน่อ—— ”
พาฟลอฟส่งเสียงเข้าหา <<เรนเจอร์ระดับกลาง>> ที่ตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการสืบหาตำแหน่งของพวกจิเซลมาตลอดจนถึงตอนนี้——แต่มันคือในฉับพลันนั้นเลย
ที่จู่ๆ ก็มี <<อัศวิน>> คนนึง กึ่งๆปลิวกระเด็นกลิ้งเกลือกออกมาจากพุ่มไม้ของอีกฝั่ง
“ อะ อะไรกันน่ะ!? ”
ท่าทีอันไม่ปกตินั่นทำให้พวกพาฟลอฟถึงกับเบิกตาออกกว้าง
เป็นถึง <<อัศวิน>> ที่มีเกียรติในพลังป้องกันอันสูงส่งแท้ๆ แต่สมาชิกปาร์ตี้คนนั้นกลับได้รับความเสียหายอย่างยิ่งใหญ่ขนาดที่เบ้าหน้าบุบบี้หมดรูปเลยทีเดียว
“ หะ เฮ้ยเป็นอะไรน่ะ!? บาดแผลนั่นมันอะไรกันน่ะ!? ”
“ อะ ไอ้เจ้านั่นมันเป็นตัวอะไรน่ะ…….!! ทุกคน….ทุกคนโดนมันเก็บเรียบหมดโดยไม่มีโอกาสได้ร้องเรียกขอความช่วยเหลือเลย…….! ”
<<อัศวิน>> เลเวล 20 แผดเสียงอันแหบพร่าออกมาตอบคำถามของพาฟลอฟ
และผู้ที่พลันปรากฎตัวออกมาจากพุ่มไม้อีกฝั่งดังแซ่กแซ่กดั่งกับไล่ตามเสียงมานั่น ก็คือเด็กหนุ่มที่ดูราวกับว่าเป็นความใสซื่อไร้พิษสงที่มาเกิดใหม่เป็นมนุษย์เลยงั้นแหละ
“ ค่อยยังชั่วหน่อย ตามมาถึงได้ก่อนที่พวกจิเซลจะถูกกำจัดกันหมดสินะ…….! ”
เด็กหนุ่ม <<ไร้อาชีพ>> ครอสที่กำดาบซึ่งมีด้ามเปียกโชกไปด้วยเลือด พลันถอนหายใจอย่างโล่งอกด้วยน้ำเสียงอันแสนอ่อนโยน
“ ห้ะ………….? ”
และพาฟลอฟที่ได้พบเห็นภาพอันไม่อาจจะทำความเข้าใจได้นั่น ก็ถึงกับเผลอตัวปล่อยเสียงที่ฟังดูแสนเซ่อซ่าออกมาในบัดดล
“ มัน……อะไรกัน!? หมายความว่าอย่างไรกัน!? ทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่ได้!? เกิดอะไรขึ้นกับดาเรียส!? ”
พาฟลอฟที่แตกตื่นลนลานพลันทำการตรวจสอบแท็กแทนตัวของพวกพ้อง
แต่ที่ถูกแสดงอยู่ตรงนั้น กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ความสับสนของพาฟลอฟหนักขั้นมากยิ่งขึ้นไปอีก
เป็นจริงดังที่ <<อัศวิน>> คนเมื่อกี้พูด…..<<จอมขมังเวทดิน>> ทั้งสองคนจากทัพสองและทัพสาม กับ <<อัศวิน>> หนึ่งคนได้หมดสภาพไปแล้ว
และที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง ก็คือการที่แม้กระทั่งดาเรียสเองก็ยังเสร็จมันไปด้วยเช่นกันนี่แหละ
“ บะ บ้าน่า…….!? จะบอกว่าเจ้านั่นแพ้ให้กับ <<ไร้อาชีพ>> เลเวล 0 ในการดวลแบบ 1 ต่อ 1 อย่างนั้นหรือ!? ”
