“ ช้าจริง! ไอ้พวกนั้นมันมัวทำอะไรกันอยู่!? ”
กิมเล็ตที่รอคอยการกลับมาของหน่วยลอบสังหารอยู่ภายในคฤหาสน์ได้แผดเสียงพิโรธออกมาอย่างหงุดหงิดจิตงุ่นง่าน
ผ่านไปแล้วหนึ่งคืนหลังจากที่พวกเขาออกเดินทางไปจากคฤหาสน์ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในตอนนี้ฟ้าเริ่มจะสางขึ้นมาแล้ว
เป็นแบบนั้นแท้ๆแต่อย่าว่าจะเอาแขนหรือขาของไอ้เจ้า <<ไร้อาชีพ>> ที่แสนน่าชิงชังกลับมาให้ดูเลย หน่วยลอบสังหารกลับหายหัวไปไม่ยอมโผล่หน้ามาซะด้วยซ้ำ กิมเล็ตที่แค่แต่เดิมก็สติแตกฟั่นเฟือนจึงทึ้งหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมด
“ อย่าบอกนะว่า ไอ้พวกนั้นคงไม่ได้รับแค่เงินมัดจำแล้วเชิดหนีหายไปแล้วหรอกใช่ไหม……! ”
หากเป็นเช่นนั้น ก็คงเห็นทีจะต้องบุกถล่มเข้าไปยังที่อยู่อาศัยของไอ้เจ้า <<ไร้อาชีพ>> แสนน่าชิงชังนั่นด้วยตนเองแล้วกระมัง——เป็นในจังหวะที่กิมเล็ตคิดแบบนั้นพลางเดินวนรอบห้องอย่างอยู่ไม่สุขนั่นเอง
ที่จับกลิ่นอายได้ว่ามีใครกำลังกลับเข้ามาผ่านประตูทางเข้าคฤหาสน์
“ มุ กลับมาได้ซะทีหรือ? ”
แม้รู้สึกแหม่งๆที่ฝีเท้านั่นดังตึงตังเกินกว่าจะเป็น <<แอสซาซิน>> แถมจำนวนก็มีเพียงแค่คนเดียว, แต่ในเวลาป่านนี้ก็คงไม่มีใครที่ไหนจะโผล่มาเยือนคฤหาสน์ของขุนนางที่ถูกเฉดหัวออกจากพรรคหรอก
จะต้องเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยลอบสังหารอย่างแน่นอนเลยเชียว……คิดแบบนั้นแล้ว กิมเล็ตก็เปิดประตูห้องดั่งกับเป็นการต้อนรับเสียงฝีเท้า
“ ชักช้าเหลือเกิน! ติดปัญหาอะไรถึงได้อืด—— ”
พริบตานั้น
“ ไอ้……! ลูกไม่รักดี๊———————–!! ”
“ ห้ะ? อุบว๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาา!? ”
หมัดลุ่นๆที่เหนือความคาดหมายสุดขีดได้ฝังเข้าไปกลางเบ้าหน้าของกิมเล็ต
กำปั้นซึ่งแล่นทะยานด้วยความเร็วที่แม้แต่ <<นักดาบประกายแสงระดับสูง>> ก็ยังหลบไม่พ้น
แรงกระแทกท่วมท้นมหาศาลที่โถมเข้าคุกคามได้เป่าร่างของกิมเล็ตปลิวกระเด็น กระแทกเปรี้ยงอย่างรุนแรงเข้ากับกำแพงห้อง
แต่สำหรับกิมเล็ตแล้ว ที่น่าช็อคมากยิ่งกว่าแรงกระแทกซึ่งคุกคามเข้าใส่ร่างกาย ก็คือบุคคลที่ต่อยเขานี่แหละ
(!? อะไรกัน!? ไยท่านพ่อจึงมาอยู่ที่นี่!?)
