ที่เดินนำอยู่หน้ากลุ่มแต่ละกลุ่ม ก็คือผู้ชายร่างสูงกับผู้หญิงร่างเล็ก
ทั้งสองคนที่สวมเครื่องสวมใส่ซึ่งดูดีงดงามเค้าส่งสายตามองมายังผมกับจิเซล แล้วจึงพูดกล่าวออกมาอย่างกะทันหันยังไงแปลกๆ
“ แหม่ต้องขอพูดว่ายอดเยี่ยมโดยแท้เลย สกิลที่มีหลากหลายและพลังเวทที่แม้จะเผชิญศึกซ้ำเท่าไหร่ก็ไม่มีวี่แววจะเสื่อมคลายร่อยหรอ จะโค่น แคทลียา ริชมอนด์ ผู้นั้นลงได้ก็ไม่แปลกเลย! ปักใจเชื่อไม่ลงเลยจริงๆว่าเป็น <<ไร้อาชีพ>> ”
“ แม้จะเพิ่งขึ้นเป็น <<นักรบทำลายล้าง>> อาชีพระดับกลางได้เพียงไม่นาน แต่พละกำลังทำลายล้างและเซนส์ด้านการต่อสู้ที่ทำให้ชนะรวดต่อเนื่องได้ในเขตเลเวลนี้ก็ถือเป็นอะไรที่เกินบรรยายเหลือเกิน หนำซ้ำยังมียูนีคสกิลพ่วงติดมาด้วยอีกต่างหาก สมแล้วจริงๆล่ะที่ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้เก่งกาจที่ในหลายสิบปีจะมีโผล่มาหนึ่งคน ”
“ อะ เอ่อ…… ”
ทั้งสองคนต่างก็เอาแต่พูดยกยอปอปั้นผมกับจิเซลไม่ขาดสาย แล้วจึงรุกไล่เข้ามาราวกับแข่งขันกัน
อะไรของพวกเค้าน่ะคนพวกนี้……พอกำลังสับสนมึนงงอยู่แบบนั้น ก็คาดว่าคงจะคาดเดาถึงบรรยากาศนี้เอาไว้แล้วละมั้ง
ทั้งสองคนจึงพูด ““โอ๊ะโอ ฉัน/ดิฉันนี่ช่างเสียมารยาทจริง”” พร้อมปรับท่าทางใหม่ แล้วจึงหันตรงเข้ามาใส่ทางนี้อีกครั้ง
“ ขออภัยที่กล่าวออกไปโดยไม่ทันได้แนะนำตัว ฉันชื่อกาดอล์ค ม๊อบเบิร์ค เป็นลูกชายคนโตของตระกูลเอิร์ลม๊อบเบิร์คซึ่งสังกัดอยู่ในพรรคฟอร์เรสทีเซ่ อันนับเป็นหนึ่งในขุมกำลังหลักทั้งสามน่ะ ”
“ ดิฉันชื่อลีอานา ม๊อบรีนา เป็นลูกสาวคนโตของตระกูลเอิร์ลม๊อบรีนาซึ่งสังกัดอยู่ในพรรคฟรังก์สไตน์ อันนับเป็นหนึ่งในขุมกำลังหลักทั้งสามล่ะ ”
“ ……ฮึก!? เป็นทายาทของตระกูลเอิร์ลทั้งคู่เลย!? ”
ถึงจะพอเดาได้อยู่แล้วจากการแต่งตัวและท่วงท่าที่งดงามดูดีมีระดับ……แต่คำยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายต่างเป็นขุนนางระดับกลางนั่น ก็เอาผมกับกลุ่มเด็กกำพร้าถึงกับรู้สึกหวั่นประหม่าขึ้นมาอย่างรุนแรง
ก็ตระกูลเอิร์ลนี่มัน เป็นบรรดาศักดิ์เดียวกับคุณแคทลียาที่เข้ามาท้าพวกผมเข้าสู่การประลองอันไร้เหตุผลนั่นเลยนี่นา