แค่นั้นก็ยากจะเชื่อมากพอแล้ว แต่ที่ยากจะเชื่อมากเข้าไปอีก ก็คือเรื่องที่เจ้า <<ไร้อาชีพ>> ที่โดนดาเรียสต้านเอาไว้คนนี้ มันมาอยู่ต่อหน้าต่อตาพวกตนได้ในตอนนี้นี่แหละ
เออ กระหน่ำยิงเวทมนตร์รัวๆซะขนาดนั้น จะถูกรู้ตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
แต่การจะใช้เวลาเพียงน้อยนิดหลังจากที่โค่นดาเรียสลงได้ วิ่งเลยตัดหน้าจิเซล สตริงก์ พร้อมอ้อมตัวรักษาความห่างที่อยู่นอกเหนือระยะตรวจจับของ <<เรนเจอร์ระดับกลาง>> มาปรากฎตัวอยู่ตรงนี้นี่…….ต่อให้คิดยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ๆ
“ อย่าบอกนะว่า……ใช้อำนาจของเวทลมที่ถล่มแนวป้องกันของพวกเราเมื่อครู่นี้หรือ……!? ”
พอสังเกตเห็นสายลมที่ห่อหุ้มอยู่ทั่วร่างของครอสแล้ว พาฟลอฟก็ถึงกับลืมหายใจ
ในตอนนั้นกำลังแตกตื่นเพราะถูกลอบจู่โจมก็เลยไม่มีเวลาได้วิเคราะห์ แต่มันคือสกิลที่มีอำนาจในด้านการเคลื่อนไหวสูงส่งน่าสะพรึงกลัวมากถึงขนาดนี้เลยเชียวหรือ…..!
แล้วในระหว่างที่พาฟลอฟถูกคุกคามอยู่โดยทั้งความตื่นตระหนกและสับสน ก็มีอีกบุคคลที่กำลังสับสนอย่างยิ่งยวดมากยิ่งกว่าในระดับที่ใครอื่นเทียบชั้นด้วยไม่ได้
แคทลียา ริชมอนด์นั่นเอง
“ เอ๊ะ……….? เอ๊ะ………? ”
จับต้นชนปลายไม่ได้เลยซักนิดว่าอะไรมันเป็นอะไร
ตลอดจนถึงเมื่อกี้นี้สถานการณ์ยังมีท่าทีเหมือนว่าชนะใสแน่นอนอยู่เลยไม่ใช่เหรอ แล้วมันเกิดแบบไหนอะไรยังไงขึ้นกันแน่น่ะ
ทว่า เป็นในฉับพลันที่แคทลียากำลังอึ้งตะลึงงันอยู่กับความเป็นจริงที่ไม่อาจประมวลผลทำความเข้าใจได้อยู่นั่นเอง
“ อั่ก!? ”
ที่ <<เรนเจอร์ระดับกลาง>> ซึ่งพบเห็นเหตุการณ์อันยากจะเชื่อเช่นกับแคทลียาแล้ว เกิดสับสนจับจิตจนลืมทำหน้าที่ตรวจจับศัตรู พลันแผดเสียงร้องก่อนสิ้นใจสั้นๆแล้วล้มฟุบลงกับพื้นทั้งๆอย่างนั้น
เป็นเพราะได้รับการโจมตีทีเผลอของ <<นักรบทำลายล้าง>> ที่โผล่ออกมาจากฝั่งด้านหลังของพุ่มไม้เข้าไปนั่นเอง
“ เอาเว้ย ในที่สุดก็ได้ยลใบหน้าเซ่อๆนั่นซักทีว่ะ ไอ้ขุนนางบัดซบ ”
ผู้ที่กล่าวเช่นนั้นพลางส่งจิตสังหารตรงดิ่งเข้าหาแคทลียา ก็คือจิเซล สตริงก์ ที่ลากตัวพาเอรินที่เป็น <<เรนเจอร์ระดับต่ำ>> มาด้วย
ในฉับพลันที่เวทโจมตีหยุดลงไปด้วยวีรกรรมของครอส จิเซลก็พุ่งทะยานตรงดิ่งมายังที่แห่งนี้ทันทีเลย
เนื่องจากเอาตัวเข้าปกป้องเอรินที่เป็นแกนกลางสำคัญของการตรวจจับศัตรู ร่างกายก็เลยสะบักสะบอมไปหมด แต่จิตสังหารกับใจสู้ที่สถิตอยู่ภายในดวงตาคู่นั้นกลับไม่ได้แผ่วลงเลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
