อื้ม ก็ตามนั้นแหละ หลังจากที่สิ้นสุดการแอบนัดพบกับคุณเอลิเซียและเช้าวันใหม่มาถึง
[ต้องเป็นนักผจญภัยที่แข็งแกร่งมากพอจะโค่นเทพมารลงได้]
ผมที่เกิดความมุ่งมั่นอันมองไม่เห็นเส้นชัยเช่นนั้นมาไว้อยู่ภายในใจ จึงได้กลับเข้าสู่วันธรรมดาแบบใหม่ภายในโรงเรียนนักผจญภัยที่เปิดทำการเรียนการสอนอีกครั้ง—มันควรจะเป็นแบบนั้นแท้ๆ
“““ รอเดี๋ยวก่อนเซ่ไอ้เด็กเชี่ยยยยยยยยยยยยยยยย! ”””
“ ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!? ”
วันที่โรงเรียนนักผจญภัยกลับมาเปิดทำการเรียนการสอน ตัวผมนั้นกำลังถูกเหล่านักผจญภัยมือฉมังที่ท่าทางเหมือนอันธพาลวิ่งไล่กวดจนต้องเผ่นหนีไปทั่วเมืองบัสเคิลเบียร์มันซะตั้งแต่ยังเช้า สภาพนี่คือไม่ได้เฉียดใกล้กับนักผจญภัยที่สามารถปราบเทพมารได้เลยซักนิด ไม่มีอะไรจะน่าอดสูมากไปกว่านี้แล้ว
ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้น่ะเหรอ…..หากจะเล่าถึงต้นเหตุของเรื่องแล้วก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อซักพักก่อนหน้านี้
“ ถ้างั้นผมไปก่อนนะครับ! ”
“ …..โอ้ว ระหว่างทางไปเรียนก็อย่าประมาทนะ ”
เช้าวันนั้น ผมกล่าวทักทายกับพวกอาจารย์ก่อนจะมุ่งไปยังโรงเรียนอย่างกระตือรือร้น
รู้สึกเหมือนท่าทางของพวกอาจารย์ดูแปลกไปมาตั้งแต่เมื่อคืนเหมือนกัน…..แต่นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต ผมก้าวไปตามเส้นทางดังปกติ
และเป็นในฉับพลันที่เดินมาถึงแถวๆ ส่วนกลางระหว่างคฤหาสน์กับโรงเรียนนั่นเอง
“ …..อื๋อ? ”
ผมพลันส่ายตามองไปรอบบริเวณ
รู้สึกเหมือนสัมผัสได้ถึง แววตาไม่ชอบมาพากล
ช่วงแรกๆ นึกว่าเป็นแววตาของผู้คนที่เดินสัญจรผ่านไปมาก็เลยไม่ค่อยคิดอะไรมาก
เพราะผ่านการประลองกับขุนนางมาแบบซ้ำซ้อน หน้าของผมก็เลยเป็นที่โด่งดังขึ้นมาในระดับนึง บวกกับช่วงหลายวันมานี้ก็มีถูกเฝ้ามองจากระยะไกลอยู่บ่อยครั้งด้วยเหมือนกัน แต่ว่า แววตาในคราวนี้มันมีบางอย่างที่ต่างออกไป
ความรู้สึกแหม่งๆ นี่ มันเป็นผลจากสกิลใหม่ที่พวกคุณลีโอเน่กำชับให้เปิดใช้เอาไว้จางๆ ตลอดเวลารึเปล่าก็ไม่อาจทราบได้
ดังนั้นเพื่อเป็นการกันเหนียว ผมจึงใส่พลังเต็มที่เข้าไปในสกิลใหม่ตัวนั้นที่เพิ่งเรียนได้มาหมาดๆ เมื่อวันก่อน
“ ….. <<ตรวจจับกลิ่นอาย>> ”
และ เป็นในพริบตาที่เพ่งเน้นประสาทสัมผัสตรวจสอบรอบบริเวณนั่นเอง
“ …..ฮึก!? เอ๊ะ!? ”
พลันสังเกตถึงกลิ่นอายการโจมตีที่พุ่งออกมาจากเงาตึก—หรือก็คือจุดบอด ผมจึงรีบหันขวับไปทางนั้นอย่างแตกตื่นลนลาน
“ หวา!? ”
ชิ้งง!