ถึงจะไม่ค่อยรู้เรื่องชื่อพรรคฟรังก์อะไรซักอย่างหรือพรรคฟอร์เรอะไรซักอย่างเท่าไหร่……แต่จะรู้สึกระแวงกลัวว่าจะโดนเรียกร้องให้ทำอะไรอีกนี่มันก็สมควร
“ เอาละ ในเมื่อแนะนำตัวกันเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ”
“ ก็จะขอเข้าประเด็นเลยแล้วกันนะ ”
เตรียมใจพลางคิดสงสัยว่าจะถูกเรียกร้องอะไรออกมา
แล้วทีนี้ขุนนางทั้งสองก็จ้องมองผมกับจิเซลอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะกล่าวประเด็นหลักออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
““ อยากจะขอให้พวกเธอ ช่วยมาเป็นกำลังให้กับพรรคของเราน่ะ ””
“ เอ๊ะ ”
ความกระตือรือร้นที่เหนือล้ำมากยิ่งกว่าในตอนที่กล่าวสรรเสริญเยินยอพวกผมอยู่เมื่อครู่ กับท่าทางอันจริงใจนั่นทำเอาแม้จะรู้ว่าเสียมารยาทแต่ก็เผลอเงิบค้างไปเลย
และคำพูดของพวกเค้าก็ไม่ได้จบอยู่แค่นั้น
“ ขอกล่าวแสดงความชื่นชมจากก้นบึ้งหัวใจเลย กำลังความสามารถของพวกเธอมันช่างยอดเยี่ยมมากเสียเหลือเกิน ได้เห็นการวิวาทเมื่อครู่นี้แล้วจึงมั่นใจ พวกเธอจะต้องกลายเป็นพลังที่จะขาดไปไม่ได้สำหรับพวกเราเป็นแน่แท้เชียว ช่วยเข้าร่วมกับพรรคฟอร์เรสทีเซ่แล้วสำแดงพลังนั่นออกมาเพื่อเราทีเถอะ ”
“ ไม่เลยไม่ใช่หรอกนะ ฝั่งที่ชื่นชมให้ค่าพวกเธอมากกว่าน่ะคือพรรคฟรังก์สไตน์ของพวกดิฉันต่างหากละ ทั้งกำลังใจสู้ที่พร้อมหาญเข้าท้าชนกับขุนนางสุดไร้เหตุผล รวมทั้งความสามารถที่สูงล้นจนโค่นล้มอีกฝั่งลงได้ นับเป็นบุคลากรที่อยากได้เข้ามาร่วมภายใต้สังกัดเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียวเชียวล่ะ ”
“ ……เฮ้ย ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้วพร่ำอะไรของแกอยู่น่ะ ตอนนี้ฉันกำลังชักชวนพวกเขาอยู่นะอย่าได้มาขัดขวางจะได้ไหม ”
“ ห้ะ? แต่คนที่เล็งพวกเขาก่อนคือดิฉันนะยะ? ”
“ เอ๊ะ เอ๊ะ อ่า ”
ขุนนางทั้งสองคนที่รุกไล่เข้ามาอย่างจริงจังหยั่งกับว่าจะเริ่มทะเลาะตีกันขึ้นมาเลยนั่น ทำเอาถึงกับอึ้งค้างไปเลย
เป็นตรงนั้นเองที่ผมเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้อย่างชัดเจนซะที
(อ๊ะ นี่มัน……การรวบรวมคนใต้สังกัดเพื่อหวังขยายขุมกำลังของพวกขุนนางล่ะ)
ในช่วงเวลาที่ผู้สืบสายเลือดผู้กล้ามาพักอาศัยอยู่นี้ บัสเคิลเบียร์จะกลายสภาพเป็นสถานที่เปิดศึกแก่งแย่งชิงอำนาจของเหล่าขุนนาง