“ ฮิ๊!? ”
พอโดนเขม่นเข้าใส่ด้วยแววตาที่ประหนึ่งเป็น <<เบอร์เซิร์กเกอร์>> เลยก็มิปานเช่นนั้นแล้ว แคทลียาก็ถึงกับแผดเสียงกรีดร้องออกมาด้วยใบหน้าอันซีดเป็นไก่ต้ม เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมัวมาพูด “จับต้นชนปลายไม่ได้เลยซักนิดว่าอะไรเป็นอะไร” ได้อีกต่อไปแล้ว
และเมื่อพบเห็นเข้ากับสถานการณ์เช่นนี้ พาฟลอฟก็ขยับตัวเคลื่อนไหวในทันที
“ ระ รีบหนีไปเร็วเข้าครับท่านแคทลียา! ”
เช่นเดียวกับที่ดาเรียสทำเมื่อครู่นี้ <<อัศวินประกายแสง>> ร่างผอมพลันเอาตัวเข้ามาปกป้องให้แคทลียาหลบอยู่ด้านหลัง ก่อนจะแผดเสียงตะโกนกร้าวออกมา
“ หากเอาตัวรอดอยู่ได้ไปจนหมดเวลาที่จำกัดไว้ก็จะถือว่าเสมอ! สนามฝึกซ้อมจะถูกแบ่งครึ่ง แล้วก็จะสามารถฉุดให้เป้าหมายของเราลุล่วงสำเร็จได้ครับ! มันช่างน่าอับอายก็จริง แต่ขอแค่ท่านแคทลียาเอาตัวรอดไปได้เท่านั้น เราก็จะพอประคองรักษาเกียรติขั้นต่ำสุดเอาไว้ได้! พวกกระผมจะคอยต้านถ่วงเวลาเอาไว้ให้ ฉะนั้นได้โปรดช่วยหนีไปเร็วเข้าเถอะครับ! ”
พาฟลอฟฉุดร่าง <<อัศวิน>> ที่ยังรอดชีวิตอยู่ให้ลุกขึ้นไปพลาง ลั่นวาจาออกมาด้วยสีหน้าอันแสนจะขมขื่น
“ ตะ แต่ดิฉัน จะอยู่คนเดียวในป่าได้ยังไง……. ”
แม้จะล่วงเลยมาจนถึงจุดนี้ แต่แคทลียาก็ยังคงเอาแต่พูดจาออดอ้อนดังเดิม ทว่า
“ อ๊าาา!? มาป่านนี้แล้วยังคิดจะหนีไปไหนอีกเหรอวะนังบิช! ”
“ ปิ๊!? ”
เรื่องอะไรจะยอมรอเฉยอยู่ให้ศัตรูประชุมคุยกันจบ จิเซลพุ่งเข้าฟันใส่แคทลียาทันที
แกร๊ง!
แม้ว่า <<อัศวิน>> จะเข้ามาทุ่มสุดตัวรับการโจมตีจากบัสตาร์ดซอร์ดที่ถูกเล็งไปยังหน้าของแคทลียาเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่อาจจะป้องกันได้ไปจนถึงจิตสังหารและจิตมุ่งร้ายที่แผ่ล้นกระจายออกมา
แคทลียาที่เพิ่งจะเคยถูกคุกคามโดยการโจมตีที่เปี่ยมล้นเต็มที่ไปด้วยจิตสังหารในระยะเผาขนเป็นครั้งแรกสุดในชีวิตถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น ก่อนจะเคลื่อนไหวแบบกึ่งๆคืบคลานหนีลึกเข้าไปภายในป่า
“ ขึก! เรื่องอะไรจะให้หนี! เฮ้ยครอส! ถ้าปล่อยมันหนีรอดไปได้ตรงนี้ละก็พวกเราแพ้แน่! ช่วยกันฆ่าแม่งทิ้งอย่างด่วนเลย! ”
“ อือ! ”
“ ไม่ยอมให้ทำได้หรอก! ”
แกร๊งงงงงงงงงงง!
