เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 85 ความร้อนรนของเหล่าสุดแกร่งในโลก (1)

“ หรือว่าเธอจะกำลังจ้องตำแหน่งคู่ชีวิตของผู้กล้า…..จ้องตำแหน่งคุณสามีของฉัน…..อยู่รึเปล่า? ”

“ ……………………………….เห๊ะ? ”

 

หลังก้าวข้ามการประลองกับขุนนางอันดับสูงมาได้อย่างยากลำบาก วันก่อนหน้าที่โรงเรียนนักผจญภัยจะเปิดทำการเรียนการสอนใหม่อีกครั้ง

ตัวผมที่ถูกคุณเอลิเซียซึ่งเป็นผู้สืบสายเลือดผู้กล้าจับตัวได้ภายในเมืองแล้วจึงโดนลากเข้ามาภายในตรอกถนนนั้น ได้แต่อึ้งตะลึงงันไม่อาจทำความเข้าใจกับคำพูดของเธอเลยซักนิดเดียว

คุณเอลิเซียชำเลืองมองผมที่งงเต๊กเช่นนั้นไปพลาง กล่าวต่อเสียงค่อยออกมาด้วยใบหน้าแดงเรื่อเล็กๆ

 

“ จะพูดอย่างไรดี คือว่า…..ในเวลานี้ นักผจญภัยที่พยายามสร้างชื่อเสียงถึงระดับที่ลงทุนก่อตั้งพรรคพวกขึ้นมา…..ส่วนใหญ่แล้วต่างก็มี ‘นั่น’ เป็นเป้าหมายทั้งนั้นเลยไงล่ะ ”

“ …………………………….? …………………….อ๊ะ!? ”

 

ต้องให้พูดถึงขนาดนั้นแหละผมถึงรู้สึกตัวได้ในที่สุด

การกระทำของผมในช่วงระยะนี้…..วีรกรรมของผมที่ไปท้าดวลกับขุนนางซ้ำซ้อน หนำซ้ำยังถึงกับขนาด (ถูกข่าวปั่นว่า) ก่อตั้งพรรคขุมกำลังขึ้นมาทั้งที่เป็นเพียงสามัญชนนี่ ดูยังไงมันก็คือนักผจญภัยที่พยายามเปิดทางสร้างชื่อให้กับตนเองอย่างแข็งขันชัดเจน

และภายในเมืองนี้ในเวลานี้ การที่ชายหนุ่มทำการสร้างชื่อให้กับตัวเองอย่างขะมักเขม้นเช่นนี้ กล่าวแล้วมันก็คือการอวยตัวเองให้คุณเอลิเซียที่เป็นผู้สืบสายเลือดผู้กล้าเกิดความสนใจนั่นเอง

แล้วเป็นใครก็ดันไม่เป็น ต้องให้เจ้าตัวคุณเอลิเซียเองนี่แหละมาพูดให้ฟัง ผมที่ในหัวมัวคิดแต่จะหยุดการกลั่นแกล้งของพวกขุนนางอย่างเดียวจึงเพิ่งจะสังเกตถึงความเป็นจริงอันสุดจะไปกันใหญ่นี่ได้ซะที

ว่าสิ่งที่ผมทำเอาไว้ตลอดมานี่ ภายในเมืองนี้ในตอนนี้แล้วมันไม่ใช่อะไรอื่นเลยนอกจากการแสดงตัวเพื่อสู่ขอแต่งงานกับคุณเอลิเซียที่เป็นผู้สืบสายเลือดของผู้กล้าน่ะ!

 

“ มะ ไม่ชะ ไม่ใช่ครับ!! ”

 

ในพริบตาที่เข้าใจ ผมก็หน้าแดงแจ๋ไปพลางแผดเสียงตะโกนดังออกมา

 

“ อ๊ะ ไม่นะคือว่า ไม่ใช่ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ารังเกียจการแต่งงานกับคุณเอลิเซีย…..เอ้ยนี่ก็ไม่ได้หมายความไปในเชิงอะไรแบบนั้นด้วยเหมือนกัน! อะ เอาเป็นว่าคือว่า เข้าใจผิดแล้วครับ หลายๆ อย่างเลย! ”

“ …..งั้นหรือ? ”

“ งั้นแหละครับ!! ”

 