เพื่อที่จะให้สามารถบริหารอาณาเขตได้อย่างมั่นคงในอนาคตภายภาคหน้า พวกเขาที่มายังเมืองแห่งนี้จึงจำต้องทำการฝึกฝนยกระดับฝีมือ ค้นหารวบรวมบุคลากรที่เก่งกาจมีคุณภาพ และจ้องหาโอกาสที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับพรรคของพวกตนเองน่ะ เพราะสำหรับขุนนางที่จำเป็นต้องปกป้องคุ้มครองปวงประชาในอาณาเขตให้พ้นจากภัยของมอนสเตอร์แล้ว กำลังอำนาจในการรบจะถือเป็นผลงานที่สำคัญมากสุดเลยนั่นเอง
(งั้นเหรอ พอคิดดูดีๆแล้ว เทศกาลวิวาทคราวนี้ก็ถือเป็นโอกาสดีที่พวกคุณขุนนางจะได้ค้นหาบุคลากรที่ถูกใจด้วยเหมือนกันนี่นะ)
ถึงแม้จะเอาชนะคุณแคทลียาได้ แต่เพราะการประลองถูกจัดขึ้นในที่ลับตาคนก็เลยยังมีผู้ที่สงสัยในความสามารถของพวกผมอยู่มาก ดังนั้นพวกคุณขุนนางก็เลยอาศัยเทศกาลนี้เพื่อมาเฝ้าตรวจสอบว่าความสามารถของพวกผมเป็นของจริงแน่รึเปล่า แล้วพอแน่ใจแล้วจึงออกมาทำการชักชวนละมั้งนะ
ชื่อเสียงของกลุ่มเด็กกำพร้าที่ย่ำแย่ลงมาเพราะ <<ไร้อาชีพ>> อย่างผมสะเออะไปโค่นจิเซลเข้านั่นกำลังถูกฟื้นฟูกลับมาอย่างราบรื่นเลย ได้รู้แบบนี้แล้วก็ดีใจเหลือเกิน
แต่ว่า——
(เข้ามาอยู่ใต้สังกัดนั่น ว่ากันง่ายๆแล้วก็คือ ‘จงทำตามคำสั่งของพวกฉันซะ’ หรือ ‘จงทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อผลประโยชน์ของพรรคซะ’ ละสินะ? เค้าเข้ามาชวนกันอย่างกระตือรือร้นเลยก็จริงหรอก แต่ก็คงหวังจะเอาพวกผมมาเป็นลูกน้องนั่นแหละไม่ผิดแน่……ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว จิเซลที่เป็นเหมือนดั่งตัวแทนของพวกอันธพาลจะแสดงปฏิกิริยาตอบสนองยังไงกันน่ะ)
ไม่แน่แล้วอาจจะกลายเป็นเรื่องยุ่งเหมือนคราวคุณแคทลียาอีกรึเปล่า……พอผมหันมองไปทางจิเซลอย่างกล้าๆกลัวๆปุ๊บ
“ มาเว้ย ตกได้เร็วกว่าที่คิดไว้อีก ”
จิเซลพึมพำเบาๆไปพลาง ยิ้มเล็กยิ้มใหญ่ขึ้นมาแบบน่าสงสัยแปลกๆ
ส่งรอยยิ้มทั้งอย่างนั้นไปทางพวกคุณขุนนาง แล้วจึงกล่าวคำพูดที่เกินคาดหมายออกมา
“ เห~ พวกท่านขุนนางจากขุมกำลังหลักทั้งสามอุตส่าห์ถ่อมาชักชวนโดยตรงเลยเหรอนี่ ช่างถือเป็นเกียรติยิ่งจริงๆเลยค่ะ ”
“ เอ๊ะ ”
เป็นเกียรติยิ่งนี่……พูดในเชิงประชดอะไรแบบนั้นเหรอ?