“ ……..ฮึก! ……..ฮึก! ”
คำสนทนาที่ดูแสนน่ากลัวกับเสียงการต่อสู้อันแสบแก้วหู
แคทลียาเอาแต่วิ่งสุดแรงเกิดเข้าไปในป่า พยายามจะถอยเอาตัวห่างออกจากเสียงเซ็งแซ่ที่น่าหวาดหวั่นขวัญผวามากที่สุดไม่มีอะไรเกินนั่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ทุ่มสุดแรงเกิดที่มีขยับแขนขา มุ่งหน้าถลำเข้าไปตามทางวิบากเพื่อให้เว้นระยะจากพวกจิเซลได้แม้แค่นิดเดียวก็ยังดี
แต่ทำแบบนั้นไปได้ไม่เท่าไหร่——-
ตู้มมมมมมมมมมมมมม!
เสียงเวทมนตร์อันแสนทรงอำนาจก็พลันระเบิดก้องทำให้ป่าสั่นสะเทือน
และที่ดังก้องไล่หลังตามมาดัง แซ่กแซ่กแซ่กแซ่กแซ่กแซ่กแซ่ก! นั่นก็คือเค้าลางที่เห็นได้ชัดเจนว่ากำลังมีใครบางคนพุ่งตัวไล่ตามตนมาติดๆ
แคทลียารู้สึกเหมือนกับว่าจะสติแตกบ้าตายให้ได้
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้! ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้!
กลุ่มเด็กกำพร้าที่แค่เจอศึกปราบปรามสไลม์ปุกปุยก็ถึงกับหืดขึ้นคอแล้วนั่น มันน่าจะสามารถฆ่าทิ้งได้ในพริบตาพลางฮัมเพลงไปด้วยได้เลยไม่ใช่เหรอ!
แล้วทำไมดิฉันถึง ทำไมดิฉันถึงต้องมาวิ่งหนีป่าราบเนื้อตัวเขรอะเปื้อนดินโคลนอย่างแสนเวทนาแบบนี้ด้วยล่ะ!?
ทำไมดิฉันถึงต้องมาถูกไล่ล่าโดยนังผู้หญิงที่ปลดปล่อยจิตสังหารหยั่งกับเป็นมอนสเตอร์ อยู่อย่างตัวคนเดียวภายในป่าที่ไม่คุ้นชินแบบนี้ด้วยเล่าาา!?