ชายวัยกลางคนที่ต่อยกิมเล็ตปลิวตั้งแต่แรกพบ
เขาผู้นั้นก็คือพ่อของกิมเล็ตที่ปกครองอยู่เหนืออาณาเขตที่ห่างไกลออกไปจากบัสเคิลเบียร์, ดยุคแฮมเล็ต วอลเดรียนั่นเอง
อาณาเขตที่อยู่ห่างออกไประดับที่ต่อให้ใช้เที่ยวบินความเร็วสูงของผู้ใช้เวทลม แต่ก็ยังต้องอาศัยเวลาเดินทางถึงหนึ่งอาทิตย์ไม่นับเที่ยวขากลับ
แต่พ่อที่น่าจะอยู่ในอาณาเขตแห่งนั้นเสมอๆกลับปรากฎตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน แถมยังเข้ามาต่อยกันแบบไม่มีพูดพร่ำทำเพลงด้วยอีกต่างหาก
กิมเล็ตถูกฟาดร่วงลงสู่ห้วงแห่งความสับสนขั้นโคตรสุด
(นะ นี่มันอะไรงงไปหมดแล้ว……!? ท่านพ่อน่ะหรือต่อยฉัน……!? แล้วไยท่านพ่อถึงได้อยู่ในสภาพนั้นล่ะ!? ไยพ่อที่เป็นถึงอาชีพระดับสูงสุดจึงได้อ่วมอรทัยเละไปทั้งตัวแบบนั้น!?)
แม้จะสติพร่ามัวเพราะถูกต่อย แต่กิมเล็ตก็อึ้งกับสภาพของพ่อที่สะบักสะบอมเละตุ้มเป๊ะมากยิ่งกว่าตัวเองที่โดนต่อยกลางยอดหน้าซะอีก
ยังไงซะ ดยุคแฮมเล็ตก็คือหนึ่งในกำลังรบสูงสุดของอาณาจักรที่ได้ก่อสร้างวีรกรรมผลงานเอาไว้มากมาย
เป็นถึงอาชีพระดับสูงสุดที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับอธิการบดีซาริเอล่าผู้นั้นเลย
หนำซ้ำยังมีคนสนิทที่เป็นอาชีพระดับสูงจำนวนมากมายคอยรายล้อมรอบตัวของพ่อซึ่งเป็นผู้นำตระกูลวอลเดรียคนปัจจุบันอยู่เสมอ จะบอกว่าถูกลอบโจมตีทีเผลอก็ไม่น่าเป็นไปได้ การที่พ่อจะโดนซ้อมจนอยู่ในสภาพยับเยินแบบนี้นับว่าเป็นอะไรที่ยากจะเชื่ออย่างยิ่งยวด
“ อะ อะไรมันเป็นอย่างไร……!? ”
“ อะไรมันเป็นอย่างไรนั่นมันคือคำพูดของฉันต่างหาก! ”
ดยุคแฮมเล็ตกระชากคอเสื้อของกิมเล็ตที่ไม่สร่างจากความสับสน แล้วจึงแผดเสียงตวาดลั่นด้วยร่างกายที่สั่นกักๆ
“ แกนี่มันช่างสรรหาตีนจริงๆ……! ได้รู้ตัวรึเปล่าว่าไปหาเรื่องใครเข้าน่ะ!? ส่งหน่วยลอบสังหารไปใส่ลูกศิษย์ของนักผจญภัยระดับ S……หนำซ้ำเป็นใครไม่เป็นยังจะต้องเป็นอีพวกสติแตก 3 ตัวนั่นอีกด้วยนี่นะ คิดบ้าอะไรอยู่!? ”
“ ห้ะ……? ”
นักผะจนพัยละดับเอส…..?
กิมเล็ตไม่เข้าใจความหมายคำพูดของพ่อ ได้แต่เปล่งเสียงอย่างมึนตึ๊บออกมา และในพริบตาถัดจากนั้น
พลั่กพลั่กพลั่ก!