ผมสับสนงุนงงไม่อาจเข้าใจเจตนาเบื้องหลังคำพูด และจิเซลที่อยู่เคียงข้างก็กล่าวเพิ่มออกมาอีก
“ ไอ้เรื่องเข้าร่วมใต้สังกัดที่สุดจะเด็ดแบบนี้ จะไปมีทางพลาดได้ยังไงกันละคะ แต่สำหรับพวกฉันแล้ว การตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกับพรรคไหนนี่มันคือปัญหาเป็นตายเลยทีเดียว ทั้งสองฝั่งต่างก็คือพรรคใหญ่ที่เป็นตัวแทนของอาณาจักรเหมือนกันเลยนี่นา คงตัดสินใจไม่ได้ง่ายๆนักหรอกค่ะ เพื่อในอนาคตภายภาคหน้าแล้วก็อยากจะขอปรึกษาแบบค่อยเป็นค่อยไปกันก่อนอะนะคะ ”
เอ๋—————!?
มะ ไม่ได้ประชดแต่อย่างใดเลย
ถึงแม้วาจาที่ใช้จะออกไปทางแข็งกระด้างนิดหน่อย แต่จิเซลคนนั้นน่ะนะพูดจาสุภาพแถมยังพิจารณาบอกว่าอยากจะเข้าร่วมในสังกัด!?
จิเซลคนนั้นน่ะนะ!
ในระหว่างที่ผมช็อคจนตัวแข็งทื่อ พวกคุณขุนนางที่ได้รับคำตอบอันน่าคาดหวังจากจิเซลก็ถึงกับหน้าตาเบิกบานกันขึ้นมาในฉับพลัน
“ ถ้าอย่างนั้นแล้วก็เชิญมาเข้าร่วมกับพรรคของเราทีเถอะ! ขอสัญญาเลยว่าจะได้รับสวัสดิการที่ดีเกินกว่ามาตรฐานที่สามัญชนทั่วไปสมควรได้รับเสียอีก! ”
“ ถ้าเป็นเรื่องสวัสดิการละก็ทางฝั่งนี้ก็ไม่ได้น้อยหน้านะ! จะเป็นสถานที่สำหรับฝึกยกระดับสกิลหรือบุคลากรช่วยฝึกสอนเราก็สามารถมอบให้ได้ ถ้ามาเข้าร่วมกับทางนี้แล้วจะเป็นการดีต่ออนาคตของพวกเธออย่างแน่นอนเลยนะ! ”
“ หา? บุคลากรฝึกสอนที่จำเป็นต่อการยกระดับสกิลอะไรกัน หากเป็นเรื่องนั้นละก็ทางฝั่งฉันก็ยังคงเหนือมากกว่าเห็นๆ! ”
“ เอาความมั่นใจมาจากไหนถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้หือ? ให้ว่าแล้วมัวจุ้นอะไรของนายมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วน่ะ? มันเกะกะการชักชวนนะช่วยไสหัวไปทีจะได้ไหม ”
“ แกนั่นแหละไสหัวไป ”
“ แหม อยากเจอดีหรือ? ”
“ ฝั่งแกต่างหากอยากโดนดีนักหรือไร? มีแต่จะต้องอับอายขายหน้าเสียเปล่าๆนะ? ”
คงเพราะมีชื่อศักดิ์ศรีของพรรคด้วยละมั้ง พวกคุณขุนนางที่ไม่ยอมถอยให้กันแม้แต่ก้าวเดียวจึงเริ่มจะเขม่นใส่กันแบบจริงจังขึ้นมาซะแล้ว บรรยากาศเหมือนจะระเบิดได้ทุกเมื่อเลย
ทะ ทำยังไงดีละเนี่ย……แม้จะมีสับสนแบบนั้น แต่ผมก็ฉวยโอกาสนี้ส่งเสียงเข้าไปหาจิเซล
“ คือว่า ผิดคาดเลยนะ ”
“ อื๋อ? หมายถึงอะไรวะ ”