“ ทั้งหมด! ทั้งหมดเป็นเพราะพาฟลอฟคนเดียวเลย! เพราะพาฟลอฟเลือกป่าให้เป็นสนามจัดการแข่งไงล่ะมันถึงได้เป็นแบบนี้! เพราะพาฟลอฟกำหนดให้เป็นกฎล้างบางที่มีเวลาจำกัดไงล่ะมันถึงได้วินาศสันตะโรแบบนี้! ”
แผดเสียงร้องราวกับพาล แต่แล้วก็เอามือปิดปากในทันทีเพราะคิดได้ว่าเสียงแผดร้องนั่นอาจเป็นตัวฟ้องถึงตำแหน่งที่อยู่ของตนให้ศัตรูรับรู้
“ แต่ว่า ใช่สิ…..ถ้าถ่วงเวลาเอาไว้ได้ละก็……อีกฝั่งมีแค่ <<เรนเจอร์ระดับต่ำ>> เท่านั้นเอง ถ้าพยายามหนีเต็มที่แล้วละก็จะต้องสลัดหลุดได้แน่ๆ……! ”
แคทลียาพึมพำราวกับเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับจิตใจตัวเองที่จวนเจียนจะหักอยู่ร่อมร่อเพราะความกลัว พลางก้าวขาอย่างสุดชีวิตมุ่งหน้าไป
พอแล่นทะยานไปในป่าแบบวกซ้ายทีขวาที โดยไม่อาจทราบได้เลยว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่
“ ฮึก ”
แต่ ณ ปลายสุดหลังจากที่ถลำลึกเข้ามาในป่าแบบสุดแรงขาดดิ้นโดยไม่รู้ทิศทางใดๆเลยนั้น แคทลียาก็ได้พบเจอะเข้ากับเงาของคนผู้หนึ่ง
เห็นเงาที่เหมือนกับว่าเอนตัวพิงอยู่หลังต้นไม้ราวกับซุ่มดักรออยู่นั่นแล้ว ก็รู้สึกเหมือนใจมันจะหล่นตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
แต่พอสังเกตเห็นลายลักษณ์ของชุดเกราะที่คุ้นตา สีหน้าของแคทลียาก็พลันแจ่มใสขึ้นมาในทันใด
“ พาฟลอฟ!? ”
การได้พบเจอกับผู้ติดตามที่นึกว่าจะหมดสภาพไปแล้วซะสนิท ทำให้แคทลียาทุ่มสุดแรงวิ่งตรงเข้าไปหาอีกฝั่งในทันที
แคทลียาที่ลืมสนิทแม้กระทั่งคำพูด “ทั้งหมดเป็นเพราะพาฟลอฟคนเดียวเลย!” อย่างโกรธเกรี้ยวของตัวเองเมื่อครู่ พลันโผซุกเข้ากับชุดเกราะของคนสนิทด้วยใบหน้าที่เหมือนจะร้องไห้
“ สลัดไอ้พวกนั้นหลุดได้แล้วสินะ!? ทำได้เยี่ยมมากเลยล่ะ! เธอน่ะเป็นอัศวินของดิฉันนะ ฉะนั้นก็จงรับผิดชอบต่อหน้าที่คอยปกป้องดิฉันอยู่ข้างๆไปจนกว่าจะหมดเวล——- ”
คำพูดของแคทลียาไม่อาจดำเนินไปได้จนจบ
ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะ—–ตุบ
ร่างกายของพาฟลอฟที่ถูกแคทลียาเอาตัวเข้าซุก พลันล้มลงมากองแน่นิ่งไม่ไหวติง ณ จุดนั้นเลยยังไงล่ะ
“ …………เอ๊ะ? ”
พอลองคิดดูดีๆแล้ว การที่พาฟลอฟจะวิ่งอ้อมมาดักอยู่หน้าตนได้แบบนี้นั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะ <<เรนเจอร์ระดับกลาง>> หมดสภาพไปเรียบร้อยแล้ว พาฟลอฟจึงไม่มีวิธีใดๆจะใช้ไล่ตามหาตัวแคทลียาที่วิ่งหายลับเข้าไปในป่าได้ซักนิด
พอแคทลียากวาดสายตามองไปรอบบริเวณอย่างอึ้งตะลึงงัน ก็พบว่ามี <<อัศวิน>> และ <<เรนเจอร์ระดับกลาง>> ล้มอยู่ตรงนั้นด้วย…….และแคทลียาที่เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนเองแค่หลงทิศหลงทางอยู่ภายในป่า จนวกกลับมายังจุดที่เหล่าผู้ติดตามถูกซ้อมจนยับเยินหมดสภาพเพียงเท่านั้น ก็ถึงกับทรุดลงกับพื้นมันตรงนั้น
“ ไม่……..จริงนะ……. ”