การโจมตีทีเผลอด้วยดาบยาวที่แม้กระทั่ง <<หลบหลีกฉุกเฉิน II>> ซึ่งทำงานขึ้นมาในทันทีก็ยังหลบไม่พ้น
เรียกใช้ <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (กลาง)>> และ <<เคลือบแข็งร่างกาย (กลาง)>> ควบคู่ประสานกันแล้วจึงพอจะป้องกันไว้ได้แบบหวุดหวิด แต่แค่นั้นก็ยังไม่พอให้รับการโจมตีไว้ได้อย่างสมบูรณ์อีกเหมือนกัน ผมจำต้องกระโดดถอยไปข้างหลังเพื่อลดแรงกระแทก
ในระหว่างที่ผมกำลังอึ้งตะลึงงันกับความหนักหน่วงของการโจมตีที่พุ่งออกมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงนั่นอยู่,
“ ขึก! ป้องกันตัวจากการเล่นทีเผลอของข้าได้งั้นเรอะ การประลองครั้งนั้นมันไม่ใช่เพราะลูกฟลุ๊คจริงด้วยสินะ น่าหงุดหงิดชิปเป้ง ”
ฝั่งผู้ลอบโจมตีก็กำลังลืมตาโตด้วยความตกตะลึงอยู่ด้วยเหมือนกัน
ผมใช้แรงตีกลับในตอนที่รับการโจมตีถอยเว้นระยะออกห่างไปพลาง แผดเสียงตะโกนออกมาโดยที่ยังสับสนจับจิต
“ จะ จู่ๆ ทำอะไรน่ะ!? พวกคุณ เป็นใครกัน…..!? ”
พอเตรียมดาบแล้วกวาดตามองไปโดยรอบ ผมจึงรับรู้ว่าผู้ลอบโจมตีไม่ได้มีแค่คนเดียว
ฮิวแมน 6 คนกำลังตั้งวงล้อมรอบตัวผมอยู่โดยไม่สนใจสายตาชาวบ้านชาวช่อง
อายุน่าจะอยู่ในช่วง 30 ปี
บรรยากาศที่ห่อหุ้มตัวช่างเหมาะเหม็งกับคำว่าอันธพาลเหลือเกิน ดูป่าเถื่อนน่ากลัวมาก
ในหมู่นั้นไม่มีคนคุ้นหน้าเลยซักราย ความสับสนของผมมีแต่จะขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
“ มีความแค้นอะไรกับผมเหรอ!? หรือไม่ก็เล่นผิดคนแล้วรึเปล่า…..!? ”
“ หาา? ”
ผู้ชายที่ฟันเข้ามาใส่ผมเปล่งเสียงออกมาอย่างเพลียๆ
“ ไอ้ควาย คงไม่ได้จะพูดว่าไม่รู้ตัวเองตอนนี้เด่นสะดุดตามากแค่ไหนหรอกใช่มะ? ไอ้สามัญชน <<ไร้อาชีพ>> ที่ดึงเอาทั่นขุนนางระดับสูงลงมาอยู่ในการบัญชาแล้วทำโอ่ได้ใจยกใหญ่ในนามครอส อาราเกาท์คุง ”
“ เอ๊ะ…..!? ”
“ เหอะ สุดจะเชื่อเลยจริงว่ะ งั้นจะบอกให้ก็ได้เว้ยไอ้เด็กง่าวไม่รู้เรื่องรู้ราว ”
เห็นผมที่ตกตะลึงเมื่อถูกเรียกชื่อแล้ว ผู้ชายคนนั้นก็ยกมุมปากขึ้นมา
“ ในตอนนี้อะนะ ด้านมืดของเมืองมันกำลังคุยกันเรื่องของมึงให้แซ่ดเลยเว้ย เขาว่าถ้ากระทืบมึงให้เละเป็นขี้ได้ พวกทั่นขุนนางทั้งหลายที่ไม่สบอารมณ์กับ <<ไร้อาชีพ>> ที่ทำห้าวเป้งมาแข็งข้อก็จะประทานรางวัลระดับที่ใช้กินเล่นทั้งชาติก็ไม่หมดให้ยังไงล่ะ เพราะงั้นละนะ พวกข้าก็เลยรีบมากระทืบซะเนิ่นๆ ตั้งแต่ยังเช้าตรู่เพื่อไม่ให้โดนกลุ่มอื่นแซงหน้าไปน่ะเอง ”
“ ห้ะ…..!? ”
วาจาของผู้ชายทำเอาผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก
จริงอยู่ พวกคุณลูด์มิร่าเค้าก็เตือนเอาไว้ว่าหลังจากนี้อาจจะเจอกับสถานการณ์คล้ายโดนเล่นทีเผลอบ่อยครั้งขึ้น…..แต่จ้องเล่นกันตั้งแต่ยังกลางวันแสกๆ แบบนี้มันจะเกินไปแล้ว แถมให้พูดกัน ที่ว่าจะได้รางวัลจากขุนนางนั่นมันไม่ฟังดูแปลกๆ เหรอ!?