วัตถุที่คลับคล้ายกับกองขยะได้ถูกเหวี่ยงแบบส่งๆเข้ามาจากทางเข้าห้อง จำนวนนั่นมีราวๆเกือบ 20 ได้
หน่วยลอบสังหารที่โดนกระทืบเละจนไม่มีเจตนาต่อต้านหลงเหลือเลยแม้แต่น้อยนิดนั่นเอง
“ หะ หะหะ ห้ะ!? ”
กิมเล็ตอับจนคำพูดกับสารรูปดูไม่ได้ของหน่วยลอบสังหารและ <<ธีฟระดับกลาง>> คนสนิทที่ตนส่งออกไปด้วยความเชื่อใจเต็มเปี่ยม
และดั่งกับเป็นการลงดาบเผด็จศึกเข้าใส่หัวใจที่ทวีความสับสนของเขา เหล่าตัวการที่เหวี่ยงหน่วยลอบสังหารเข้ามา——สาวงามทั้งสามก็ได้ก้าวเข้ามาภายในห้องดั่งกับเป็นเรื่องปกติสมควร
“ เอ้อ ก็มีเรื่องที่อยากจะพูดอยู่เยอะแยะเลยหรอก แต่ว่านา…… ”
สาวงามผมแดงที่ยืนนำอยู่หน้าสุดหักข้อนิ้วดังกร๊อบกร๊อบไปพลางเปล่งเสียงทุ้มต่ำออกมา
“ กะอีแค่แพ้การประลองแค่นี้แต่ดันทะลึ่งส่งคนมาลอบทำร้ายลูกศิษย์ฉันได้นี่หว่า คงเตรียมใจที่จะถูกถล่มทิ้งทั้งโคตรไว้แล้วใช่มั้ยเฮ้ย? ”
“ ห้ะ——!? ”
พริบตานั้น ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากสาวงามทั้งสามอย่างพร้อมเพรียงก็คือพลังเวท จิตสังหาร และความน่าเกรงขามสุดบ้าบอที่มากล้นถล่มทลายจนเชื่อไม่ได้เลยว่าเป็นของเผ่ามานพ
เหมือนกับกำลังรบที่แกร่งสุดของอาณาจักรซึ่งเคยมีโอกาสได้พบเห็นในนครหลวงอยู่ครั้งนึง——เหมือนกับพ่อของเอลิเซียซึ่งเป็นผู้สืบสายเลือดผู้กล้าไม่มีผิด นั่นล่ะคือออร่าของสัตว์ประหลาดที่ก้าวล้ำไปเหนือกว่ามวลมานพ
พ่อซึ่งเป็นอาชีพระดับสูงสุดอันแสนสูงศักดิ์จะถึงกับต้องเอาหน้าผากแนบชิดติดชนกับพื้นแล้วร้องโอดครวญว่า “ฉันจะว่ากล่าวตักเตือนไอ้เจ้าลูกบ้าคนนี้อย่างหนักให้เองดังนั้นล่ะได้โปรดอย่าทำมากไปกว่านี้เลยเถอะ! ฉันขอกราบล่ะได้โปรดมีเมตตาปรานีอย่าได้ทำกันมากไปกว่านี้เลยเถอะ!’ ออกมาแบบนั้นก็สมควรแล้ว มันคือกลิ่นอายที่ ‘แสนดุร้าย’ อย่างมหาศาลเหลือล้นมากขนาดนั้นเลยทีเดียวเชียวล่ะ
คำพูดเมื่อซักครู่ของพ่อเริ่มจะผสานตัวก่อเป็นรูปร่างความหมายขึ้นมาภายในหัวของกิมเล็ตได้ซะที
นักผะจนพัยละดับเอส……นักผจญภัยระดับ S……!?
“ บะ บ้าน่า!? จะ จะเป็นไปได้……!? ”
พริบตานั้น กิมเล็ตที่หลักแหลมก็รับทราบเข้าใจได้ถึงทุกสิ่ง
ทั้งปริศนาเบื้องหลังการเติบโตขั้นผิดปกติของครอส
ทั้งเหตุผลที่พ่อมาอยู่ในที่แห่งนี้
ยากจะเชื่อ มันเป็นอะไรที่ยากจะเชื่ออย่างยิ่งเลยก็จริงหรอก แต่ว่า——
กล่าวคือ ตัวการที่เลี้ยงดูฝึกฝน <<ไร้อาชีพ>> ให้เติบโตขึ้นมาเป็นนักผจญภัยที่เข้าขั้นโกง ก็คือเหล่าสัตว์ประหลาดพวกนี้นั่นเอง
และเพื่อเป็นการเอาคืนจากที่ถูกส่งหน่วยลอบสังหารเข้าใส่ พวกมันเหล่านี้เลยได้บุกไปถล่มถิ่นฐานบ้านเกิดของตระกูลวอลเดรียให้ยับเยินภายในชั่วข้ามคืน แล้วจึงเดินทางต่อมายังคฤหาสน์แห่งนี้นั่นเอง