การพลิกอย่างกะทันหันจากความหวังสู่สิ้นหวังรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวันนี้
พอแคทลียาเกือบๆจะเข้าสู่สภาวะหัวหยุดทำงาน ภายในป่าที่ไม่มีใครจะเข้ามาปกป้องตัวเองหลงเหลืออยู่เลยแม้ซักคนเดียวแห่งนั้นแล้ว…….แซ่กแซ่กแซ่ก
“ เอ้อ ไอ้คุณหนูผู้ดีที่ให้ผู้ติดตามคอยอุ้มมั่งคอยแบกมั่ง ไม่เคยทำเควสต์ในป่าแบบจริงๆจังๆด้วยตัวเองซักครั้งมันก็หยั่งงี้แหละว่ะ ”
“ ไล่ตามทันได้ซักทีเนอะ ค่อยยังชั่ว…….โชคดีไปที่เค้าหนีแบบไม่ระวังตัวเลย ”
“ ……………ฮึก!? ”
เสียงที่ดังก้องมาจากข้างหลัง ทำให้แคทลียาถึงกับสะดุ้งโหยง
พอหันขวับกลับไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ก็แน่นอนว่าที่อยู่ตรงนั้นย่อมต้องเป็นจิเซลกับครอสที่พาตัว <<เรนเจอร์ระดับต่ำ>> มาด้วย—–
“ ไล่ตามทันซักทีเว้ย ไอ้คุณทั่นแคทลียา ริชมอนด์ ”
“ ฮิ๊!? ”
จิเซลที่ตั้งท่าเตรียมบัสตาร์ดซอร์ด พลันจับจ้องมองต่ำลงมายังแคทลียาด้วยรอยยิ้มแสนดุร้าย
มาจนถึงขั้นนี้อาจไม่จำเป็นต้องพูดแล้วก็จริง แต่ครอสที่ผ่านศึกกับดาเรียสจนใช้งานสไตล์ <<นักดาบเวทมนตร์>> ได้ชำนาญมากยิ่งขึ้นนั้น ได้ร่วมมือกับจิเซล ทำการโค่น <<อัศวิน>> ที่สะบักสะบอมไปหมดทั้งตัว กับพาฟลอฟได้ในพริบตา
ใช้สกิลตรวจจับศัตรูของ <<เรนเจอร์ระดับต่ำ>> ผสานร่วมด้วยกับไล่ตามร่องรอยอย่างกิ่งไม้ที่หักและรอยเท้า ทำให้พบเจอตัวแคทลียาได้ในที่สุด
ที่เหลือก็แค่ทำการปลิดชีพของ <<จอมขมังเวทสองชั้น>> ที่ถูก <<ลอบรี่เมจิค>> ผนึกอำนาจเวทมนตร์อยู่ตรงหน้านี่เท่านั้น
แคทลียาที่ถูกไล่ต้อนจนมุมนั้นเหมือนว่าจะไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะลุกขึ้นได้เลยด้วยซ้ำ เอาแต่ถอยหลังพลางล้มนั่งอยู่กับพื้นอย่างเดียวเลย
แต่คำอ้อนวอนขอร้องนั่นก็ไม่เป็นผล เนื่องจากอยู่ภายในการแข่ง——แถมจิเซลที่โดนกวนโอ๊ยดูถูกดูหมิ่นมาตลอดจนถึงตอนนี้ ก็ไม่มีทางจะยอมรับอภัยให้เด็ดขาดด้วย
“ เหงั้นเหรอ~ กลัวอะไรเจ็บๆงั้นเหรอ งั้นเหรองั้นเหรอ แหม่อุตส่าห์บอกกันตรงๆแบบนี้นี่ขอบใจหลายเว้ย ”
เรื่องตลอดมาจนถึงตอนนี้คงจะทำให้สะสมความหงุดหงิดเอาไว้มากพอตัวเลยละมั้ง
จิเซลจึงแผดเผาจิตสังหารอยู่ภายในดวงตา ก่อนจะยกเอาบัสตาร์ดซอร์ดขึ้นมา
“ นะ นี่จิเซล? น่าจะรู้อยู่แล้วก็จริง แต่ห้ามทำเกินไปเด็ดขาดเลยนะ? ”
ครอสที่รู้สึกเหมือนท่าทางชักจะไม่ดีพลันเอ่ยขึ้นแทรก ทว่า
“ แกไม่ได้ฟังกฎรึไงวะไอ้เบื๊อก ในป่าเนี้ยอะนะ ตราบเท่าที่ไม่ใช่การโจมตีที่มีอานุภาพแรงมากเอาเรื่องละก็ ต่อให้ฆ่ายังไงมันก็ไม่ตายหรอกเว้ย ………เอ้อ ถ้ายั้งแรงไม่อยู่จนเผลอฟาดซ้ำๆหลายครั้งเข้ามันก็อาจจะดวงซวยตายห่าตายโหงได้อยู่เหมือนกันหรอก แต่ต่อให้เป็นหยั่งงั้นขึ้นมามันก็ช่วยไม่ได้อะเนาะ? ก็งั้นแหละ…….ไปตายซะ! วิชาดาบระดับกลาง <<สะบั้นศิลายักษ์>> ! ”
“ ปิ๊!? ”
ตู้มม! กร๊อบกร๊อบกร๊อบ!