(ที่นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ของนักผจญภัยบัสเคิลเบียร์เลยนะ ต่อให้เป็นขุนนางแต่ถ้าทำผิดกฎหมายแบบนั้นก็ไม่รอดจากโทษฐานขั้นหนักหรอก!)
สับสนเป็นงงอย่างยิ่งใหญ่ แต่เท่านี้ก็รู้แจ้งชัดเจนว่าตอนนี้ผมกำลังถูกลอบโจมตีอยู่
จ้องมองพวกผู้ชายเพื่อเตรียมรับมือสุดกำลังไปพลางตั้งท่าพร้อมรบใหม่อีกครั้ง
ทว่า…..
“ ก็นะ ต่อให้ไม่มีรางวัลจากทั่นขุนนาง พวกข้าก็ไม่สบอารมณ์กับไอ้เด็กเปรต <<ไร้อาชีพ>> ที่ทำตัวใหญ่คับฟ้าตั้งแต่แรกแล้วว่ะ เอาเป็นว่าตรงนี้นะ มึงลองรู้ซึ้งถึงความเป็นจริงกับตัวซักครั้งนึงก่อนแล้วกัน ”
ท่วงท่าของพวกเขาที่เอ่ยกล่าวเช่นนั้นพร้อมเตรียมอาวุธ—มันทะลุไปเหนือกว่าขอบเขตของอาชีพระดับกลางอย่างชัดเจน
ใช้สกิลประเมินค่าไม่ได้ก็เลยไม่ทราบแน่ชัด แต่วิเคราะห์จากประสบการณ์ต่อสู้ตลอดมายันตอนนี้แล้ว…..ในหมู่หกคนที่ล้อมผมอยู่ อย่างน้อยก็มีสองคนแน่ๆ ที่เป็นอาชีพระยะประชิดระดับสูงแน่นอน
เสียเปรียบสุดขั้วทั้งในด้านจำนวนและความสามารถ ต่อให้คิดยังไงแต่การเข้าปะทะอย่างซึ่งหน้าก็เป็นแผนที่ไม่มีหวัง
ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่ผมทำได้ก็คือ—
“ — <<ทะยานหุ้มวายุ>> ! ”
“““ ฮึก!? ”””
เวทลมที่แอบกล่าวคำร่ายเอาไว้อย่างลับๆ
สายลมเสริมอำนาจการเคลื่อนไหวที่มีคำร่ายสั้นกว่าเวทโจมตี ได้กลายเป็นตัวช่วยให้ผมแหวกทะลวงฝ่าวงล้อมออกมาได้
เริ่มต้นหลบหนีสุดกำลังไปยังทิศที่ไม่มีคน เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้มีชาวเมืองพลาดโดนลูกหลงตามไปด้วย
—เพราะแบบนี้แหละ ผมก็เลยหัวหมุนต้องวิ่งวุ่นไปรอบเมืองอย่างต่อเนื่อง ทว่า
“““ รอเดี๋ยวก่อนเซ่ไอ้เด็กเชี่ยยยยยยยยยยยยยยยย! ”””
“ ขุ่ก ตื้อชะมัด…..! ”
ยันตอนนี้ผมก็ยังสลัดพวกเขาไม่หลุด
สมรรถภาพร่างกายของนักผจญภัยมือฉมังที่ไต่ไปถึงอาชีพระดับสูงมันไม่ใช่เล่นๆ พวกเขากระโดดจากหลังคาบ้านหลังนึงไปยังอีกหลังไล่จี้ผมมาแบบติดๆ ระยะที่ถอยห่างออกมาได้ด้วย <<ทะยานหุ้มวายุ>> พลันหดหายไปในทันที แค่พริบตาเดียวก็แทบจะโดนไล่ตามทันอยู่แล้ว
ผมจึงอดรนทนไม่ไหว พยายามจะใช้ <<ทะยานหุ้มวายุ>> แบบเต็มกำลังออกมาอย่างต่อเนื่อง ทว่า
“ เวทเปลวเพลิงระดับกลาง— <<ฮีทจาเวลิน>> ! ”
“ ขุ่ก!? ”