แม้จะกึ่งๆ ตกอยู่ในสภาวะตื่นตกใจไปพลาง แต่ผมก็บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาตลอดยันตอนนี้ให้เค้าฟังอย่างสุดความสามารถ

ก่อนอื่นเลยก็เล่าว่าการประลองกับคุณแคทลียามันเกิดขึ้นเพราะอีกฝั่งเป็นฝ่ายเข้ามาชวนทะเลาะอย่างไร้เหตุผล

เล่าว่าผลจากการต่อสู้ครั้งนั้นได้ทำให้คุณกิมเล็ตแอบดำเนินการกลั่นแกล้งเอาคืนใส่พวกผมที่ไปโค่นล้มขุนนางภายในพรรคตนเอง เพื่อที่จะหยุดเขาแล้วก็เลยจำใจต้องท้าประลองโดยเดิมพันด้วยสิทธิที่จะเอาอีกฝั่งมาเป็นลูกไล่ภายในบังคับบัญชา

แล้วที่พูดกันว่าผมก่อตั้งพรรคขุมกำลังขึ้นมานี่ มองจากสายตาคนนอกแล้วมันก็คงใช่แบบนั้น แต่หากทราบความเป็นมาแล้วจะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ บวกกับผู้คนรอบตัวก็เอาไปขยายพูดกันเกินจริงด้วย ดังนั้นผมจึงไม่ได้มีความตั้งใจจะกำแหงไปสู่ขอคุณเอลิเซียแต่งงานเลยแม้แต่น้อยนิดเดียว และอีก ฯลฯ

ผมอธิบายเรื่องราวความเป็นมาในตลอดช่วงนี้สุดกำลังโดยทำไม้ทำมือประกอบร่วมไปด้วย

 

“ งะ งั้นหรือ…..นั่นสินะ….. ”

 

และคำพูดสุดชีวิตของผมมันก็คงส่งไปถึงเค้าละมั้ง

 

“ ก็จริง…..คิดดีๆ แล้ว ต่อให้เธอที่เป็น <<ไร้อาชีพ>> จะพยายามซักเท่าไหร่ก็คงไม่อาจ— ”

 

แม้จะมีพึมพำอะไรเสียงค่อยไปด้วย แต่คุณเอลิเซียก็พยักหน้าให้ราวกับเข้าใจในคำพูดของผม

ขะ ค่อยยังชั่ว

ดูเหมือนว่าจะคลายความเข้าใจผิดสุดเลยเถิดที่ว่าผมกำลังสู่ขอคุณเอลิเซียแต่งงานอะไรนั่นไปได้แล้วสินะ

คิดเช่นนั้นแล้วผมก็ถอนหายใจโล่งอกด้วยใบหน้าที่ยังคงแดงก่ำ ทว่า—

 

“ …..แย่จริงเลย ”

“ เอ๊ะ? ”

 

คุณเอลิเซียเอ่ยเสียงค่อยออกมาอยู่เคียงข้างผมที่โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

 

“ …..ทำไมกันนะ ตั้งแต่เจอกับเธอในเมืองนี้เป็นต้นมาฉันก็รู้สึกแปลกๆ ตลอดเลย…..เอาแต่คิดเรื่องพิลึกอยู่เรื่อยบ้าง…..ลืมจุดยืนของตัวเองบ้าง….. ”

 

นั่นช่างเป็นเสียงที่ ดูเหงามากเลยยังไงชอบกล

 

“ …..ขอโทษนะ ที่เข้าใจผิดแล้วถามแปลกๆ ออกไป ”

 

แผ่นหลังของคุณเอลิเซียที่กล่าวเช่นนั้นพร้อมเดินจากไปอย่างเศร้าใจมันดูเหมือนกับเป็นเด็กน้อยที่พลัดหลง แฝงไว้ด้วยบรรยากาศที่ผมทนมองดูอยู่เฉยไม่ได้

คงเพราะแบบนั้นละมั้ง

 

“ ขะ คือว่า! ”

“ เอ๊ะ…..? ”

 

ผมที่ไม่เจียมตัวก็เลย…..เผลอเปล่งเสียงไปหยุดคุณเอลิเซียเอาไว้ซะได้

ตัวผมก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองต้องการจะทำอะไรกันแน่