พอจิเซลขู่แคทลียาเต็มที่แล้ว ก็ทำการฟาดบัสตาร์ดซอร์ดลงมายัง บริเวณข้างๆใบหน้า ของเธอเต็มแรง
นั่นคือการกระทำที่ตั้งใจกะจะสื่อว่า [ก่อนจะฟาดให้น่วม จะทำให้หวาดกลัวตัวสั่นจนไม่กล้าคิดที่จะหาญเข้ามาหาเรื่องอีกเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด!] หรอกนะ แต่……..
จ้อกจ้อกจ้อก……ซ่าาาาา……..
แคทลียาที่ถูกการโจมตีอันเปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหารแล่นเฉี่ยวแก้มไปนั้น ถึงกับหวาดกลัวมากจัดจนน้ำลายฟูมออกมาจากปากด้านบน พร้อมปล่อยศักดิ์ศรีในฐานะคนเล็ดออกมาจากปากด้านล่าง….ก่อนจะหงายแหงนล้มลงแน่นิ่งตรงนั้น
พริบตานั้นเอง
[สิ้นสุดการแข่ง———–!]
“ ห๊าาา!? ”
เสียงร้องบ่งบอกว่าการแข่งสิ้นสุดลงของ <<จอมขมังเวทด้านเสียง>> พลันดังกังวาน ทำเอาจิเซลถึงกับตาเหลือก
“ อีนังขุนนางกากเดนนี่ แค่โดนการโจมตีเฉี่ยวไปนิดหน่อยก็เป็นลมคอพับคออ่อนหมดสติซะแล้วเรอะ!? ระยำเอ๊ย! ถ้าไม่เล่นกดดันไม่เข้าเรื่องฟาดกลางหน้าฆ่ามันทิ้งซะแต่แรกก็ดีแล้วแท้ๆ……ไม่ดิเดี๋ยวก่อนนะ ถ้าเป็นในระหว่างช่วงก่อนที่กรรมการจะมาเก็บเอาตัวไปละก็ อาจจะซ้อมระบายอารมณ์ได้หลายเปรี้ยงอยู่…… ”
“ เหวอ!? เดี๋ยว จิเซล! เดี๋ยวก่อนเดี๋ยวเดี๋ยว! ถ้าทำแบบนั้นเดี๋ยวก็โดนหาว่าเล่นผิดกติกาบ้างล่ะ การแข่งถือเป็นโมฆะบ้างล่ะ อาจจะถูกเค้าหาเรื่องอ้างแบบนั้นมาได้ร้อยแปดเลยนะ!? ”
“ ขึก!? ระ รู้แล้วแหละน่า! รู้แล้วเพราะงั้นถอยไปไกลๆดิ้อย่ามาแตะฉันนะเว้ยยยยยยย! ”
——–ก็ แม้จะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นนิดๆในตอนท้ายสุด
แต่การหาเรื่องอันแสนไร้เหตุผลของขุนนาง ก็ได้ถูกปิดม่านลงด้วยชัยชนะอันท่วมท้นของพวกครอสล่ะ