สิ่งที่ทะยานเข้ามาใส่ในจังหวะที่เหมือนกับเล็งเอาไว้ก็คือ เวทเปลวเพลิงซึ่งมีจุดแข็งในด้านระยะหวังผลและอานุภาพ
ดูเหมือนจอมขมังเวทสองคนจะคอยผลัดกันเอ่ยคำร่ายเฝ้าเล็งผมอยู่จากระยะไกลตลอดเวลา และในพริบตาที่ผมใช้ <<ทะยานหุ้มวายุ>> ผาดโผนขึ้นสู่ท้องฟ้า การโจมตีอันแหลมคมนั่นก็จะถูกปล่อยให้พุ่งเข้ามาใส่
<<ทะยานหุ้มวายุ>> ของผมยังไม่ได้อยู่ระดับที่สามารถใช้เคลื่อนไหวกลางอากาศได้อย่างอิสระ หากผาดโผนขึ้นสู่ท้องฟ้าครั้งนึงแล้วก็จะทำมากสุดได้แค่ปรับมุมองศานิดหน่อยเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ผมในสภาวะที่ต้องระแวงเวทโจมตีจึงไม่อาจสำแดงอำนาจการเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็เลยทำให้สลัดผู้ไล่ตามอาชีพระดับสูงทั้งสองคนไม่หลุดยังไงล่ะ
อย่าว่าแต่จะสลัดเลย
(…..ฮึก! นี่ผม กำลังถูกล่อให้หนีไปยังทิศที่พวกเขาต้องการ!?)
ที่เลือกมุ่งไปยังทิศที่ไม่มีคนในตอนแรกสุดนั่นมันคือความต้องการของผมจริงๆ
แต่หลังจากนั้นไม่ใช่ เหมือนกับเป็นการป้องกันไม่ให้หนีไปทางโรงเรียนนักผจญภัยและคฤหาสน์ เหล่าอาชีพระยะประชิดระดับสูงและอาชีพเวทมนตร์เขาประสานงานกันอย่างยอดเยี่ยมเพื่อล่อผมให้มุ่งไปยังทิศทางแปลกตามากขึ้นเรื่อยๆ
นี่คือเทคนิคและการประสานงานของนักผจญภัยมือฉมังซึ่งชินชากับการล่าเหยื่อ
เห็นกันชัดเจนว่าหากปล่อยเป็นแบบนี้ต่อไปเดี๋ยวก็คงถูกไล่ต้อนหลังชนฝาเข้าจนได้
(งั้นต้องทำยังไง…..อ๊ะ จริงสิ!)
เป็นตรงนั้นเอง ที่ผมนึกขึ้นได้ว่ายังมีสกิลใหม่อยู่อีกหนึ่ง
“ <<ทะยานหุ้มวายุ>> ! ”
“ ชิ ท่านั้นอีกแล้วเรอะแม่งเอ๊ย! ”
เพื่อป้องกันตัวจากเวทมนตร์ลอบยิง ผมจึงไม่กระโดดขึ้นสู่ฟ้าสูงแต่เลือกเร่งความเร็วแล่นตรงอยู่เหนือผืนดินแทน เสริมด้วยทำการพัดฝุ่นทรายให้ลอยฟุ้งขึ้นมาบดบังการมองเห็นของศัตรู จากนั้นจึงถลาเข้าไปในตรอกถนน
ในฉับพลันนั้น ผมก็เปิดใช้สกิลที่เรียนมาจากพวกคุณหน่วยลอบสังหาร
( <<ปิดกั้นกลิ่นอาย>> !)
หลบซ่อนตัวหลังกล่องไม้ที่ถูกวางทับกันไว้แบบส่งๆ แล้วจึงปิดกั้นพลังเวท
“ ไอ้เด็กเหี้ยนั่นมันหายไปไหนแล้ววะ!? ”
เสียงคำรามของเหล่าอาชีพระดับสูงที่หาตัวผมไม่เจอพลันดังก้อง
(จะกลั้นลมหายใจไว้แบบนี้จนหลุดพ้นจากการไล่ตามก็ดี หรือไม่ก็ลองค่อยๆ ย่องเก็บไปทีละคนก็ได้…..!)