ไปเปล่งเสียงหยุดเค้าไว้อย่างโผงผาง แต่สุดท้ายแล้วก็ดันมึนตึ๊บสับสนกับสิ่งที่ตนทำลงไปสุดขีดซะงั้น มีเสียงดัง “ อะ อ้าว? ปากมันขยับออกไปเองแล้วแต่จะทำยังไงต่อไปดีล่ะ…..!?” ก้องขึ้นอยู่ในใจ

และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ

 

“ เอ่อ คือว่า นานๆ จะได้เจอกันที เราไปกินอาหารด้วยกันมั้ยครับ? ผมเพิ่งเจอร้านอร่อยๆ มาพอดีเลยด้วย ”

 

พูดถึงคุณเอลิเซียแล้วก็ต้องนึกถึงกับข้าว!

ถ้าดูไม่ร่าเริงแล้วก็ยิ่งต้องพึ่งกับข้าว!

ด้วยทักษะการเชื่อมโยงที่โคตรจะคิดน้อยนี่เอง วันนี้จึงกลายเป็นวันที่ผมเป็นฝ่ายออกปากชวนคุณเอลิเซียซึ่งเป็นผู้สืบสายเลือดผู้กล้าไปรับประทานอาหารด้วยกันเป็นครั้งแรก

 

 

เอาละ ถ้าได้กินอาหารอร่อยๆ แล้วละก็คุณเอลิเซียต้องกลับมาร่าเริงได้แน่…..ความคิดที่เสียมารยาทไปไม่หน่อยดังว่ามันเป็นตัวผลักดันให้ผมชวนเธอมารับประทานอาหาร ทว่า

 

“ …..จานนี้ อร่อยมากเลยละ ”

 

แผนการอันสุดจะคิดน้อยของผมก็ดันได้ผลในระดับนึงซะด้วย

สถานที่ที่ผมชวนคุณเอลิเซียมาก็คือ ร้านอาหารเกรดสูงนิดๆ ที่ตั้งอยู่แถวถนนใจกลางเมือง

เลือกที่นั่งเอาท์ดอร์ซึ่งมีแสงแดดส่องลงมาโดนในระดับพอเหมาะ

เป็นร้านที่ทุกคนในสถานกำพร้าเหมาเอาไว้เพื่อฉลองให้ ในตอนที่ผมคว้าชัยมาได้ในการประลองกับขุนนางระดับสูงน่ะ

ไปเอาเงินมากมายจากที่ไหนมาเหมาน่ะเหรอ…..คำตอบก็คือจากการพนันที่จัดขึ้นทั่วทั้งเมืองในช่วงที่มีการประลองยังไงล่ะ ดูเหมือนว่าทุกคนในสถานกำพร้าจะกึ่งๆ สติหลุดเอาเงินเก็บที่มีไปทุ่มเดิมพันว่าผมจะชนะหมดหน้าตักกันหรือไงนี่ พอชนะพนันได้เงินกลับมาอื้อซ่าแล้วก็พวกเขาเลยเลี้ยงกับข้าวแทบทั้งหมดที่มีอยู่ในเมนูให้ผมพ่วงเป็นการแทนคุณไปด้วยน่ะ เพราะเหตุนี้ผมจึงรู้รสชาติของร้านนี้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เลยสามารถสั่งอาหารจานที่คุณเอลิเซียน่าจะชอบเป็นพิเศษได้นั่นเอง  

และผลที่ได้ก็คือ

 

“ …..รู้สึกเหมือน นานมากเลยที่ได้กินอาหารอร่อยๆ แบบนี้ น่าแปลกจัง ทั้งที่ตอนอยู่คฤหาสน์ก็มีอาหารรสเลิศให้ได้กินอยู่ทุกวันแท้ๆ  ”

“ งั้นเหรอครับ…..ถ้าอย่างนั้นผมก็ดีใจครับ ”

 

คำพูดของคุณเอลิเซียฟังเพียงผิวเผินแล้วก็ดูเหมือนพูดรักษาน้ำใจแบบเวอร์วังเกินเหตุ แต่สีหน้าของเธอนั้นผ่อนคลายขึ้นมาอย่างชัดเจน ผมจึงรู้สึกอุ่นใจที่ชวนเธอมา

 

(แต่ว่าก็ว่าเถอะ……)

 