เพื่อไล่ต้อนย่ำยีบีฑาเข่นฆ่ากิมเล็ตให้ต้องประสบพบเจอกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสไปจนถึงสุดขอบนรก เนื่องด้วยโทษฐานที่ริอ่านลงไม้ลงมือจะทำร้ายครอส (ลูกศิษย์)
ประหนึ่งกับว่าเป็นความพิโรธของภัยพิบัติที่พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง
ความสิ้นหวังอันเป็นที่สุดไร้ซึ่งหนทางหนี
“ บะ บ้าน่า……อีแบบนี้มันบ้าแล้วชัดช๊าาาาดดดดดดดดดดดดดดดดด!? ”
เสียงกรีดร้องที่ไม่เหลือเค้าศักดิ์ศรีของตระกูลดยุคเลยแม้แต่นิดได้ทำให้ลำคอของกิมเล็ตสั่นเทิ้ม
จิตสังหารของอมนุษย์ที่กระแทกกระทั้นเข้ามาจากเบื้องหน้ามันถล่มให้กายท่อนล่างแฉะโชก กลัวขี้แตกระดับที่ขนหัวเริ่มจะเปลี่ยนกลายเป็นสีขาวเลยทีเดียว
ถ้าได้ตายอย่างไม่ทรมานก็คงจะถือว่าสวรรค์เป็นใจให้ที่สุดแล้ว
ความหวาดกลัวสุดเลวร้ายที่ถูกชี้จ่อเข้าใส่ ทำให้กิมเล็ตถึงกับเลือกจะฆ่าตัวตาย——แต่เป็นในทันใดนั้นเอง
ที่กิมเล็ตซึ่งสิ้นหวังระคนหวาดกลัวซะจนเกิดความผิดปกติขึ้นกับขนหัว และถึงกับตกอยู่ในสภาพหายใจติดขัดไปด้วยเลยคนนั้น พลันได้พบเห็นปาฎิหารย์บังเกิดขึ้นต่อหน้า
“ เดี๋ยวสิครับทุกคน! ทำเกินไปแล้วครับ! ทำเกินไปแล้วนะครับ! ”
“ เห๊ะ……? ”
เงาเล็กๆที่ทะยานเข้ามาขวางกลางระหว่างกิมเล็ตกับกลุ่มสัตว์ประหลาดทั้งสาม
นั่นก็คือแผ่นหลังแสนอ่อนแอไม่น่าพึ่งพาซึ่งเทียบชั้นกับเหล่านักผจญภัยระดับ S ไม่ติดเลยซักนิด
แต่เด็กหนุ่มผู้เป็นอาชีพสุดกากสุดกระจอกคนนั้น ก็ได้กล่าวคำพูดทับซ้อนออกมาสุดชีวิตโดยไม่ได้มีหวาดหวั่นขวัญเสียต่อกลุ่มสุดแกร่งทั้งสามเลย
“ ก็รู้สึกดีใจหรอกนะครับที่อุตส่าห์โกรธเพื่อผม……แต่มากไปกว่านี้นี่ต่อให้คิดยังไงมันก็เกินเหตุไปแล้วนะครับ!? ”
“ เอ้ย จะไม่ใจอ่อนเกินไปหน่อยเรอะครอส ไอ้เจ้านี่มันผิดสัญญาการประลองแล้วถึงกับส่งหน่วยลอบสังหารเข้ามาหมายหัวเลยเชียวนะเอ้อ? ”
“ เรื่องนั้นก็ยกโทษให้ไม่ได้จริงนั่นแหละครับ และผมเองก็คิดว่าต้องมีการสะสางให้รู้เรื่องเหมือนกัน……แต่จะเป็นอะไรก็ควรต้องมีขอบเขตบ้างนะครับ! นี่ทำตั้งถล่มบ้านเกิดแถมยังข่มขวัญซะจนเส้นผมกลายเป็นสีขาวอีก แบบนี้มันมากเกินพอแล้วนะ!? ”
“ เช้~ เอ้อแต่ก็จริงอยู่น้าา ถ้าเกิดว่าขุนนางที่กลายเป็นลูกน้องแปรสภาพกลายเป็นพิกลพิการไม่สมประกอบไปในวันถัดมาซะแล้วจ้า~ แบบนั้นแล้วอิมเมจของครอสคุงก็เสื่อมเสียหมดกันพอดีด้วย งั้นจะเชื่อตามการตัดสินใจของครอสคุงก็แล้วกันน้าา ”
“ ให้ตายเถอะ ลูกศิษย์ของฉันช่างเป็นคนดีที่หนึ่งเสียจริงเชียว ……แต่นิสัยตรงนี้ก็ดีเหมือนกันนั่นล่ะ ”
“ ……ขึก!? ”
จิตสังหารของเหล่าสัตว์ประหลาดที่ไม่อาจควบคุม มันลดน้อยถอยลงไปทันตาเห็นด้วยเพียงแค่คำพูดของเด็กหนุ่ม!?
