[——ระ รู้ผล! ผู้ชนะคือ……ไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะ, ครอส อาราเกาท์ค่ะ!]
ในจังหวะไล่เลี่ยกับที่สกิลฟื้นฟูอัตโนมัติหมดฤทธิ์จนผมที่ถึงขีดจำกัดก้มลงมานั่งอยู่กับพื้น เสียงของคุณพี่สาวพิธีกรที่สั่นเครือไปด้วยความตื่นตะลึงก็ดังก้องกังวาน
พริบตานั้น——โว้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว!
เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มซะจนเสียงตอนเริ่มต้นการประลองดูเด็กๆไปเลย ส่งให้ทั่วทั้งลานประลองสั่นสะเทือนเลือนลั่น
เหล่าผู้ชมกำลังกระทืบเท้าอย่างตื่นเต้นชอบใจไปพลาง แผดเสียงร่ำร้องอย่างยินดีออกมาดังลั่นเลยนั่นเอง
“ อ๊ะ……จริงด้วย……สู้กันอยู่ในลานประลองนี่นะ…… ”
ตั้งแต่ช่วงกลางของการต่อสู้เป็นต้นมาก็จดจ่อมากซะจนมองไม่เห็นโดยรอบเลยซักนิดเดียว ผมจึงเพิ่งจะมารับรู้สถานการณ์ได้เอาสายป่านนี้นี่แหละ
และในระหว่างที่เสียงกระหึ่มดังกังวานลั่นซะจนรู้สึกเหมือนแก้วหูจะแตกนั่นเอง
“““““ อุว๊าาาาาาาาา! ครอสสสสสสสสสสสสสส! ”””””
ที่เสียงโห่ร้องยินดีซึ่งดังขึ้นอีกระดับ พลันแหวกผ่านเสียงเชียร์อื่นๆแล่นเข้ามาถึงหูของผม
ให้ว่าแล้ว เหมือนจะดังมาจากใกล้ๆนี้เลยรึเปล่า?
พอหันมองไปยังทิศต้นเสียง——ก็พบว่ากลุ่มเด็กกำพร้าทุกคนได้กระโดดลงมาจากที่นั่งคนดูแล้ววิ่งปรี่ตรงดิ่งมาทางนี้กันหมดเลย เอ๋!?
“ ครอสเอ็งนี่มันเอาชนะขุนนางลำดับสูงได้จริงๆซะด้วยว่ะ! ทำได้ไงฟะเนี่ยไม่เห็นจะเข้าใจเลย! ”
“ นายมันเป็นตัวอะไรกันเนี่ยเฮ้ยขอถามจริงเลย! สกิลนั่นมันอะไรกันน่ะ!? ”
“ น่ากลัวแล้วนะเนี่ย! น่ากลัวมากจัดซะจนต้องเรียก ‘คุณ’ ครอสแล้วเนี่ย! ”
“ เท่านี้ก็จะได้ขุนนางลำดับสูงมาเป็นลูกน้องแล้วไม่ใช่เรอะ ดีไม่ดีแล้วต้องเรียกเป็น ‘ท่าน’ ครอสดิถึงจะเหมาะกว่า! ”
“ เหวอ เดี๋ยวสิ ทุกคน!? ”
เพื่อนๆกลุ่มเด็กกำพร้าทุกคนต่างพากันพูดอย่างงู้นอย่างงี้ออกมา แล้วจึงทุบไหล่ผมมั่งล่ะขยี้หัวผมมั่งล่ะพุ่งเอาตัวเข้าชนผมมั่งล่ะ อยากจะทำอะไรก็ทำกันเต็มที่เต็มเหนี่ยวไปซะหมด สงสัยจะตื่นเต้นกับผลการประลองสุดๆไปเลยละมั้งนะ ทุกคนจึงเข้ามาแซวเล่นกับผมอย่างยินดีด้วยรอยยิ้มที่ปรีดาอย่างยิ่งเลย
และ ก็มีเงานึงที่กำลังยืนนิ่งเพียงตัวคนเดียวอยู่ในจุดที่ห่างออกไปจากพวกผมนิดหน่อย
“ …… ”
จิเซลนั่นเอง
เอาแต่ยืนอึ้งท่าเดียวดั่งกับว่ากระโจนลงมาจากที่นั่งเพราะอารมณ์พาไป แต่ก็สับสนไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงดีเลยงั้นแหละ ดวงตาสองข้างนั้นดูบวมเป็นสีแดงอยู่หน่อยๆ
“ จิเซล……ร้องไห้เหรอ……? ”
“ บะ……! ใครจะไปร้องวะไอ้เบื๊อกงี่เง่า! ”
พอผมที่สติพร่ามัวเพราะเพิ่งผ่านศึกเป็นตายเผลอหลุดพูดออกมาแบบนั้น จิเซลก็แผดเสียงแว้ดอย่างดังหยั่งกับจะพ่นไฟ
“ ให้พูดแล้วมันคือแกนี่แหละตัวดีเลย ไม่ยอมฟังคำเตือนของฉันแล้วเอาแต่แล่นไปทำอะไรต่อมิอะไรตามอำเภอใจอยู่นั่น! หายหัวไปไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เห็นตั้งเดือนนึงเต็มๆมั่งล่ะ ใช้สไตล์การต่อสู้ที่เห็นแล้วชวนใจหายใจคว่ำสุดๆเลยมั่งล่ะ คิดว่าฉันต้องเฝ้าเป็นห่วง——เอ้ย ไม่ชะ โอ๊ยโธ่เว้ยไอ้บ้าเอ๊ย! ถ้าจะชนะแล้วก็หัดชนะให้มันสวยๆดูดีมากกว่านี้ไม่ได้เหรอไงวะ! ”
ดูเหมือนจะทำให้เค้าต้องเป็นห่วงมากมายหลายเรื่องเลย จิเซลจึงร้องแรกแหกกระเชอออกมาโดยที่ถูกกลุ่มเด็กกำพร้าคนอื่นๆคอยปรามว่า “โยมเย็นไว้!” , “ใจร่มๆก๊อน” ไปพลาง
นะ นี่ผมพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไปรึเปล่านะ แม้จะหวั่นใจอยู่แบบนั้น แต่ก็มีเรื่องนี้แหละที่ต้องบอกไปอย่างชัดเจน……คิดแล้วผมก็อ้าปากพูดขึ้นต่อ
“ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ แต่ว่า……ผมซัดเปรี้ยงเข้าไปหนึ่งที เผื่อในส่วนของพวกจิเซลให้แล้วล่ะ ”
“ ……โอ้ว ”
หลังจากจ้องมองหมัดที่ผมยื่นให้อยู่ซักระยะ จิเซลก็เอาหมัดของตัวเองเข้ามาชนอย่างกล้าๆกลัวๆ
เป็นตรงนี้เอง ที่ผมเพิ่งจะรู้สึกถึงชัยชนะได้ซะที
ผู้คนที่ร่วมยินดีกับชัยชนะของผมนั้นไม่ได้มีเพียงแค่พวกจิเซล
หลังสิ้นสุดการประลอง ผมที่ถูกหามไปยังห้องพยาบาลเนื่องจากมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วนนั้น ก็ได้พบว่าผู้ที่รอคอยอยู่ไม่ใช่ฮีลเลอร์ของทางกิลด์ แต่เป็นพวกอาจารย์ต่างหาก
“ โอ้วครอส! ทำได้เยี่ยมไปเลยนะ! เท่านี้พวกเราก็จะไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรให้มือเปื้อนแล้ว! ”
“ อืม เห็นด้วยเลย นำเอาสกิลที่พวกเราสอนให้ไปใช้ได้อย่างแยบคาย ทำให้สำแดงได้ออกมาเป็นพลังอำนาจที่เหนือล้ำมากยิ่งกว่าดั้งเดิม ม้ามืดจริงๆ ”
“ เป็นการประลองที่ยอดเยี่ยมที่สุดไปเลยน้าา~ คำสอนของฉันได้เฉิดฉายสุดๆไปเล้ย แถมยังจบเรื่องได้โดยไม่ต้องมีใครถูกทำร้ายโดยใช่เหตุด้วย วันนี้เห็นทีคงต้องฉลองกันแล้วม้างง~ ”
“ ว๊าาาาาาาาาาา!? เดี๋ยวสิ ทุกคนครับ!? ”
คุณเทโลเมียร์ที่รักษาผมพร้อมกับโผเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยง
คุณลีโอเน่ที่เข้ามากระชากตัวเค้าออกไป
และคุณลูด์มิร่าที่ฉวยโอกาสนั้น (?) เข้ามาลูบๆหัวผมอย่างอ่อนโยน
เหล่าอาจารย์สุดแกร่งของโลกที่ช่วยชี้แนะแนวทางให้ผมมาถึงตรงนี้เค้าก็ยังคงทำให้ผมต้องหน้าแดงแจ๋อยู่ดังเช่นเคยไปพลาง ร่วมยินดีกับผลลัพธ์การประลองดั่งกับเป็นเรื่องของตนเอง
ถึงจะรู้สึกเหมือนได้ยินคำพูดส่อลางไม่สู้ดีอย่างมือเปื้อนเอยใครถูกทำร้ายเอยอยู่บ้าง……แต่ก็น่าจะคิดไปเองแหละมั้ง
ที่สำคัญกว่านั้น มีสิ่งที่จำเป็นต้องบอกก่อนเป็นอย่างแรกสุดอยู่
“ ทุกคนครับ คราวนี้ต้องขอขอบพระคุณจริงๆครับ ”
พอเห็นว่าพวกอาจารย์สงบสติใจเย็นกันขึ้นมาได้หน่อยแล้ว ผมก็ก้มหัวให้
“ ที่ช่วยรับฟังความเห็นแก่ตัวของผมที่เข้าไปทำการท้าประลองอย่างสะเพร่านี่น่ะ ขอบคุณพวกคุณเทโลเมียร์เท่าไหร่ก็ไม่พอจริงๆครับ ”
ตั้งแต่ที่ช่วยเก็บ <<ไร้อาชีพ>> อย่างผมมาเลี้ยงดูแล้ว ผมเป็นฝ่ายรับอะไรต่อมิอะไรมาจากพวกอาจารย์อยู่เรื่อยเลย
ดังนั้นผมที่ยังคงตื่นตัวเพราะชัยชนะจากการประลอง จึงให้คำขาดอย่างไร้ความลังเลออกไปด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“ ตัวผมในตอนนี้อาจจะยังตอบแทนอะไรไม่ค่อยได้ก็จริงอยู่……แต่ถ้ามีสิ่งที่ทำได้ละก็จะทำให้ทุกอย่างเลยครับ ถ้าถึงตอนนั้นแล้วพูดออกมาได้เลยนะครับไม่ต้องมีเกรงใจ! ”
“““ ทุกอย่างเลย……? ”””
พริบตานั้น
ไหงสีดวงตาของพวกคุณลีโอเน่ถึงเปลี่ยนไปเฉยเลยก็ไม่รู้
แล้วพอดูอีกที
“ งะ งั้นฉันก็……ว่าจะเข้าไปแช่น้ำด้วยกันกับครอสคุงซะทีดีมั้ยน้าา แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นมาในนั้นก็ถือซะว่าเป็นอุบัติเหตุละกันเน้ออ……❤ ”
“ เฮ้ยลูด์มิร่า! ช่วยกันเอานังเทโลเมียร์ไปฝังผนึกเอาไว้ใต้ดินของผืนป่าเดี๋ยวนี้เลย! ถ้าได้รับคำสัญญาจากครอสแบบนี้แล้วอีนังนี่มันจะทำบ้าอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้! ”
“ รับทราบแล้ว หากช่วยกันรุมสองคนละก็จะต้องขยี้ให้เละหมดสภาพได้เป็นแน่ ……แล้วถ้าหากลอบยิงลีโอเน่ที่ต่อสู้กับเทโลเมียร์จนเหนื่อยล้าจากข้างหลังเสีย ฉันก็น่าจะพอมีเวลาได้นอนกกกับครอสแล้ว…… ”
“ เหมือนจะเชื่อถือไม่ได้ยังไงชอบกลนะเนี่ยเฮ้ยอีนังเอลฟ์เฮงซวย!? โอ๊ยพอกันที! ลงแบบนี้ก็เห็นทีฉันคงจะต้องคอยเฝ้าปกป้องตัวติดหนึบไปไหนมาไหนกับครอสตลอดเวลา—— ”
“ ดะ เดี๋ยวสิ!? ทุกคนจู่ๆเป็นอะไรไปกันครับเนี่ย!? ”
คุณเทโลเมียร์ที่หายใจหอบฟืดฟาด, คุณลีโอเน่ที่จู่ๆก็ตั้งท่าเตรียมต่อสู้, คุณลูด์มิร่าที่มองผิวเผินแล้วเหมือนจะหน้านิ่งแต่ที่จริงแล้วปลายหูแดงแจ๋
พอผมพูดแสดงเจตนาซาบซึ้งในพระคุณออกมาปุ๊บ พวกอาจารย์ก็มาดเปลี่ยนไหงถึงหันมาจ้องเขม่นใส่กันเหมือนจะเปิดศึกสามฝ่ายเฉยเลยซะงั้น เล่นทำเอาผมมึนค้างไปเลย
แม้จะสับสนกับเหตุการณ์ที่ไปเร็วจัด……แต่ความอบอุ่นของที่อยู่ซึ่งหวนกลับมาได้อย่างปลอดภัยด้วยชัยชนะจากการประลอง ก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอีกครั้ง
และด้วยเหตุนี้
ด้วยการช่วยเหลือของพวกอาจารย์ ผมจึงสามารถคว้าเอาชัยในการประลองกับขุนนางลำดับสูงที่ไม่น่าจะมีทางชนะมาได้หรอก——
แต่ในตอนนี้ ตัวผมที่กำลังหลงระเริงอยู่กับชัยชนะนั้นยังไม่ได้รู้
ว่าชัยชนะที่ไขว่คว้ามาได้อย่างแสนยากลำบากนั่น มันจะเป็นตัวก่อให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมา
“ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้……! นี่มันอะไรกัน……!? มันบ้าอะไรกัน……!? ”
คืนที่สามัญชน <<ไร้อาชีพ>> ประสบความสำเร็จในการโค่นล้มยอดสูงในแบบที่ไม่มีใครเคยพบเคยเห็นมาก่อน
มีบุคคลที่เอาแต่กล่าวคำพูดเดิมซ้ำไปมาเหมือนกับตกร่อง อยู่ภายในห้องนึงของคฤหาสน์มืดสลัวที่ไม่หลงเหลือกลิ่นอายผู้คน
เจ้าของคฤหาสน์, กิมเล็ต วอลเดรียนั่นเอง
เพราะได้ข่ายอาคมประคองชีวิตและการรักษาของฮีลเลอร์ฝีมือดี บาดแผลที่ได้รับก็เลยหายเป็นปลิดทิ้งโดยสมบูรณ์
แต่รูปโฉมนั่นกลับเปลี่ยนสภาพไปเป็นคนละขั้วกับเมื่อในตอนเช้า
“ ไยจึงเป็นเช่นนี้ไปได้……!? ไยจึงเป็นเช่นนี้ไปได้……!? ”
เผ้าผมที่ยุ่งไม่เป็นทรง เล็บที่กัดมากเกินไปจนแตกลอก เสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่
ไม่เหลือเค้าลางของขุนนางลำดับสูงที่เปี่ยมไปด้วยความสุขุมและมั่นใจเลยแม้แต่น้อย ดวงตาที่แดงก่ำสองข้างนั้นแทบจะไม่มีสติหลงเหลือแล้ว
แต่จะเป็นแบบนั้นก็ไม่แปลก
อุบายทั้งหมดถูกพลิกคว่ำพังสิ้นท่า ความอับอายขายหน้าที่พ่ายแพ้ให้กับสามัญชน <<ไร้อาชีพ>> กลางสายตาปวงประชา
และสำหรับกิมเล็ตที่ดำเนินชีวิตในฐานะผู้ชนะมาตั้งแต่เกิดโดยแทบไม่เคยตกอับลำบากแล้ว ความเป็นจริงที่ต้องกลายเป็นลูกน้องของสามัญชนจากผลพวงทั้งหมดนั่น ก็ถือเป็นพิษร้ายที่ทำลายสภาพจิตให้แหลกเละเหลวเป๋วได้อย่างชะงัดนักเลยเชียว
“ ทะ ท่านกิมเล็ตคะ…… ”
คนสนิทเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงอยู่เคียงข้าง, สตรีผมดำที่เป็น <<ธีฟระดับกลาง>> ก็ไม่รู้จะกล่าวเช่นไรกับผู้เป็นนาย ทำได้แต่เพียงยืนนิ่งค้างอยู่ท่าเดียว
หนำซ้ำยังถูกเหล่าขุนนางของพรรคดิออสเกรฟเฉดหัวขับไล่ไสส่งด้วยวาจาเย้ยหยันและแววตาเวทนา ทำให้ศักดิ์ศรีของกิมเล็ตแหลกกระจุยสิ้นซากเกินจุดที่จะกู้คืนได้ไปแล้ว
ระดับที่สูญเสียกระทั่งความสามารถในการไตร่ตรองตามหลักเหตุผลเลย
“ บังอาจนัก……บังอาจนักบังอาจนักบังอาจนัก……! ไอ้ครอส อาราเกาท์! หากเป็นเช่นนี้ ก็จะให้แกได้เจอดีเป็นครั้งสุดท้าย……! ”
ปริ๊ด
เกิดเสียงอะไรบางอย่างโค่นล้มพังทลายอยู่ภายในตัวของกิมเล็ตที่ถูกไล่ต้อนจนตรอก
พริบตาให้หลัง กิมเล็ตก็แผดเสียงตะโกนลั่นด้วยดวงตาที่วิปลาส
“ เรียกพวกมันมา……เรียกหน่วย <<แอสซาซิน (มือสังหาร) ระดับสูง>> มา! ”
“ ห้ะ……? ”
คำสั่งของกิมเล็ตนั้น ทำให้สตรีผมดำถึงกับต้องเปล่งเสียงออกมาอย่างอึ้งๆ
แต่กิมเล็ตก็ร้องแรกแหกกระเชอโดยไม่สนใจ
“ จะเอาให้ไอ้เจ้าสามัญชนที่ช่วงชิงทุกสิ่งไปจากฉันมันไม่อาจเรียกตนเองเป็นนักผจญภัยได้อีกเป็นครั้งที่สองเลย จะเล่นงานให้หมดสภาพไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตไปพร้อมๆกับไอ้พวกปาร์ตี้ระดับสูงที่เก็บมันมาดูแลเลยเชียวคอยดู……! ”
“ ปะ โปรดรอก่อนเถอะค่ะท่านกิมเล็ต! ”
คนสนิทผมดำแผดเสียงตะโกนออกมาอย่างแตกตื่น
“ หน่วยแอสซาซิน คือกลุ่มบอดี้การ์ดที่มีไว้เพื่อรับมือกับในกรณีที่มีแอสซาซิน (มือสังหาร) ซึ่งจ้องหมายหัวขุนนางของประเทศเราปรากฎตัวขึ้นมา จะได้สามารถต่อกรรับมือด้วยสกิลประเภทเดียวกันได้ก็เท่านั้นค่ะ หน้าที่หลักคือการเฝ้าคุ้มกันภัยให้กับอาชีพระดับสูงที่เป็นผู้ว่าจ้างด้วยเงินจากทางบ้าน หากสั่งใช้งานด้วยเป้าหมายอื่นนอกเหนือไปจากนั้นแล้วจะถือเป็นการละเมิดข้อห้ามของศึกแก่งแย่งอำนาจภายในเมืองแห่งนี้นะคะ ยิ่งถ้ามีเป้าหมายคือการประทุษร้ายให้ถึงแก่ชีวิตด้วยนี่ คงไม่จบแค่ถูกลงโทษดัดนิสัย—— ”
“ แล้วมันทำม๊ายยยย! ”
กิมเล็ตใช้ดวงตาแดงก่ำปัดคำเตือนของคนสนิท
“ ดัดนิสัย? จองจำ? มาจนป่านนี้แล้วโทษฐานพวกนั้นมันจะทำไมรึ!? ชีวิตฉันมันจบเห่ไปแล้ว……ทั้งในฐานะขุนนาง แล้วก็ในฐานะทายาทของตระกูลวอลเดรียด้วย……! ต้องเป็นลูกน้องของสามัญชน หนำซ้ำยังต้องเป็นลูกน้องของไอ้ <<ไร้อาชีพ>> อีกด้วยนะ!? มันจะมีความวิบัติแบบไหนยิ่งไปกว่านี้ได้อีก! ”
และแล้วกิมเล็ตก็หันหลังให้กับคนสนิท ก่อนจะลั่นเสียงตะโกนกร้าวราวกับพังไปแล้ว
“ ขอแค่เอาเงินฟาดหัวมากๆเข้าซะอย่าง พวกหน่วยแอสซาซินมันก็จะยอมรับทำงานสกปรกให้ทั้งหมดนั่นล่ะ จะทุ่มเงินที่ฉันใช้ได้อย่างอิสระให้พวกมันไปทั้งบัญชีเลย! ฮะฮะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ถ้าต้องวิบัติแล้วก็จะเอาไอ้ <<ไร้อาชีพ>> ร่วมชะตากรรมไปด้วย! ”
“ ……ขึก รับทราบแล้วค่ะ…… ”
สภาพแบบนี้ ต่อให้พูดอะไรไปก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว
ถ้าจะประคองสภาพจิตของผู้เป็นนายเอาไว้ ก็จำเป็นต้องมีใครซักคนมือเปื้อนเลือดเท่านั้น
คนสนิทผมดำที่รับทราบเช่นนั้นพลันพยักหน้าประหนึ่งเป็นเครื่องจักร ก่อนที่จะเลือนหายเข้าไปในความมืดมิดอย่างเงียบเชียบ
คอมเม้นเฉพาะกิจจากผู้แปล : กิมเล็ตคุงอย่าหาทำ