คุณเอลิเซียพูดคุยเล่นกับผมไปพลางฟาดอาหารในจานให้เรียบไปเรื่อยๆ

เห็นเธอแบบนี้แล้วก็รู้สึกฉงนใจขึ้นมาว่าแล้วทำไมเมื่อตะกี้ถึงได้ดูห่อเหี่ยวมากซะขนาดนั้น และในจังหวะที่ผมกำลังแปลกใจ

 

“ …..คิดไม่ถึงเลยนะ ”

 

จู่ๆ คุณเอลิเซียก็เอ่ยถามเช่นนี้ออกมาในระหว่างรออาหารจานใหม่มาเสิร์ฟ

 

“ ปกติแล้วต้องมาเป็นการขอบคุณหรือไถ่โทษ…..แต่คราวนี้ไม่ใช่ แถมที่เธอเป็นฝ่ายออกปากชวนมารับประทานอาหารแบบนี้…..ก็เหมือนจะมีครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยด้วย นึกครึ้มอย่างไรขึ้นมาหรือ? ”

“ เอ๊ะ? เอ่อ คือว่า….. ”

 

ผมอ้ำอึ้งกับคำถามของคุณเอลิเซีย

ในเมื่อออกปากชวนมากินข้าวแบบนี้แล้ว จะบอกเหตุผลตามตรงว่า [เพราะเห็นคุณเอลิเซียดูไม่ร่าเริง] ไปแบบนั้นมันก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอกนะ…..

แต่คือยังไงดีล่ะ เพิ่งจะโดนเข้าใจผิดเรื่องจ้องตำแหน่งคุณสามีมาหมาดๆ ไง เรื่องยังไม่ทันซาถ้าเกิดพูดแบบนั้นออกไปอีกก็รู้สึกว่าจะเกิดความเข้าใจผิดพิลึกๆ ขึ้นมาอีกรอบน่ะนะ อาจฟังเหมือนหลงตัวเองเกินไป แต่คิดว่ามันจะส่อความหมายไปในทางแบบ “พอรู้ว่าผมไม่ได้พยายามสู่ขอแต่งงานแล้วคุณเอลิเซียก็ดูเหมือนห่อเหี่ยวหมดกำลังวังชา” หรืออะไรที่โคตรเลยเถิดทำนองนั้น

และเป็นในยามที่ผมกำลังกลุ้มจับจิตว่าจะตอบคำถามของคุณเอลิเซียยังไงดีอยู่นั่นเอง

 

(อ๊ะ จะว่าไปแล้ว…..)

 

จู่ๆ ผมก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่อยากถามกับคุณเอลิเซีย

เป็นเรื่องเมื่อเดือนกว่ามาแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าอาจเกี่ยวข้องกับสาเหตุที่ทำให้คุณเอลิเซียดูห่อเหี่ยวเมื่อตะกี้ ผมจึงอ้าปากพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ

 

“ เอ่อ คือว่า ตามจริงแล้วผมก็มีเรื่องที่อยากถามกับคุณเอลิเซียอยู่เหมือนกันครับ เกี่ยวกับตอนพิธีเปิดของเทศกาลวิวาทน่ะ ”

“ เอ๊ะ…..? ”

“ ถ้าผมแค่คิดไปเองก็ไม่เป็นไรนะครับ…..แต่เห็นเหมือนกับว่าตอนนั้น คุณเอลิเซียที่ออกมาพูดปราศรัยดูจะฝืนตัวเองมาก ก็เลยสงสัยว่าเป็นอะไรรึเปล่าน่ะครับ ”

“ …..ฮึก อยู่ห่างตั้งขนาดนั้น…..ทำไมถึงรู้….. ”

 

ประเพณีสุดป่าเถื่อนของนักผจญภัยที่เพิ่งจัดไปเมื่อราวหนึ่งเดือนก่อน, เทศกาลวิวาท

ในพิธีเปิดของเทศกาลดังกล่าว คุณเอลิเซียได้ออกมาพูดปราศรัยอธิบายถึงหน้าที่ในฐานะผู้กล้าที่ต้องตามหาคู่ชีวิตที่เก่งกาจเป็นเลิศภายในเมืองแห่งนี้ ถือเป็นการปลุกเรียกขวัญกำลังใจให้กับผู้เข้าร่วมงานไปในตัว