“ อ่าก็ นึกว่าจิเซลจะร้องโวยวายแบบ ‘ใครมันจะไปยอมอยู่ใต้สังกัดของขุนนางว้าา’ แล้วกระโจนเข้าหาเรื่องอะไรทำนองนั้นซะอีกน่ะ ”
“ อ๊าา? จะไปเป็นหยั่งงั้นได้ยังไงกันเล่าเอ้อไม่ใช่คนเถื่อนสมองเอ๋อซะหน่อย แกเห็นฉันเป็นตัวอะไรกันน่ะ ”
จิเซลหรี่ตาเขม่นมายังผมแบบเพลียๆ
“ ตอนแคทลียานี่พวกมันมั่นหน้าเข้ามาแบบดูหมิ่นดูแคลนกันสุดกู่เลยไง ก็เลยแยกเขี้ยวกลับไปสุดกำลังเพื่อหวังกู้ชื่อเสียงคืนด้วยอะนะ แต่อีกฝั่งก็คือขุมกำลังหลักทั้งสามที่มีผู้สืบสายเลือดของปาร์ตี้ผู้กล้าเป็นตัวท็อป ต่อให้ยังไงก็คงฝืนตะแบงหาเรื่องไปเรื่อยไม่ได้หรอกว่ะ ”
คำพูดนั้นของจิเซล ทำเอาผมถึงกับเบิกตาโพลง
“ ผู้สืบสายเลือดของปาร์ตี้ผู้กล้า คือตัวท็อปของพรรคขุนนาง……? ”
“ ……แกนี่มันไม่รู้เรื่องห่าเหวอะไรเลยจริงๆนะ ”
หากอิงตามจิเซลที่กล่าวแบบนั้นแล้วเล่าอธิบายออกมาให้ฟัง——ก็เหมือนว่าขุนนางของประเทศนี้จะถูกแบ่งออกเป็นพรรคใหญ่สามพรรคที่ถูกเรียกขานว่าขุมกำลังหลักทั้งสาม และผู้ที่คอยชักนำอยู่เหนือพรรคแต่ละพรรคมารุ่นต่อรุ่น ก็คือเชื้อสายทั้งสามที่ถูกเรียกว่าเป็นผู้สืบสายเลือดของปาร์ตี้ผู้กล้านั่นเอง
ความสามารถนั้นหาได้เป็นเพียงของประดับฉากแต่อย่างใด โดยเฉพาะเหล่าผู้สืบสายเลือดในปีนี้ต่างก็ล้วนเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจเกินหน้าเกินตากันทั้งนั้น เหมือนว่าจะเป็นยอดคนที่ถูกกล่าวขานว่าเหมาะสมคู่ควรจะยืนอยู่เคียงข้างคุณเอลิเซียคนนั้นกันทั้งก๊วนเลยเชียว
“ แล้ว นังแคทลียามันก็สังกัดอยู่ในพรรคดิออสเกรฟซึ่งถือเป็นหนึ่งในขุมกำลังหลักทั้งสามนั่นอะนะ ส่วนพวกขุนนางที่เถียงแย่งตัวพวกเราอยู่นี่ก็คืออีกสองพรรคที่เหลือ ต่อให้จะยังไงก็คงตั้งตัวต่อต้านไปตลอดไม่ได้หรอกใช่มั้ยล่ะ? ”
“ บะ แบบนี้นี่เองนะ ”
ก็จริง แค่ขุนนางจับตัวรวมกันเป็นกลุ่มแค่นั้นก็เป็นภัยมากพอแล้ว ยิ่งหากผู้ที่ขึ้นแท่นเป็นท็อปคือเหล่าผู้คนที่เก่งกาจระดับเคียงบ่าเคียงไหล่กับคุณเอลิเซียได้เลยอีกละก็คงฝืนตั้งตัวต่อต้านไปตลอดไม่ได้จริงๆนั่นแหละ
จิเซลจะตัดสินใจว่าควรยอมเข้าไปอยู่ใต้สังกัดใดสังกัดนึงให้ได้ก่อนที่เรื่องจะยุ่งแบบนั้นก็ดูสมเหตุสมผล