และ เป็นในจังหวะที่ผมปรับลมหายใจไปพลางใช้ <<ตรวจจับกลิ่นอาย>> สืบหาช่องโหว่ในการเคลื่อนไหวของอีกฝั่งอยู่นั่นเอง
“ …..! อยู่นั่นเรอะเด็กเหี้ยยย! ”
“ ฮึก!? ว๊ากกก!? ”
กลิ่นอายของการโจมตีที่ลอยเข้ามาบีบให้ผมต้องกระโจนตัวออกจากหลังกล่องไม้
ฉับพลันนั้น คมดาบอันทรงพลังก็เฉือนให้กล่องไม้แหลกกระจุย ดาบยาวแล่นทะยานผ่านพื้นที่ที่ผมอยู่เมื่อซักครู่
ใช้ <<ปิดกั้นกลิ่นอาย>> แล้วทำไมถึงยังหาตัวเจอได้อีก!?
“ เย็ดแม่ มึงมันเด็กอะไรกันวะเนี่ย ก็รู้อยู่หรอกนะว่ามีสกิลเซ็ตที่โคตรจะบ้าบอ แต่เล่นใช้ได้ไปถึงสกิลของธีฟ (โจร) ด้วยเลยเรอะ ”
ผู้ชายท่าทางเหมือนเป็นตัวหัวหน้าที่ไล่ต้อนผมให้ต้องกระโจนออกมาจากหลังกล่องไม้พลันฉีกยิ้มเหมือนมั่นใจในชัยชนะ
“ แต่อย่าดูถูกอาชีพระดับสูงมากนักจะดีกว่านะว้อย ถึงจะยัง Lv กากขยะอยู่ แต่พวกข้าก็มีสกิลตรวจจับสามัญเหมือนกันว่ะ การซ่อนตัวโง่ๆ ของเด็กกระโปกอย่างมึงน่ะหลอกตาไม่ได้หรอก ”
“ …..ขึก! ”
ได้ยินแบบนั้นแล้วสิ่งที่ลอยขึ้นมาในหัวก็คือ คำพูดที่ว่า “หากขึ้นเป็นอาชีพระดับสูงแล้วก็จะมีลูกไม้เพิ่มขึ้นมา ขอบเขตในการวางกลยุทธก็จะกว้างมากขึ้นตามไปแหละ” ของคุณลีโอเน่—ทว่าในระหว่างที่นึกถึงคำสอนแต่ไม่ทันได้ใช้ให้เกิดประโยชน์อยู่นั้น,
“ ก็ตามนั้นแหละ…..ยอมจำนนซะนะไอ้กร๊วกกกก! ”
“ หวาา!? ”
การโจมตีอันหนักหน่วงของอาชีพระดับสูงก็ถาโถมเข้ามาใส่ผม
ที่เล่นทีเผลอเข้ามาเมื่อก่อนหน้านี้นั่นคงยังไม่ได้เอาจริงเลยด้วยซ้ำ
การโจมตีที่แค่แล่นเฉี่ยวไปก็เกิดเป็นแรงดันลมพัดโหมจนเสียหลักพลันถาโถมกระหน่ำเข้ามาจากรอบทั่วทุกมุมทิศ หนำซ้ำยังมีใช้กลลวงหลอกระดับสูงผสมร่วมเข้ามาด้วย! ทว่า
(คงประมาทเพราะเห็นว่าเล่นสองรุมหนึ่งละมั้งก็เลยไม่ได้ใส่เต็มที่…..ถ้าเร็วระดับแค่นี้ละก็!)
ผมใช้ <<ตรวจจับกลิ่นอาย>> ที่พอจะตรวจจับการโจมตีจากจุดบอดได้ในระดับนึง ผสมผสานกับ <<หลบหลีกฉุกเฉิน>> เพื่อเฝ้าจับตามองการโจมตีอย่างเยือกเย็น
และสิ่งที่ปลดปล่อยออกไป ก็คือท่าไม้ตายเผด็จศึกที่มีค่าความชำนาญเพิ่มขึ้นอย่างใหญ่หลวงในการประลองเมื่อก่อนหน้า
“ ครอสเคาน์เตอร์! ”
“ เหี้ย!? ”
เจอกับการโจมตีอันหนักหน่วงที่ใช้ประโยชน์จากทั้งแรงส่งของอีกฝ่ายเข้าไปแล้ว ผู้ชายตัวหัวหน้าก็เปล่งเสียงร้องออกมา
ทว่า
“ …..! ถึงกับทำให้ข้าที่เป็น <<อัศวินระดับสูง>> รู้สึกเจ็บปวดได้เลยเชียวเหรอวะ ไม่เลวนี่หว่าเด็กเหี้ยยย! ”
“ ห้ะ…..!? ”
ผมลืมตากว้างอย่างตะลึงงัน
เพราะผู้ชายคนนั้นรับเคาน์เตอร์ของผมเอาไว้ด้วยหลังมือ แถมยังนิ่งกับที่อยู่ได้โดยไม่ปลิวกระเด็นไปด้วยซ้ำยังไงล่ะ
(เพราะเป็นอาชีพอัศวินที่เป็นเลิศในด้านป้องกันโดยแลกกับความเร็วและพลังโจมตีเหรอไง!? ไม่หรอก เหตุผลน่าจะไม่ได้มีแค่นั้นแน่…..!)
คนคนนี้เขาพูดอยู่เมื่อตะกี้ — “ก็รู้อยู่หรอกนะว่ามีสกิลเซ็ตที่โคตรจะบ้าบอ”
กล่าวคือเขารู้อยู่แล้วยังไงล่ะ ว่าผมจะต้องโจมตีด้วยเคาน์เตอร์ที่ใช้บ่อยในการประลองเข้ามา รู้ดีอยู่แล้วก็เลยพร้อมรับมือ ดังนั้นที่เขายอมให้ผมใช้เคาน์เตอร์ได้นี่ก็เพราะว่า—
“ เอาไปแดก! <<ชีลด์แบช>> ! ”
“ ว๊ากกก!? ”
พริบตาก่อนหน้าที่ความคิดจะไล่ตามทัน ผู้ชายตัวหัวหน้าก็ปัดดาบของผมให้กระเด็นไปด้วยหลังมือ
ผมเซเสียหลักอย่างยิ่งใหญ่ และในฉับพลันเดียวกัน,
“ ตายไปเหี้ย! <<อาร์มเมอร์แทคเคิล>> ! ”
“ ฮึก!? อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!? ”
อาชีพระดับสูงอีกคนที่รอโอกาสมาตลอดก็พุ่งเอาตัวเข้ามาชนผมอย่างแรงจนปลิวกระเด็น
ถึงจะป้องกันด้วยดาบและใช้ <<เคลือบแข็งร่างกาย>> กับ <<หลบหลีกฉุกเฉิน>> ร่วมจนรอดโดนจังๆ มาได้…..แต่ร่างผมก็ปะทะเข้ากับกำแพงอย่างแรง แรงกระแทกที่หนักหน่วงระดับทะลวงการป้องกันสุดกำลังพลันแล่นไปทั่วร่าง
คิดแล้วเชียว ที่ล่อให้ใช้เคาน์เตอร์นั่นก็เพื่อที่ <<อัศวิน>> ซึ่งมีความเร็วโดยเฉลี่ยต่ำจะได้โจมตีโดนอย่างแน่นอนนั่นเอง
(ขะ แข็งแกร่ง…..! ไม่มีเวลาให้ใช้เวทโจมตีได้แน่ แล้วก็ไม่ต้องหวังจะได้เตรียม <<ฟื้นฟูแผลฉกรรจ์อัตโนมัติ>> ที่ต้องใช้เวลาเอ่ยคำร่ายยาวนานเลยด้วย….!)
แค่โดนไปทีเดียวความเสียหายขั้นหนักก็แผ่กระจายไปทั่วร่าง ไม่มีช่องว่างให้ฟื้นฟูด้วยซ้ำ
เจ็บใจเหลือเกิน แต่สู้เขาไม่ได้เลยซักนิดเดียว
ถ้างั้นอย่างน้อยก็ขอ…..!
“ เฮ้ยเฮ้ยจบซะแล้วเหรอวะ เอ้อ ถึงจะชนะอาชีพระดับสูงได้ แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะสู้ในรูปแบบการประลองที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าได้สารพัด แถมยังวางมาตรการรับมือไล่ต้อนทั่นขุนนางไปติดกับจนหงายเก๋งเท่านั้นเองนี่เนาะ ถ้าซัดกันตรงๆ แล้วก็เป็นเงี้ยแหละว่ะ ”
ว่าแล้ว พวกผู้ชายก็ฟาดสันดาบลงมาเพื่อจะปิดฉากผม ฉับพลันนั้นเอง,
“ — <<สปีดเอาท์ เบิร์สต์>> ! ”
““ ห้ะ!? ””
เวทมนตร์คำร่ายสั้นที่แอบร่ายเอาไว้ในระหว่างที่แสร้งทำเหมือนว่าเจ็บหนักขยับตัวไม่ได้
หมอกดำที่เน้นหนักไปทางระยะหวังผลมากกว่าอานุภาพ พลันกระจายเข้าห่อหุ้มอาชีพระดับสูงทั้งสองคนที่ประมาทเลินเล่อ
ผมฝืนลบความเจ็บปวดให้หายลับด้วย <<ลดหลั่นความเจ็บปวด>> ไปพลางวิ่งหนีสุดแรงเกิด
(เบิร์สต์มีระยะทำงานกว้างแลกกับอัตราส่วนความเร็วที่ทำให้ช้าลงได้ต่ำ…..แต่ถ้าใช้โดนอาชีพอัศวินที่มีอำนาจการเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยต่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้วละก็…..!)
ก็จะมีโอกาสหนีรอดพ้น!
ผมดื่มโพชั่นหมดในอึกเดียวแล้วเอ่ยคำร่ายของ <<ทะยานหุ้มวายุ>>
แต่เป็นในพริบตาที่ย่อตัวลงเตรียมจะผาดโผนเพื่อเว้นระยะห่างออกจากพวกผู้ชายไปอีกนั่นเอง
““ เวทเปลวเพลิงระดับกลาง— <<อิออร์กัน เฟลม>> ! ””
“ ห้ะ—!? ”
พลันมีก้อนมวลเปลวเพลิงขนาดยักษ์ร่วงลงมาจากเหนือหัว
(อย่าบอกนะว่า ในระหว่างที่ผมปะทะกับอาชีพระดับสูง กลุ่มจอมขมังเวทก็ให้อาชีพระยะประชิดคนอื่นอุ้มตัวขยับเข้ามาใกล้—!?)
มาสังเกตเห็นศรลูกที่สองซึ่งกลุ่มนักผจญภัยมือฉมังเตรียมไว้เอาป่านนี้ก็สายไปแล้ว
เวทมนตร์ที่แต่เดิมก็มีระยะกว้างและรวดเร็วจนหลบยากอยู่แล้วมันพุ่งเข้ามาใส่จากสองทิศทาง
แถมถ้ายิ่งโดนยิงลงมาจากเหนือหัวภายในตรอกถนนที่ไม่ให้ทางหนีแบบนี้แล้วก็อับจนหนทาง
กระสุนปืนใหญ่ที่หากโดนเข้าไปจังๆ ก็ทำให้อาชีพระดับสูงถึงกับเจ็บหนักได้นั่นมันแล่นตรงเข้ามาด้วยความเร็วจี๋
“ ฮะฮ่าฮ่า! เท่านี้ก็จบกันแล้วโว้ยเด็กเปรตจองหอง! ”
“ ขุ่ก! ”
พวกผู้ชายแผดเสียงร้องเปี่ยมชัยชนะ ส่วนผมก็เค้นความคิดหาทางต่อต้านอย่างบ้าระห่ำเพื่อเลี่ยงความเสียหายให้ได้มากที่สุด—ทว่าในฉับพลันให้หลัง
“ <<ลอบรี่เมจิค>> ! ”
เวทเปลวเพลิงทั้งสองก็หยุดกึกกลางอากาศอย่างกะทันหัน
“““ หา…..!? ”””
พวกผู้ชายต่างอึ้งค้างอย่างตะลึงงัน พริบตาถัดมา—ตู้มมมมมมมม!
““ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!? ””
เวทเปลวเพลิงทั้งสองลูกเปลี่ยนวิถีอย่างกะทันหันเข้าไปอัดใส่พวกผู้ชายอาชีพระยะประชิดระดับสูงทั้งสองคน ส่งให้เสียงกรีดร้องลั่นอย่างเจ็บปวดดังก้องกังวาน ยูนีคสกิลนี่มัน…..!
“ ให้ตาย เห็นว่าแกโดนไอ้พวกหน้าตาชั่วๆ มันไล่กวดก็เลยรีบตามมา แล้วก็ใช่ซะจริงด้วยนี่หว่าเฮ้ย ”
“ จิเซล!? ”
ผู้ที่ปรากฎกายออกมาเบื้องหน้าผมที่อึ้งค้าง ก็คือหัวหน้าของแก๊งเด็กกำพร้าที่มีผิวสีแทนเป็นเอกลักษณ์จุดเด่น
และพอผมตกอกตกใจกับผู้ที่โผล่มาช่วยเหลืออย่างกะทันหันอยู่,
“ มะ มันยังไงกันวะ…..!? ฝีมือมึงเรอะอีเด็กกะหรี่!? ”
“ ฮึก! จิเซลระวัง! ”
“ เฮ้ย!? ไอ้บ้า เดี๋ยวดิ!? ”
สงสัยจะมีสเตตัสป้องกันเวทสูงละมั้ง หรือไม่ก็คงหลบโดนจังๆ ได้แบบหวุดหวิดหรือไง
แม้จะโดนเวทเปลวเพลิงระดับกลางเข้าไปจนเจ็บหนัก แต่พวกผู้ชายก็พุ่งเข้ามาทางนี้ด้วยหน้าตาโกรธกะฟัดกะเฟียดใหญ่เลย! ผมกระชากมือจิเซลที่ไม่รู้ทำไมถึงหน้าแดง แล้วก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อเตรียมปกป้องเธอเอาไว้ ทว่าการเคลื่อนไหวของเหล่าอาชีพระดับสูงที่กวัดแกว่งดาบไปมาอย่างพิโรธนั้นแม้จะโดนเวทมนตร์อัดเข้าไปแล้วแต่ก็ยังคงสูงล้ำมากอย่างน่าทึ่ง
(…..ขึก! แล้วผมก็ดันเยินมากยิ่งกว่าอีกฝั่งซะอีก สภาพแบบนี้จะสู้ได้ไปซักกี่น้ำ…..!)
ความแข็งแกร่งของอาชีพระดับสูงที่ถูกแสดงออกมาให้เห็นชัดแจ้งอีกครา มันทำให้ผมเหวี่ยงดาบออกไปโดยเตรียมใจพร้อมจะลากอีกฝั่งลงนรกไปด้วยกัน—ฉับพลันนั้นเอง
“ ไสหัวไปเสียไอ้พวกชั้นต่ำ— <<หนึ่งก้าวร้อยกร>> ! ”
สายลมพัดโหม
พอคิดแบบนั้น ภาพติดตาสีทองและน้ำเงินก็ถูกปล่อยฟาดฟันเข้าใส่นักผจญภัยระดับสูงทั้งสองด้วยความเร็วที่ตามองตามไม่ทัน
““ ห้ะ—!? อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!? ””
เกิดบาดแผลนับไม่ถ้วนขึ้นทั่วร่างในชั่วพริบตา แล้วคราวนี้พวกผู้ชายก็ล้มลงสิ้นท่าได้ซะที
พอมองไปก็พบว่าอาชีพเวทมนตร์ที่อยู่เหนือหลังคาบ้านได้หมดสภาพย่อยยับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“ ปลอดภัยไหมขอรับ นายเหนือหัวของกระผม ”
ชิ้ง ผู้ที่เก็บดาบเข้าฝักและก้มตัวลงคุกเข่าอย่างโออ่าแทบเท้าผม ก็คือขุนนางระดับสูงที่ถูกผมโค่นลงเมื่อหลายวันก่อน
ชายหนุ่มผู้ห่อหุ้มตัวเอาไว้ด้วยเครื่องแต่งกายอันมีภูมิฐาน คุณกิมเล็ต วอลเดรียนั่นเอง
แม้จะมีสับสนกับความเร็วอันน่าตื่นตระหนก บวกกับความมีมารยาทที่ออกเกินเหตุไปหน่อยไม่เปลี่ยน,
“ ขะ ขอบคุณนะทั้งสองคน ”
แต่ผมก็หันเข้าหาทั้งสองที่มาช่วยเหลือเอาไว้จากวิกฤตเลวร้าย แล้วจึงกล่าวคำพูดขอบคุณออกมา