แต่บรรยากาศที่ห่อหุ้มรอบตัวเธอในตอนนั้นมันดูหนักอึ้งมากเหลือเกิน

ทว่าไม่ทันไรคุณเอลิเซียก็ยิ้มสดใสออกมา เรื่องก็เลยจบลงแบบคลุมเครือไม่รู้ว่าเป็นยังไงแน่…..แต่ผมน่ะเฝ้าสงสัยมาตลอดเลยว่าสรุปแล้วนั่นมันหมายความว่ายังไงกัน

เท่านั้นแหละคุณเอลิเซียพลันลืมตากว้างเหมือนตื่นตกใจ จากนั้นจึงก้มหน้าลงพร้อมกับ,

 

“ เรื่องนั้น…..มันไม่ใช่ เรื่องใหญ่โต อะไรหรอก ก็แค่ ทั้งหมดที่พูดไปในพิธีเปิดครั้งนั้น มันคือสิ่งที่ถูกบังคับให้พูดน่ะ คำพูดเหมือนว่า ขอแค่แข็งแกร่งก็จะยอมรับใครก็ได้เป็นคู่ชีวิตพรรค์นั้น….. ”

“ เอ๊ะ…..? ”

 

คำพูดที่ถูกกล่าวออกมาจากปากของคุณเอลิเซียได้ทำให้ผมเป็นฝ่ายลืมตาโตบ้าง

 

“ ถูกบังคับให้พูด….. ”

“ ฉันที่เป็นผู้สืบสายเลือดผู้กล้า แทบจะไม่มีอิสระเป็นของตัวเองเลยน่ะ ”

 

และแล้วคุณเอลิเซียก็เล่าออกมาด้วยสีหน้าที่ยังไร้อารมณ์อยู่แบบนั้น

บอกกล่าวเล่าขานออกมา เรื่องราวของโลกที่ผมไม่รู้จักนั่น

 

“ การกระทำทั้งหมดของฉันภายในเมือง มันคือสิ่งที่ทางบ้านกำหนดไว้เพื่อให้บรรลุหน้าที่พิชิตเทพมารซึ่งจะต้องคืนชีพกลับมาในซักวันให้ได้อย่างสมบูรณ์น่ะสิ ทุกสิ่งที่ทำลงไปล้วนไม่ได้มีความตั้งใจจริงของฉันร่วมอยู่ด้วยเลยแม้แต่น้อยนิด แถมโดยรอบก็มีแต่ผู้คนที่เห็นสมควรกับแบบนี้เต็มไปหมด…..ก็เลยมีบางครั้งที่รู้สึกอึดอัด เหนื่อยล้าขึ้นมาบ้าง….. ”

 

พอพูดถึงตรงนั้น คุณเอลิเซียก็ร้อง “อ๊ะ!” แล้วมองมาที่ผม

มองมายังหน้าของผมที่กำลังจ้องคุณเอลิเซียอยู่ด้วยท่าทางเป็นกังวล

พริบตานั้น คุณเอลิเซียก็พลันกล่าวต่อออกมาด้วยท่าทางลนลาน

 

“ อ๊ะ…..ขอโทษนะ ที่พูดอะไรแปลกๆ ให้ฟัง คงเพราะไม่ได้เจอกันนานรึเปล่านะ…..ทั้งที่ตามจริงแล้วมีเรื่องราว มีรายงานการต่อสู้ที่อยากเล่าให้เธอฟังอยู่ตั้งมากมายเลยแท้ๆ ”

 

คุณเอลิเซียรีบสวาปามอาหารที่ถูกนำมาเสิร์ฟไปพลางส่งรอยยิ้มที่ดูลำบากใจมาให้

อากัปกิริยาเหมือนกับว่ากำลังพยายามกลบเกลื่อนคำพูดเมื่อซักครู่ ผมจึงทนอยู่เฉยไม่ได้ต้องอ้าปากกล่าวออกมา

 

“ คือว่า ไม่เป็นไรจริงๆ น่ะเหรอครับ…..? ”

“ …..อื้อ อาจจะลำบากอยู่พอตัว แต่สำหรับผู้ที่เกิดมาในวงศ์ตระกูลผู้กล้าแล้ว นี่มันคือเรื่องที่ต้องเจอเป็นปกติน่ะ แล้วก็เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการโค่นล้มเทพมารให้ได้อย่างสมบูรณ์ในซักวันด้วย …..สงสัยเพราะช่วงนี้ยุ่งตลอด ก็เลยปากรั่วเผลอตัวระบายออกมาละมั้งนะ แต่ตอนนี้ก็อย่างที่เห็นนี่ละ ว่างพอจะแอบย่องออกมาเที่ยวเล่นได้แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ”