“ เอ้อ ถ้าเข้าไปอยู่ใต้สังกัดแล้วก็จะต้องมีเป็นลูกพี่ใหญ่เอยเป็นลูกน้องเอย คำสั่งจากเบื้องบนจะใกล้เคียงกับเป็นตัวบังคับเลยก็จริงหรอกนะ ถ้าทำได้ก็อยากจะขอผ่านไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยแหละว่ะ แต่ถ้ามีแบ็คคอยหนุนหลังแล้วมันก็จะปลอดภัยไง แถมถ้าอีกฝั่งประเมินเราไว้สูงแล้วก็จะได้รับการปฏิบัติด้วยในระดับที่ดีไม่เลวเลย การเข้าอยู่ใต้สังกัดจึงไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียวหรอก ”
ว่าแล้ว จิเซลก็ยิ้มอย่างสำราญใจ
“ ตอนนี้คุณค่าของพวกเราในหมู่พวกขุนนางมันกำลังพุ่งกระฉูดเลยอะนะ เพราะจะยังไงซะถ้าเกิดแพ้ให้กับพวกเราขึ้นมา ชื่อเสียงเรียงนามในฐานะขุนนางมันก็จะเละเทะป่นปี้ลงมาจมกองขี้ไปเลยไง ใช้เป็นตัวขัดขวางพรรคศัตรูได้แบบโคตรเหมาะ แถมถ้าดึงมาเป็นพวกซะ อย่างน้อยที่สุดก็จะรอดพ้นจากความเสี่ยงที่จะถูกล้อว่าเป็น [ขุนนางที่แพ้ให้กับเด็กกำพร้าหรือ <<ไร้อาชีพ>>] ด้วย เรียกได้ว่าอยู่ในสภาวะที่อยากได้พวกเรามาเข้าร่วมอยู่ใต้สังกัดใจแทบขาดเลยเชียวล่ะ ”
“ เอ๋…… ”
การวิเคราะห์ของจิเซลทำเอารู้สึกหยึยขึ้นมานิดๆ
แต่ก็นะ หากนึกถึงชื่อเสียงของพวกคุณแคทลียาที่พ่ายแพ้ให้กับพวกผมแล้ว ขุนนางที่ยึดติดกับการแก่งแย่งอำนาจจะเข้ามาชักชวนกันอย่างกระตือรือร้นก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้
“ แถมยังเคราะห์ดีมีพรรคส่งเสียงทักเข้ามาทีเดียวสองพรรคเลยอีก จะยืดการต่อรองออกไปในระดับที่ไม่เกินเหตุ แล้วเอากลุ่มเด็กกำพร้าทุกคนเข้าร่วมใต้สังกัดให้ได้สวัสดิการดีที่สุดเท่าที่จะไม่โดนพาลหาเรื่องเลยเว้ย ”
“ จะ จิเซลสุดยอดไปเลยนะ…… ”
แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นกับความแข็งแกร่งของจิเซลที่ยิ้มอยู่ด้วยใบหน้าชั่วร้าย แต่ผมก็รู้สึกประทับใจจากเบื้องลึกในอกไปด้วยเช่นเดียวกัน
แบบนี้นี่เอง ที่จิเซลมีกะใจเต็มเหนี่ยวในเทศการวิวาทวันนี้ ก็เพราะจ้องเพ่งเล็งแบบนี้อยู่น่ะเอง
อื~ม แต่ว่าก็ว่าเถอะ เข้าร่วมใต้สังกัดเหรอ
ทั้งการเข้าร่วมใต้สังกัด = ความสัมพันธ์แบบลูกพี่ลูกน้องและคำสั่งจะใกล้เคียงเหมือนเป็นการบังคับเอย หรือเรื่องที่ <<ไร้อาชีพ>> ถูกประเมินไปในทิศทางแปลกๆเอย มีเรื่องที่ติดใจอยู่มากมายเลยเหมือนกัน แต่ก็นะ——
(ถ้าฝากให้จิเซลที่น่าจะถนัดเรื่องการต่อรองหรือเจรจาเป็นคนจัดการซะก็คงไม่เป็นไร ละมั้ง?)
นี่คือจิเซลที่คอยสานสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนักผจญภัยของเมืองมาเป็นเวลาช้านานในฐานะผู้นำของกลุ่มเด็กกำพร้าเลยเชียวนะ
ต้องจัดการได้ผลออกมาแบบเรียบร้อยงดงามโดยที่น้ำหน้าอย่างผมไม่จำเป็นต้องกังวลเลยเชียวล่ะ
และ เป็นในฉับพลันที่ผมคิดจะเฝ้ามองการเจรจาไปนิ่งๆนั่นเอง
——แซ่ด
ที่จู่ๆ รอบทั่วบริเวณก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยเสียงอื้ออึงอันแปลกประหลาด
ต่างสุดขั้วไปจากเสียงเฮฮาครึกครื้นเพราะตื่นเต้นกับการวิวาท
เสียงร้องอย่างสับสนที่ราวกับว่าพบเห็นสิ่งที่ทำเอาแทบลืมหายใจมากยิ่งกว่า มันค่อยๆใกล้เข้ามาทางนี้ขึ้นเรื่อยๆเลย
(อะ อะไรน่ะ……?)
ผมกับจิเซลที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆพลันหันมองไปยังทิศนั้น
เท่านั้นแหละ——ซ่าาา
ฝูงคนมุงที่มีขนาดใหญ่หลายเท่ายิ่งกว่าในตอนที่ขุนนางระดับกลางทั้งสองคนโผล่ออกมาเมื่อกี้พลันแตกแยกตัวสร้างเป็นทาง พร้อมกับที่กลุ่มคนซึ่งมีบรรยากาศแตกต่างไปอย่างชัดเจนปรากฎออกมา
“ ให้ตายเถอะ กะอีแค่ศึกข้างถนนของอาชีพระดับกลางทำไมถึงได้มาสุมหัวดูกันมากถึงเพียงนี้นะ มีพวกปุถุชนอยู่กันเนืองแน่นเหลือเกินไม่น่าอภิรมย์เอาซะเลย ”
ชายรูปงามที่ยืนนำอยู่หัวแถวพลันกล่าวคำพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
พริบตานั้น บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนแปลงไปในบัดดล
หากให้ยกตัวอย่างอธิบายแล้วก็คือ ความรู้สึกหวาดหวั่นและประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ปกครองที่แสนทรงพลัง
ในระหว่างที่บรรยากาศซึ่งชวนให้หายใจติดขัดเปี่ยมล้นไปทั่วอยู่อย่างนั้น เหล่าขุนนางระดับกลางที่เอาแต่ถกเถียงกันต่อเนื่องมาตลอดก็พลันเบิกตาโพลงอย่างตกตะลึง
“ ขึก!? บะ บ้าน่า!? ทำไมคนระดับนั้นถึงมาอยู่ที่นี่!? ”
แล้วจึง กล่าวนามของบุคคลที่เปลี่ยนแปลงบรรยากาศของงานเทศกาลไปโดยสมบูรณ์ผู้นั้น ออกมาอย่างหวาดหวั่นขวัญผวา
“ อันดับ 4 ของพรรคดิออสเกรฟ, กิมเล็ต วอลเดรียงั้นหรือ……!? ”