ในระหว่างที่กิมเล็ตตะลึงอึ้งค้างกับภาพเหตุการณ์อันสุดจะเชื่อดังกล่าว
“ ไม่เป็นไรนะครับ? ”
“ ฮึก!? ”
พอเห็นครอสที่ก้มตัวลงมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง กิมเล็ตก็หันหน้าเข้าไปหาด้วยความสับสนมึนงงเข้าอีกครา
ครอสแสดงท่าเหมือนจะพูดแล้วก็หยุดอยู่หลายรอบ แต่ในที่สุดแล้วก็กล่าวกับกิมเล็ตด้วยแววตาอันเข้มแข็งว่าอย่างนี้
“ ทั้งผมทั้งคุณก็คงรู้สึกไม่ดีต่อกันอยู่ทั้งคู่……แต่ก็รู้กันไปเรียบร้อยแล้วนี่นะครับว่าจ้องจะขัดแย้งขุ่นใจกันไปกว่านี้ก็มีแต่จะทำให้เกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาซะเปล่าๆ ดังนั้นมาหยุดกันไว้อยู่ตรงแถวนี้ดีมั้ยครับ? ”
“ ห้ะ……!? ”
“ เรื่องที่ขุนนางต้องมาเป็นลูกน้องของสามัญชนนั่นก็เหมือนกัน ถ้าคุณรังเกียจมากระดับที่ต้องส่งหน่วยลอบสังหารมาเลย งั้นก็เอาแบบเป็นแค่ในนามเฉยๆก็ได้ครับ ……ให้ว่ากันแล้วคนยศสูงศักดิ์อย่างขุนนางต้องลงมาเป็นลูกน้องของสามัญชนนี่มันก็บ้าบอคอแตกอย่างไม่ต้องคิดเลยอยู่แล้วเนอะ สำหรับผมแล้ว ขอแค่ไม่ให้มีการกลั่นแกล้งรังแกต่อสถานกำพร้าเกิดขึ้นอีกก็เกินพอครับ ดังนั้นแหละเรามาจบเรื่องเอาไว้ตรงนี้กันเถอะครับ นะ? ”
“ ……ขึก!? อย่าบอกนะว่า……จะยกโทษให้งั้นหรือ……ยกโทษให้ฉันที่คิดร้ายใส่มากถึงเพียงนี้น่ะหรือ……!? ”
สำหรับกิมเล็ตแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างของครอสที่กล่าวเสนอดังว่าออกมาราวกับเป็นเรื่องสมควรนั่น ในเชิงนึงแล้วถือว่าน่าตกตะลึงมากยิ่งกว่าการปรากฎตัวของนักผจญภัยระดับ S ซะอีก
นอกจากจะทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดเชื่องเป็นมิตรได้ด้วยฐานะที่เป็นเพียง <<ไร้อาชีพ>> แล้วไม่พอ ขนาดมีแบ็คหนามากถึงขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่คิดจะเอาคืนใส่กิมเล็ตแต่กลับเสนอจะจบเรื่องไม่เอาความออกมาแทน
นับเป็นความเมตตากรุณาที่ยิ่งใหญ่ไพศาล ความใจกว้างที่มากยิ่งซะจนไม่น่าเป็นไปได้
“ ……ขึก ”
พริบตานั้น
สิ่งที่เอ่อล้นขึ้นมาในอกของกิมเล็ตซึ่งถูกเด็กหนุ่มคนดีช่วยชีวิตเอาไว้อย่างตรงตามตัวอักษร, ก็คือความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนจนถึงตอนนี้
นั่นก็คือความเคารพอย่างรุนแรงในระดับที่ไม่เคยรู้สึกต่อหัวหน้าพรรค, เชื้อพระวงศ์ หรือแม้กระทั่งเชื้อสายของผู้กล้ามาก่อน
ใจจงรักภักดีที่พองตัวอย่างยิ่งใหญ่และท่วมท้นจนดั่งกับเป็นการพลิกเปลี่ยนลักษณะนิสัยของตัวเองที่หวังจะวางท่าใหญ่โตในฐานะผู้ปกครองสืบต่อไปได้จากรากเหง้า ความรู้สึกอันรุนแรงระดับที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับความศรัทธาเลยทีเดียว
“ ท่านครอส……อาราเกาท์…… ”
“ เอ๊ะ? ”
เมื่อกี้นี้ยังจงเกลียดจงชังครอสเข้าไส้ตั้งขนาดนั้นอยู่เลยแท้ๆ แต่ร่างกายของกิมเล็ตกลับขยับออกไปเอง เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าเด็กหนุ่มโดยที่ร่างกายท่อนล่างยังแฉะโชกอยู่ทั้งอย่างนั้น ก่อนจะกุมมือครอสเอาไว้อย่างเคารพยกย่อง
“ กระผม……ช่างโง่เง่าเหลือเกิน ขอน้อมรับผลการประลองอย่างยินดีขอรับ กิมเล็ต วอลเดรียขอให้คำสัตย์สาบานในที่นี้ ว่าจะถวายความจงรักภักดีในฐานะลูกน้องภายใต้บัญชาของท่านไปตลอดจนกว่าชีวิตจะหาไม่เลยขอรับ……! ”
“ เอ๊ะ!? อ้าว!? อะไรเนี่ย!? ”
เจอะกับกิมเล็ตที่จ้องมองเข้ามาด้วยดวงตาโคตรน่ากลัวของผู้ศรัทธาที่หลับหูหลับตาอวยอย่างเดียวแล้ว ครอสก็ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงขึ้นมาเลย
“ เอ๊ะ เดี๋ยวสิ จู่ๆ เป็นอะไรไปครับเนี่ย!? แบบนี้มันเหมือนกับผมโหนบารมีของพวกอาจารย์เพื่อเบ่งให้คุณกิมเล็ตยอมเชื่อฟังเลยนะ ได้โปรดเงยหน้าขึ้นทีเถอะครับ! ”
“ พูดอะไรกันขอรับ! ผู้ที่กระผมให้คำสัตย์สาบานจะจงรักภักดีจากก้นบึ้งของหัวใจนั้นมีเพียงท่านและท่านแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น! หากคิดว่าเป็นมารยาลมปากงั้นผมก็จะเลียรองเท้าให้ท่านเพื่อเป็นการพิสูจน์ในที่นี่และบัดนี้เลยเชียวขอรับ! ”
“ จู่ๆ เป็นอะไรของคุณไปครับเนี่ยผมขอถามจริงเถอะ!? เดี๋ยวสิ อาจารย์ครับ! ทำยังไงดีครับเนี่ยหยั่งเงี้ย!? ”
ครอสมึนงงไม่รู้ว่าควรจะปฎิบัติยังไงดีกับขุนนางลำดับสูงอาวุโสที่แปลงสภาพกลายเป็นสุนัขผู้ซื่อสัตย์, ถึงกับต้องร้องลั่นขอความช่วยเหลือจากพวกอาจารย์
ทว่าพวกอาจารย์กลับพูดออกมาโดยที่อึ้งๆกับการเปลี่ยนไปของกิมเล็ต
“ อ่า……เอ้อก็ไม่เห็นเป็นไรนี่? ตามเดิมแล้วก็ตกลงกันว่าถ้าแพ้ในการประลองจะต้องกลายมาเป็นลูกน้องอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ? ”
“ นั่นสิเน้ออ~ ก็ถือซะว่าได้กลับมาสู่ที่ที่สมควรอยู่ละมั้งน้าา~ ”
“ ว่าตามตรงแล้วออกจะรู้สึกหวั่นใจกับมนตร์เสน่ห์เย้ายวนของครอสอยู่นิดหน่อยเหมือนกันหรอก……แต่อืม หากจะเป็นการสร้างชื่อให้ครอสได้ก็ถือว่าดีแล้วกระมัง ”
“ เอ๋——!? ”
พวกอาจารย์จะไม่ยุ่ง
หลังจากนั้น ครอสก็พยายามจะหาทางทำอะไรซักอย่างกับกิมเล็ตที่เปลี่ยนไปอยู่ด้วยตัวคนเดียวหรอก ทว่า……
“ ผลการประลองมันเป็นที่สุดขอรับ! กระผมจำเป็นต้องให้คำสัตย์สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อท่านครอสขอรับ! ”
“ อุก!? ”
หากถูกกิมเล็ตให้คำขาดชัดเจนแบบนี้แล้วก็ไม่รู้จะโต้กลับยังไง
ด้วยเหตุนี้เอง ครอสจึงได้ตัวขุนนางผู้ครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่มาเป็นลูกน้อง——จนเผลอก่อตั้งขุมกำลังสุดพิสดารแห่งใหม่ของสามัญชนที่มีตระกูลดยุคคอยรับใช้, พรรคอาราเกาท์ขึ้นมาอย่างเป็นทางการเฉยเลยซะอย่างนั้น