“ เป็นแบบนั้น จริงเหรอครับ…..? ”

“ อื้อ คุยกับครอสแล้วสนุกมากเลยจริงๆ นะ…..ก็เลยเผลอพูดเรื่องแปลกๆ ออกมาเสียได้ ”

 

คุณเอลิเซียกินอาหารหมดเกลี้ยงจานไปพลางยิ้มให้อ่อนๆ

ใบหน้านั้นไม่มีเงามืดหรือรอยทุกข์หลงเหลืออยู่เลย ชวนให้เชื่อว่าคำพูดเมื่อซักครู่มันคือการระบายความในใจเล็กๆ ที่เผลอหลุดรั่วออกมาอย่างแท้จริง

ไม่มีอิสระ

นั่นคงเป็น เรื่องปกติสำหรับคนมีฐานะอย่างเช่นราชวงศ์หรือขุนนาง หากคุณเอลิเซียออกปากว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต” งั้นมันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตจริงๆ นั่นแหละ

ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะปากมากเข้าไปสอด ให้ว่ากันแล้วอย่างผมไม่มีปัญญาทำอะไรได้เลยด้วยซ้ำ ถ้าเธอพูดออกมาว่าไม่เป็นไร งั้นคนอย่างผมเป็นห่วงไปก็คงเป็นการแส่ไม่เข้าท่า

แต่ทว่า—

 

“ ก็ถูกอยู่…..การที่คุณเอลิเซียไม่อาจทำอะไรตามที่ใจหวังได้นี่ ถึงจะลำบากแต่ก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงนั่นแหละครับ ก็สายเลือดของผู้กล้ามีหน้าที่จะต้องปราบเทพมารนี่นะ ”

“ …………… อื้อ ใช่แล้วละ ทุกคนในโลกต่างก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นฉันจึงต้อง— ”

“ แต่ว่า ”

 

อาจจะเป็นการกำแหงไม่สำเหนียกตัวเองก็จริง อาจจะเป็นการคิดเองเออเองมโนเองมั่วซั่วไปเรื่อยก็ได้

แต่คุณเอลิเซียที่ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ไม่เป็นไร” แบบนั้น ก็ดูเหมือนกับว่ากำลังฝืนตัวเองอยู่จริงๆ นั่นแหละ บรรยากาศดำมืดและเย็นชาของคุณเอลิเซียที่เคยเห็นในวันวานมันยังติดค้างคาใจ คงจะเพราะ แบบนั้นละมั้งนะ

คำพูดแบบนี้ก็เลย หลุดออกมาจากปากของผมแบบเกือบๆ ตามสัญชาติญาณ

 

 

“ หรือก็คือหมายความว่า ถ้ามีคนอื่นนอกเหนือจาก ‘สายเลือดของผู้กล้า’ ที่สามารถโค่นล้มเทพมารได้ปรากฎตัวขึ้นมา คุณเอลิเซียก็จะใช้ชีวิตได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้นสินะครับ ”

 

 

“ …..เอ๊ะ? ”

 

คุณเอลิเซียลืมตาโตอย่างมึนงง

จากนั้นจึงเอามือแตะคางทำท่าเหมือนตีความคำพูดของผม

 

“ นั่นกำลังสื่อว่า…..เธอจะแข็งแกร่งขึ้นจนถึงระดับที่โค่นเทพมารได้งั้นหรือ…..? ”

“ เอ๊ะ? อ๊ะ…..! ”

 

ถูกคุณเอลิเซียชี้แจงเช่นนั้นแล้ว ผมจึงเพิ่งจะเข้าใจเอาป่านนี้ว่าถึงแม้จะเป็นในทางอ้อมๆ แต่คำพูดของผมเมื่อซักครู่มันก็ช่างเป็นวาจาที่ไม่สำเหนียกตัวเองสุดขั้วไปเลย ทว่าอีกใจนึงก็รู้สึกเหมือนจะถอนคำพูดนี้ไม่ได้เด็ดขาดอีกเหมือนกัน และเป็นในจังหวะที่ผมทำตาเลิ่กลั่กไม่อาจปฏิเสธได้อยู่นั่นเอง

 

 

“ …..ฮุฮุ ”

 

เกิดเสียงบางอย่างระเบิดออกมาอย่างน่ารัก

ช่วงแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือเสียงอะไร ทว่า…..

 

“ …..ฮุฮุ ”

 

คุณเอลิเซียเค้าปิดปากไว้แล้วทำร่างกายสั่นไหวเล็กๆ อยู่เบื้องหน้าผมที่เป็นงง—เอ้ย เดี๋ยวนะ อื๋อ? นี่หรือว่าคุณเอลิเซียกำลังหัวเราะอยู่เหรอ!? คุณเอลิเซียที่มักจะหน้านิ่งหน้าตายอยู่เสมอคนนั้นน่ะนะ!? หัวเราะออกมาแบบกลั้นขำไม่อยู่!?

 

 

“ ขะ ขอโทษนะ…..ไม่ได้จะเยาะเย้ยหรอก….. ”

 

คุณเอลิเซียกลั้นขำไปพลางอ้าปากพูดออกมา ด้วยท่าทางราวกับว่าแก้ตัวกับผมที่อึ้งค้าง

 

“ …..แค่เพิ่งจะเคยเจอคนที่ พูดจาเหมือนเด็กๆ ว่าจะปราบเทพมารแบบนั้น…..เป็นครั้งแรก….. ”

“ ดะ เด็กๆ…..!? ”

 

อ่าแต่ก็ถูกของเค้า ถึงจะพูดแบบค่อนข้างอ้อมค้อม แต่เล่นโม้ว่า “จะแข็งแกร่งจนถึงระดับที่โค่นเทพมารได้” แบบนั้นมันก็ดูเด็กจริงนั่นแหละ คำพูดแบบนี้มีสิทธิพูดได้แค่ตอนอายุไม่เกิน 5 ขวบเท่านั้น ถ้าโตจนรับ <<คลาส>> ได้แล้วยังจะพูดแบบนี้ออกมาอีกก็คงไปว่าอะไรคนที่หัวเราะไม่ได้หรอก การจวกซ้ำอันไร้ปรานีของคุณเอลิเซียเล่นเอาผมหงอไปอย่างเร็วจี๋เลยทีเดียว

 

“ ขะ ขอโทษครับ…..! จะเป็นใครไม่เป็น ดันมาพูดอะไรไร้ความผิดชอบแถมยังโคตรไม่สำเหนียกตัวเองแบบนี้กับคุณเอลิเซียเข้าซะได้…..! ”

“ …..ไม่หรอก ฉันดีใจนะ ”

“ เอ๊ะ? ”

 

มองไปแล้วก็พบว่า คุณเอลิเซียกำลังอมยิ้มในรูปแบบที่แตกต่างไปจากตอนที่หลุดขำเมื่อตะกี้

ไม่ได้มีเจตนาจะเยาะเย้ยหรือล้อเลียนแม้แต่น้อยนิด

แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูเหงา ทว่าก็ดูอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

และแล้วคุณเอลิเซียก็อมยิ้มเช่นนั้นไปพลาง,

 

“ แต่ว่า…..เธออย่าพูดอะไรน่าอายแบบนั้นบ่อยนักจะดีกว่านะ? ”

 

กล่าวแบบนี้ออกมา ด้วยท่าทางเหมือนหยอกเล่นนิดๆ ด้วยน้ำเสียงที่คล้ายปรามกันเอาไว้

 

“ เพราะถ้าเห็นเธอพูดอะไรแบบนั้นออกมาด้วยหน้าตาจริงจังแล้ว…..ฉันคงได้เข้าใจผิดแปลกๆ อีกครั้ง แน่เลย ”

“ …..อึ้ก!? ”

 

อีกครั้งนั่น หมายความว่า…..

ผมหน้าแดงแจ๋ ไม่อาจละสายตาไปจากดวงตาที่เหมือนอัญมนีของคุณเอลิเซียได้เลย—

เป็นในฉับพลันนั้นเอง

 

“ …..ฮึก!!!! ”

“ เอ๊ะ!? ”

 

ทุกอย่างเป็นไปอย่างกะทันหันมาก

จู่ๆ คุณเอลิเซียก็ลุกพรวดขึ้นมาอย่างแรงจนโต๊ะแทบกระเด็น พร้อมเอามือจับดาบที่อยู่กับเอว

ท่าทางที่ปลดปล่อยพลังเวทให้แผ่ซ่านออกมาจากทั่วร่างนั่นเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นสภาพเตรียมพร้อมรบ ผู้คนโดยรอบก็พากันส่งสายตาตกใจมาให้กันยกใหญ่ ระดับที่เกือบทำให้เอฟเฟคยับยั้งการรับรู้ของเสื้อปอนโชหายไปเลยทีเดียว

บรรยากาศเคร่งเครียดมาก ผมจึงลดระดับเสียงไปพลางตะโกนออกมา

 

“ เอ้ย คุณเอลิเซีย!? จู่ๆ เป็นอะไรไปครับ!? ”

“ …..เปล่า เมื่อกี้รู้สึกเหมือนกับว่า มี จิตสังหารที่ดุร้ายเหนือล้ำยิ่งกว่าพ๊อยซันสไลม์ฮีโดรา ถูกเพ่งตรงมาทางนี้….. ”

“ เอ๊ะ จิตสังหารที่ดุร้ายกว่าฮีโดร่า!? ”

 

งั้นก็เป็นภัยระดับที่ทำให้บัสเคิลเบียร์ล่มสลายได้เลยไม่ใช่เหรอ…..!?

 

“ อื้อ แต่ว่า…..คงจะคิดไปเองละมั้ง…..ถึงจะอย่างไรก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก ”

 

ว่าแล้ว คุณเอลิเซียก็ผ่อนคลายลงมาในทันที

ผู้คนโดยรอบก็เหมือนจะยังไม่ทราบตัวตนแท้จริงของเธอ คุณเอลิเซียเลยนั่งลงบนเก้าอี้ใหม่อีกครั้งเหมือนกับว่าไม่เกิดอะไรขึ้น

แต่บรรยากาศชวนใจเต้นแบบเมื่อตะกี้ก็ปลิวหายไปแบบไม่เหลือซาก สุดท้ายคำพูดย้ำเตือนว่า “อ๊ะ สายป่านนี้แล้ว…..ไว้เรามาคุยกันในส่วนของวันนี้ด้วยทีหลังนะ สัญญานะ” แบบนั้นของคุณเอลิเซียจึงเป็นตัวทิ้งท้าย แล้วพวกผมก็จากลากันในทันที

สะ สรุปแล้วมันยังไงกันน่ะ…..

 

 

และในระหว่างทางกลับบ้าน

 

“ นักผจญภัยที่แกร่งพอจะโค่นเทพมารเหรอ….. ”

 

ผมกำลังเล่นซ้ำคำพูดที่เผลอหลุดออกมาจากปากของตัวเองในการแอบพบกันเมื่อซักครู่

คำพูดที่ทั้งเกินตัว และเหมือนเด็กน้อยเพ้อฝันมากเกินไป

ถ้าคุณเอลิเซียไม่ได้บอกว่า “ดีใจ” ละก็ นั่นคงเป็นวาจาที่น่าอับอายมากซะจนอยากจะลงไปดิ้นแล้วพยายามไม่นึกถึงอีกเป็นครั้งที่สอง ทว่า

 

“ ถ้าอยากจะเป็นนักผจญภัยที่ปกป้องได้แล้วละก็…..ถ้าอยากจะเป็นนักผจญภัยแบบคุณเอลิเซียและพวกอาจารย์ให้ได้แล้วละก็ ”

 

ตั้งเป้าหมายให้ดูไกลเกินเอื้อมไว้แบบนั้นก็อาจจะเหมาะกว่า

ถึงจะมีคำเล่าขานว่าเทพมารจะถูกปราบได้ด้วยมือของผู้กล้าเท่านั้นก็ตามที…..แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นสิ่งที่ผมป่าวประกาศกับคุณเอลิเซียที่ผมนับถือจากใจไปแล้ว  

 

“ อืม…..ต้องพยายาม ”

 

ผมเก็บความมุ่งมั่นใหม่ไว้ภายในใจ แล้วจึงเดินทางกลับไปยังคฤหาสน์ที่มีเหล่าอาจารย์ผู้แสนอ่อนโยนรอคอยอยู่  

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset