“หัวหน้าใหญ่เหรอ?”
ความสับสนแลแปลกใจของทัตส่งน้ำเสียงไปถึงฝ้ายที่อยู่อีกฝั่งของสายโทรศัพท์
‘ใช่ค่ะ… เหมือนว่าเขามีเรื่องจะคุยด้วย’
“เรื่องอะไรกันนะ” พิมขมวดคิ้วกังวลสงสัยอยู่ข้าง ๆ ทัต
ไม่สิ… อย่าว่าแต่พิมเลย อันที่จริงน้ำเสียงฝ้ายก็เป็นกังวลไม่ต่างกัน เพราะสองสาวรู้ดีว่าการเป็นเป้าสายตาของคนใหญ่คนโตไม่ใช่เรื่องที่คนอย่างทัตต้องการแน่
แต่ว่า…
“เมื่อไหร่เหรอ?” ทั้งที่ควรเป็นอย่างนั้นแต่ทัตกลับเป็นฝ่ายถามย้ำ
ซึ่งถึงเขาไม่ถาม ฝ้ายก็คงแจ้งกำหนดการณ์มาเองอยู่แล้ว พิมถึงรู้ได้เลยว่าทัตกำลังให้ความสนใจกับการพบปะกับหัวหน้าใหญ่
ยิ่งก่อนหน้านี้ทัตพูดเรื่องความต้องการเปลี่ยนสถานการณ์รอบตัวด้วย พิมยิ่งเข้าใจว่าทำไมทัตถึงอยากจะเจอกับผู้กุมบังเหียนของเซฟเวอร์
คงจะมีแต่ฝ้ายที่ไม่เข้าใจเพราะไม่มีเบาะแสในการแก้ข้อสงสัยเดียวกัน แต่จะให้ถามตอนนี้ก็คงไม่เหมาะ แถมถ้าสิ่งที่ทัตอยากทำเป็นเรื่องจริงจัง เธอเองก็อยากจะคุยกับทัตต่อหน้ามากกว่าผ่านโทรศัพท์
แถมเรื่องสำคัญกว่าในตอนนี้คือการแจ้งข้อมูลสำคัญให้ทัตรู้ต่างหาก
‘…กลางคืนวันนี้ ได้รับการติดต่อว่าจะมีคนมาหาเราที่โรงพยาบาลน่ะค่ะ’
“เหรอ… งั้นถ้าตกกลางคืนแล้วจะไปรวมตัวกันที่นั่นนะ”
‘รับทราบค่ะ ระหว่างทางก็ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ’
ฝ้ายอวยพรก่อนจะตัดสาย เธอคงไม่อยากจะพูดคุยเรื่องนี้นอกเวลามากนักเพราะอาจทิ้งหลักฐานอะไรเอาไว้หรืออาจมีใครแอบดักฟัง
รอบคอบดีจริง ๆ… ทัตแอบชื่นชมประสบการณ์ของน้องสาวตัวเองตามเคย
คิดว่าคงต้องคิดเผื่อเรื่องนั้นไว้บ้างและลดการพบเจอเหล่าผู้มีพลังในเวลาปกติลงเสียหน่อย เพื่อไม่ให้ศัตรูจับสังเกตหรือหลงเหลือหลักฐาน
พอมาคิดดู… ถ้าเกิดมีพวกนอกคอกที่เป็นศัตรูเจอหลักฐานว่าเรากับพิมมาที่นี่ก็อาจจะเอาไปใช้แบล็คเมล์ได้เหมือนกัน
โชคยังดีที่ตรงนี้เป็นแค่ยิมเลยหาข้ออ้างได้เยอะแยะ
…รอบหน้าถ้าจะติดต่อกับใครคงต้องคิดให้ถี่ถ้วนกว่านี้แล้ว
ทัตจับมือพิมเดินออกจากซอยหน้ายิมของพวกปลอกแขนแดงในทันทีที่คิดได้
ในระหว่างทางก็สังเกตเห็นท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ดูเวลาก็ปาเข้าไปห้าโมงเย็น เวลาเตรียมตัวเหลือไม่มากแล้วสำหรับการเตรียมตัวในวันนี้
“สรุปแล้วเราจะไปโรงพยาบาลแทนสินะ” พิมเองก็คงสังเกตเหมือนกันถึงพูดกระตุ้นทัต
“คงงั้นแหละนะ” ทัตพยักหน้ารับเห็นตรงกัน
แต่ไม่รู้ทำไมพิมถึงแสดงสีหน้าไม่ค่อยพอใจออกมานิดหน่อย
“เป็นอะไรเหรอ?” จะให้คาดเดาอารมณ์อันซับซ้อนของอิสตรีก็ยากเกินความสามารถ ทัตก็เลยถามตรง ๆ
แต่… พอถามออกไป แก้มพิมก็ดันแดงระเรื่อขึ้นมาซะอย่างนั้น
“…ไม่มีอะไรหรอก” เธอตอบเสียงเบาก่อนหันไปทางอื่นแถมยังยกมือป้องปากอีก แต่แน่นอนว่าใบหน้าที่แดงถึงหูนั้นซ่อนไม่มิด
ถึงตรงนั้นทัตก็พอจะเดาเองได้
เห็นชัดว่าการเปลี่ยนจุดหมายจากห้องของทัตเป็นโรงพยาบาลจะเป็นสาเหตุหลัก และการที่สาวเจ้าประหม่าถึงขนาดนี้ก็แสดงให้เห็นเลยว่าพิมจินตนาการเตลิดไปไกลและคาดหวังอะไรเอาไว้อย่างแน่นอน
พอคิดแบบนั้น ในอกของทัตก็เริ่มร้อนรุ่มซ่านผ่านไปจนถึงใบหน้า ทำเขาปรารถนาสิ่งเดียวกันอย่างไม่อาจเลี่ยง
ดูเหมือนอาการเขินอายจะกลายเป็นโรคติดต่อสำหรับคู่รักคู่นี้ซะแล้ว
ทางพิมเห็นทัตเงียบไปเลยพยายามสังเกต แต่พอเห็นว่าทัตกำลังเขินเธอก็พลอยทำตัวไม่ถูกไปด้วย
“ระ ระหว่างทางมีร้านสะดวกซื้อด้วยนะ เราแวะซื้อของอะไรซะหน่อยก่อนไปโรงบาลดีไหมอ่ะ?”
“นะ นั่นสินะ”
พิมพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง และทัตเองก็เข้าใจเลยตามเธออย่างว่าง่าย
ทั้งสองรีบเดินต่อไปยังร้านสะดวกซื้อด้วยอาการงุ่นง่าน แต่ก็ช่วยลดอาการประหม่าลงไม่เท่าไหร่เพราะทั้งสองคนไม่ยอมปล่อยมือออกจากกัน
จะมีก็แต่แอร์เย็น ๆ นี่แหละที่ทำให้ความร้อนรุ่มในอกจางลงไปบ้าง
“วันนี้เราคงไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์เอาชีวิตรอดกันก็ได้ใช่ไหมนะ?” จะปล่อยให้รู้สึกแปลก ๆ ไปตลอดก็ใช่ที่ ทัตเลยชวนคุยถึงเรื่องแผนของวันนี้แทน
พิมเองก็สลับท่าทีเป็นจริงจังจับคางครุ่นคิดตามในทันที
“อืม… ซื้อแค่ขนมไปกินเล่นก็ได้มั้ง ยังไงที่ศูนย์อพยพก็น่าจะมีของกินฟรีอยู่แล้วนี่นา” พิมนึกเรื่องนั้นออกเป็นอย่างแรกทำทัตยิ้มแห้ง
เขารู้ว่าเธอพูดเรื่องนั้นเพราะอยู่กันตรงชั้นวางขนม เลยส่งผลให้ต่อมความอยากของหวานของเธอทำงานพอดี
“แต่นั่นน่าจะเป็นกรณีที่เป็นวันจันทร์เต็มดวงรึเปล่า? ถ้าแค่คืนเดียวคงไม่จำเป็นต้องใช้เสบียงหรอกใช่ไหม?”
ทัตท้วงเรื่องนั้นขึ้นมาพิมก็ร้อง เออเนาะ! นึกขึ้นได้ตาม ดูเหมือนความอยากขนมจะทำลายเหตุผลของเธอซะแล้ว นั่นพลอยทำทัตถอนหายใจตาม
แต่ถึงแบบนั้นก็เถอะ…
ทั้งที่กินเยอะขนาดนี้แต่หุ่นก็ยังดูดี ชักสงสัยแล้วสิว่าร่างกายเธอนี่มันทำงานยังไงกันนะ
พอคิดแบบนั้นทัตก็เผลอเลื่อนสายตาตัวเองแทะโลมส่วนค้างเว้าของพิม ทรวดทรงองค์เอวที่สังเกตเห็นบ่อย ๆ ดูงามมีน้ำนวลอย่างไรตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น
เมื่อก่อนเคยคิดว่าพิมที่มีรูปร่างแบบนี้ให้ความรู้สึกว่าเป็นคนสวย
แต่พออยู่ในสถานะคนรัก การมองเรือนร่างของพิมแม้ผ่านชุดนักเรียนมันมากพอที่จะกระตุ้นฮอร์โมนวัยกลัดมันให้ปะทุ ช่างเป็นอารมณ์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อหลายวันก่อน
ความร้อนรุ่มในอกของทัตเป็นเพราะเขาทำตัวเองล้วน ๆ แม้แต่แอร์ในร้านสะดวกซื้อก็เริ่มจะเอาไม่อยู่แล้ว
“มีอะไรเหรอ?” พิมเห็นว่าทัตมองมาเลยเอ่ยถาม แต่นั่นแหละที่ทำเอาทัตตกใจจนไหล่กระตุก
“ปะ เปล่า!?”
ทัตไม่รู้จะตอบอะไรเลยแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยการปฏิเสธ ยิ่งทำให้น่าสงสัยเข้าไปใหญ่
พิมเห็นแล้วก็จ้องทัตจี่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นยิ่งทำเขาเหงื่อตก ทัตที่กลัวเรื่องนั้นเลยพยายามกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อเปลี่ยนเรื่องด่วน
…แล้วก็ไปเจอของแปลก ๆ อยู่นอกร้านเข้าพอดี
“พอดี… เห็นคุณเมดน่ะ?”
“เมด? หมายถึงอะไรของนายน่ะ?”
ได้ยินทัตพูดอะไรแปลก ๆ พิมเลยหันไปมองตามที่ทัตมอง
พอมองผ่านผนังกระจกของร้านสะดวกซื้อ พิมก็มองเห็นหญิงสาววัยรุ่นอายุแค่ประมาณ 20 ต้น ๆ กำลังแต่งชุดเมดเดินผ่านถนนจริงดังทัตว่า
ถึงจะแอบสงสัยอยู่ก็เถอะว่าทัตเอาเวลาที่ไหนไปมองข้างนอก เพราะก่อนหน้านี้สายตาเขาจด ๆ จ้อง ๆ อยู่แต่กับเธอ
“แต่ก็แปลกจริงด้วย… วันนี้ไม่มีงานคอสเพลย์ซะหน่อย ไหงมีคนใส่ชุดเมดเดินไปเดินมาได้ล่ะเนี่ย”
เรื่องที่มีคนแต่งชุดเมดกลางที่สาธารณะมันแปลกจริงดังทัตว่าพิมเลยสังเกตเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน
ถึงจะน่าประหลาดใจที่พิมรู้ข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างปฏิทินการจัดงานคอสเพลย์ก็ตาม แต่ที่เปลี่ยนเรื่องได้สำเร็จก็ทำให้ทัตโล่งอกโล่งใจอยู่
“ว่าแต่นายเนี่ย สนใจอะไรแบบนี้เหรอ?”
“หืม?”
แต่จู่ ๆ พิมก็หันกลับมาถามเขาด้วยคำถามอื่น ดูท่าการเปลี่ยนประเด็นอาจนำความซวยมาให้พ่อหนุ่มวัยว้าวุ่นคนนี้แทน
“ก็หมายถึงผู้หญิงคนนั้นไง…” พิมขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน น้ำเสียงดูหนักกว่าปกติ มากพอให้จับสังเกตได้ว่าไม่พอใจ
ซึ่งเรื่องนี้มันเคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงหลังมา แม้แต่คนอย่างทัตเลยพอจะเดาได้ไม่ยาก
“นี่เธอหึงเหรอ?”
“…ถึงใช่ นายก็ไม่ควรถามตรง ๆ นะ”
พิมทำแก้มป่องเป็นการตอบกลับ ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้หันสายตาหนีไปไหน
พอเป็นแฟนกันแล้วเธอคงอยากเผชิญหน้าความรู้สึกเหล่านี้มากกว่าจะหนี หรือไม่งั้นความรู้สึกอยากครอบครองทัตก็รุนแรงขึ้นจนไม่อาจยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ได้นาน ๆ เลยอยากจะเคลียร์เร็ว ๆ
นั่นแหละคือที่มาของสายตาเค้นถามปนออดอ้อนของพิม
“ฉันมองเพราะคิดว่าแปลกเฉย ๆ หรอก” ทัตรู้เรื่องนั้นเลยยิ้มให้แล้วลูบหัวพิมอีกต่อ เขามองตาตอนตอบด้วยความสัตย์จริง
“แน่นะ? ถ้ามองเพราะคิดว่าน่ารักกว่าฉันล่ะก็เจองอนแน่”
“แน่สิ จะมีใครน่ารักไปกว่าเธออีก ถามจริง”
ทัตยิ้มตอบอีกรอบทำพิมไหล่กระตุก จากนั้นก็เริ่มอมยิ้มออกมาในทันที ท่าทางเธอจะใจฟูเอาเรื่องเลยทีเดียว
“ระ เหรอ…”
พิมเริ่มใช้นิ้วม้วนผมตัวเองแก้อาการเขินอายอีกรอบ ทัตเห็นแล้วก็ทั้งดีใจและโล่งอกหลังได้เห็นว่าผู้หญิงที่เขารักเป็นเอามากขนาดนี้เพราะคำพูดไม่กี่คำของเขา
“แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงดูล่กจังล่ะคะ?”
“แล้วทำไมต้องมีหางเสียงด้วยเนี่ย” ได้ยินพิมถามเสียงอ่อยทำทัตกุมขมับ สุดท้ายปัญหาแรกก็กลับมาหลอกหลอนเขาอีกจนได้
ไม่ใช่ว่าหงุดหงิดใจที่แสดงออกไปแบบนั้น ทัตคิดเพียงแค่ว่า หากโดนผู้หญิงน่ารักแถมตอนนี้เป็นแฟนสาวแสดงท่าทางออดอ้อนใส่ ใครเล่าจะบอกปัดลง
“เห้อ…” ทัตรู้สึกเลยว่าไม่มีทางเลือกก็เลยคิดว่าต้องบอกตรง ๆ แม้จะรู้สึกลำบากใจ
เพราะเอาจริงเขาก็ไม่อยากโกหกพิมหรอก แต่จะให้พูดในร้านสะดวกซื้อก็อายเกินไป แถมอาจจะมีคนได้ยินอีก
“ตามฉันมาข้างนอกหน่อยสิ”
“เอ๊ะ?”
รู้ตัวอีกทีพิมก็โดนทัตจับมือลากออกไปข้างนอกแล้ว แต่ถ้าถามว่าเธอขัดขืนไหม? ก็แน่นอนว่าไม่
ทั้งสองคนออกจากร้าน เดินไปจนถึงซอยใกล้ ๆ
ความเป็นส่วนตัวยังน้อย แต่ก็มากกว่าในร้านสะดวกซื้อที่มีสายคนหมู่มากอยู่แน่ ๆ
พอเห็นว่าไม่มีคนอยู่ในระยะสายตาแล้วทัตก็ปล่อยมือ มองหน้าพิม เริ่มทำสีหน้าลำบากใจออกมาก่อนจะพูด
“คือว่า… พูดแล้วอย่าโกรธได้ไหม”
“ขึ้นอยู่กับเนื้อหาค่ะ” พิมตอบด้วยสายตาจริงจัง
“ใจร้ายจริงนะ” ทัตได้ยินแล้วก็ยิ้มแห้ง แต่คิดว่ายังไงเขาก็คงบังคับอารมณ์ของพิมไม่ได้หรอก
ท้ายสุดเขาก็ไม่มีทางเลือกเลยต้องพูดออกไปตามตรง
แม้ไม่อาจมองตาพิมขณะตอบคำถาม แต่ทัตก็ยังกลั้นใจเปิดปากตอบคำถามนั้นอย่างตั้งใจ
“ฉันแอบมองเธอน่ะ”
“หืม?” พิมเอียงคอสงสัย เหมือนทัตจะอธิบายไม่ละเอียดพอ
ยิ่งคิดยิ่งเขิน ยิ่งเริ่มเกาหัวทำตัวไม่ถูก แต่มาถึงขั้นนี้แล้วยังไงก็ต้องพูดให้ชัดเจน
“ฉันหมายถึง… เมื่อกี้ฉันแอบมองร่างกายของเธออยู่น่ะ แบบไม่ตั้งใจ ก็เลยพยายามแก้ตัว โทษทีนะ”
ทัตพูดไปหน้าก็แดงก่ำ แม้จะพยายามมองตาในตอนที่พูดแต่พอสบตาเขาก็เผลอเลื่อนหลบไปทางอื่น
แต่พอหันมามองอีกรอบ พิมก็เบิกตาโพลงอ้าปากค้างหน้าแดงก่ำไปอีกคน เธอเริ่มยกมือข้างนึงขึ้นลูบแขนอีกข้างของตัวเอง
เป็นอาการตัวอย่างของคนที่ทำอะไรไม่ถูกเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่เคยเจอ
“หะ เห๋… นายเองก็สนใจเรื่องพวกนี้อยู่จริง ๆ สินะ” พิมเริ่มพูดตะกุกตะกัก สายตาที่มองจ้องทัตตลอดได้เผลอเลื่อนไปมองที่อื่นแทนเพราะความประหม่าแบบที่ทัตเป็น
“ไม่ชอบ… รึเปล่า?”
ทัตถามออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะไม่รู้ว่าพิมคิดยังไง
เพราะถึงพิมจะชอบแกล้งหยอกเขาบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่งรูปวาบหวิวของตัวเอง เข้ามาตีสนิทชิดเชื้อหรือสกินชิพตั้งแต่ยังเป็นเพื่อนสนิทกัน เขาก็พยายามคิดมาตลอดว่านั่นเป็นการกลั่นแกล้งหรือดึงดูดความสนใจตามปกตินิสัยของเธอ
แต่พอสถานะเปลี่ยนไป เธอจะคิดยังไงกับการถูกจ้องมองร่างกายกันนะ?
เขาเริ่มกังวลเพราะเห็นพิมกระมิดกระเมี้ยนไปมา หรือเธอยังไม่แน่ใจว่าการถูกมองโดยแฟนหนุ่มเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้กันนะ
แต่ว่า…
“ที่จริง… ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ ถ้านายจะมองน่ะ”
พิมเดินขยับเข้าใกล้ทัตอีกก้าวจนมายืนอยู่ตรงหน้า แสดงให้เห็นว่าไม่มีความรังเกียจหรือไม่ชอบใจอยู่ในความคิดเธอเลย สีหน้าตอนตอบคำถามของพิมเองยังคงแดงก่ำไม่หายด้วยซ้ำ
แววตาอันชุ่มชื้นดูออดอ้อนเสมือนเชิญชวนยิ่งทำให้คิดว่าพิมน่าจะออกไปทางชอบใจด้วยซ้ำ และนั่นอาจทำเอาทัตสติเตลิดได้เลยหากไม่คุมตัวเองให้ดี ๆ
“ก็… ถ้าเธอว่างั้นก็โอเค”
“อะ อืม…”
การร่างมติได้รับการรับรองจากพิม การกระทำของทัตจึงกลายเป็นชอบธรรมโดยอัตโนมัติ
…ถึงแบบนั้นอาการเก้ ๆ กัง ๆ ระหว่างทั้งคู่ก็ยังไม่หายไป
พวกเขาเพิ่งเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนสนิทกลายเป็นคนรักยังไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ เรียกว่ายังอยู่ในจุดที่แบ่งแยกระยะห่างไม่ถูก หรือยังไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นเรื่องที่ทำได้หรือไม่ได้
ความรู้สึกของทัตกับพิมไปถึงจุดที่ลึกซึ้งนั้นเป็นเรื่องแน่นอน พวกเขารักอีกฝ่ายถึงขั้นพร้อมยอมตายแทนได้ ทั้งคู่ถึงรู้สึกตรงกันว่าไม่มีสิ่งใดที่จะทำเพื่ออีกฝ่ายไม่ได้อีกแล้ว
แต่ก็เพราะเห็นแก่ความรู้สึกของอีกฝ่าย สิ่งเหล่านี้จึงควรจะทำความเข้าใจและค่อย ๆ ฝ่าด่านไปทีละนิดจนกว่าจะใกล้ชิดกันได้มากกว่าเดิมในฐานะคู่รัก
เรียกว่าเพราะความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นสิ่งสำคัญนั่นแหละ ทั้งสองฝ่ายถึงไม่อยากรีบร้อนรุนแรงและทะนุถนอมมันไว้ให้เป็นไปอย่างราบรื่น
และเพราะอยากพัฒนาความใกล้ชิดไปพร้อมกัน ทั้งสองจึงไม่คิดจะหยุดนิ่งนานนัก
“แต่เอาจริง ๆ… ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าจะถูกนายมองด้วยสายตาแบบนั้นเร็วขนาดนี้อ่ะ”
พิมจึงกลับมายิ้มหยอกเย้า เธอกอดอกเข้ามากระแซะทัตอีกครั้ง กลับสู่โหมดปกติอย่างสมบูรณ์แบบและรวดเร็ว
ที่เป็นแบบนั้นเพราะลึก ๆ แล้วเธอเองก็ดีใจที่ทัตให้ความสนใจกับตัวเอง ไม่ว่าหัวใจหรือร่างกายก็ตาม
แต่ผลของการเปลี่ยนแปลงท่าทีกะทันหัน ก็ทำให้ทัตทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน
“ร้ายเหมือนกันนะคะเนี่ย คุณแฟนขา” พิมเดินเข้ามาเอาไหล่ชนทัตเย้าหยอกเขาซ้ำอีกหน ยิ่งทำให้ทัตประหม่าหนักเข้าไปอีก
“ก็ก่อนหน้านี้เธอดันพูดเรื่องชวนให้คิดออกมาเองนี่หว่า…”
“จะบอกว่าเป็นความผิดของเค้างั้นเหยอ?”
พิมเลิกคิ้วตาโตทำปากแมวใส่ราวกวนโอ้ยกัน เธอไม่คิดจะเลิกแกล้งทัตแน่นอนหลังได้เห็นปฏิกิริยาเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกจากเขาขนาดนี้
“ก็ความผิดเธอนั่นแหละ… มีผู้หญิงสวยขนาดนี้เป็นแฟน ใครมันจะไม่อยากล่ะ”
กระทั่งทัตพูดออกมาตามตรง แม้จะพยายามยกมือบังปากตัวเองแก้เขินแต่ก็พูดความต้องการออกมาได้ชัดเจนกว่าครั้งแรก
ทัตแอบชื่นชมพัฒนาการนั้นของตัวเองในใจ
“เอ๊ะ?” ส่วนทางด้านสาวเจ้าที่หยอกไก่ไปแล้วโดนไก่จิกกลับ… ใบหน้าเธอก็กลับแดงเป็นลูกแตงโมอีกแล้ว
“…ลามก”
พิมอายจนพูดอะไรไม่ออกนอกจากตัดบทตามสัญชาตญาณ รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าหยอกทัตต่อจะเป็นตัวเธอเองที่ทนไม่ไหว
แน่ล่ะว่าเธอต้องอยากเห็นว่าแฟนหนุ่มจะแสดงความต้องการออกมายังไง และลึก ๆ แล้วเธอก็อยากรู้ด้วยว่าทัตต้องการเธอมากแค่ไหน
…แต่พอได้รู้เข้าจริง ๆ เธอก็ไม่ได้คิดเลยว่ามันจะกระตุ้นตัวเธอเองให้ต้องการอย่างเดียวกันตามไปด้วย
ทางทัตเองก็ไม่ได้คิดว่าพิมจะเป็นเอามาก ก่อนหน้าที่จะคบกันก็มีบ้างที่พอถูกทัตจีบสวนกลับไปแล้วทำตัวไม่ถูกบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับพูดไม่ออกขนาดนี้
จมอยู่กับความคิดจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้วนะ? ทัตมองพิมทำสายตาล่อกแล่กแต่ไม่ยอมพูดอะไรแล้วเริ่มเป็นห่วงขึ้นมา
“…ใกล้มืดแล้วนะ ฉันว่าเรารีบไปกันเถอะ” เห็นนิ่งไปนานเกินทัตเลยต้องทัก
แต่พอทำแบบนั้นพิมก็เดินเข้ามากอดแขนทัต
ทีแรกนึกว่าพิมแกล้งเขาอีกรอบ แต่พอพิมแหงนมองเขาด้วยสายตาชุ่มชื้นออดอ้อนก็รู้เลยว่าไม่ใช่
ความปรารถนาในใจของผู้หญิงคนนี้กำลังปะทุขึ้นในอกแบบเดียวกับเขาไม่ผิดแน่
ผู้หญิงอะไรน่ารักชะมัด…
แรงกระตุ้นนั้นปลุกสัญชาตญาณสร้างแรงดึงดูดให้ทัตเลื่อนใบหน้าตัวเองเข้าไปใกล้พิมราวต้องมนตร์
พิมเห็นแล้วก็ถูกดึงดูดด้วยสิ่งเดียวกันจึงเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้เป็นภาษากายว่าไม่ได้ปฏิเสธ
ริมฝีปากของทั้งสองคนสัมผัสกันเพียงพักนึงแล้วผละออก ทั้งที่ความจริงรู้สึกว่าอยากจะได้รับสัมผัสนั้นนานอีกหน่อยแต่ก็รู้อยู่ว่าไม่ควร
“ไปกัน… ได้แล้วมั้งนะ”
“อืม…”
พิมยิ้มตอบคำเชิญชวนของทัตอย่างหวานฉ่ำ
แม้ว่าการแอบทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ มันจะเกินไปหน่อย แต่ถ้าจะให้อดทนเก็บความรู้สึกที่อยากจะใกล้ชิดกันคงยากยิ่งกว่า
กระทั่งความต้องการนั้นได้รับการเติบเต็มจนเกิดความพอใจแล้วจึงเดินต่อไปได้โดยไม่ค้างคา
…ทว่าในความเป็นจริง สัมผัสที่ติดริมฝีปากและความอบอุ่นนั้น คงมีแต่จะทำให้ทั้งสองคนปรารถนาความใกล้ชิดมากกว่าเดิมก็ตามที
❖❖❖❖❖
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินวนอยู่แถวโรงเรียนสักพักรอเวลาให้มอนสเตอร์ปรากฏตัว
ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินกลับไปเอามอไซที่หอ แต่ถ้ารวมเวลาเดินเท้ากลับไปรวมถึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลยังไงก็ไม่ทันตอนหกโมงเย็นที่มอนสเตอร์จะโผล่ออกมาอยู่ดี
การเดินทางมันค่อนข้างเสี่ยง สุดท้ายก็เลยได้ติดต่อพวกมิ้นให้ส่งสมาชิกของเซฟเวอร์ในพื้นที่ให้มารับ
เพื่อความสะดวกรวดเร็วก็ส่วนนึง แต่สาเหตุหลักคือฉันกับพิมต้องการลดเลเวลเฉลี่ยในบริเวณที่กำลังอยู่ต่างหาก
เลเวลของฉันคือ 103 ส่วนของพิมคือ 101
ถ้าหากเวลาหกโมงเย็นมาถึง มอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวขึ้นมาจะมีเลเวลอยู่ที่ประมาณ 102 ซึ่งนั่นคงจะตึงมือมากแน่ ๆ
ก็ถ้าเป็นมอนสเตอร์ทั่วไปก็อาจจะไม่น่ากังวลมากหรอก แต่ถ้าไอ้ Chivalry มันดันโผล่ออกมาอีกฉันคงต้องขอบาย
รอบที่แล้วก็ทำเอาเกือบตาย เป็นไอ้มอนสเตอร์เวรที่ไม่อยากจะเจออีกเป็นครั้งที่สองเหมือนอย่างที่ฝ้ายบอกจริง ๆ
ก็ด้วยเหตุนั้นนั่นเองเลยทำให้มีรถอพยพมารับถึงหน้าโรงเรียน
พอดีเวลากับที่ได้ช่วยพาคนทั่วไปหนีไปพร้อมกันด้วย
ผลลัพธ์สุดท้าย… ฉันกับพิมก็เลยมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องประชุมของโรงพยาบาลที่เดิม
วันนี้เป็นวันที่สบายหากเทียบกับวันที่ผ่านมา
แต่ในมุมมองของทัต สถานการณ์ภายในห้องประชุมไม่ได้น่ารื่นรมย์นัก แม้จะมีคนคุ้นหน้าอย่างฝ้าย คุณหมอนิว มิ้น คิว กิฟ เบลและลินดานั่งอยู่ในห้องนี้เหมือนครั้งแรกที่เขามาก็ตาม
ถ้าไม่นับฝ้ายกับคุณหมอนิวที่นั่งเก้าอี้ประธาน คนอื่นก็ยังนั่งฝั่งตรงข้ามของทัตกับพิมด้วยสีหน้าตึงเครียดตามเคย
เรื่องสถานการณ์มอนสเตอร์โผล่ออกมาเป็นสาเหตุหลักให้ต้องระวังตัวก็จริง แต่ที่น่ากังวลอีกเรื่องคือ ทุกคนกำลังรอการมาของ ‘หัวหน้าใหญ่’ ต่างหาก
“พอดีหนูมีเรื่องสงสัยอย่างนึงน่ะค่ะ”
เพราะเห็นว่าบรรยากาศมันมาคุ ฝ้ายเลยพยายามจะเปลี่ยนอารมณ์ทุกคนในฐานะผู้นำที่ดี
“สรุปว่าพี่ทัตกับพี่พิมคบกันแล้วจริง ๆ สินะคะเนี่ย”
ถ้าไม่นับเรื่องหัวข้อที่ฝ้ายถามล่ะก็… เห็นได้ชัดเลยว่าคำถามนี้ฝ้ายน่าจะอยากรู้เป็นการส่วนตัว
แต่จะว่าอย่างไรได้ ในเมื่อตอนนี้ทัตกับพิมกำลังนั่งติดกันบนเก้าอี้บุนวมที่นั่งได้สองคน
อันที่จริง เจ้าเก้าอี้ประเภทนี้ไม่ได้มีอยู่ในห้องประชุมเลยสักตัว แต่พิมนี่แหละที่เป็นคนไปยกมาเพื่อนั่งข้างชิดตัวติดทัตจนกลายเป็นปาท่องโก๋
เธอแสดงอาการอวดหวงหึงเสียขนาดนั้น เป็นใครก็ต้องสงสัย
ด้วยเหตุนั้น สายตาของทุกคนเลยเปลี่ยนไปหมดเพราะกลายเป็นว่ามีหัวข้อสนุก ๆ เกิดขึ้น
มิ้นกับคุณหมอนิวเริ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นหยอกแกล้ง
ทางฝ้าย คิว กิฟออกไปในทางหงุดหงิดแต่เป็นคนละสาเหตุ
ส่วนเบลกับลินดานั้นมองด้วยความสงสัยใคร่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเพื่อนตามประสาทั่วไป
“ก็ใช่แหละนะ ขอโทษที่ไม่ได้บอกนะฝ้าย”
“นั่นสิ… พี่เองก็ขอโทษนะจ๊ะ”
ทัตกับพิมสลับกันยิ้มแห้งขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่
อย่างไรก็ดี… หลังได้รับการยืนยันแล้ว
มิ้น คุณหมอนิว เบลและลินดาก็ยิ่งทำตาเป็นประกายใคร่รู้เข้าไปอีก ส่วนทางกิฟกับเบลก็ทำสายตาสาบส่งของคนโสดใส่ในทำนองที่ว่า ‘ไอ้พวกคนมีคู่น่ะโดนระเบิดตายไปซะเถอะ’ อะไรทำนองนั้น
คนที่ดูจะสงบเสงี่ยมหน่อยก็มีแต่ฝ้ายคนเดียว
“ไม่มีจังหวะบอกใช่ไหมล่ะคะ หนูเข้าใจค่ะ”
ฝ้ายยอมรับความเป็นจริงอย่างว่าง่าย แม้จะเห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มมีความเสียดายซ่อนอยู่ แต่ก็ยังเป็นรอยยิ้มประสมการอวยพรแด่พี่ชายคนสำคัญและพี่สาวคนสนิทของเธอ
แต่… ใช่ว่าฝ้ายจะยอมรับได้ทุกเรื่อง
“แต่ถ้าว่ากันตามตรง… มันก็แอบหงุดหงิดอยู่นิดหน่อยที่รู้จากมิ้นก่อนพี่ทัตนะคะ” ฝ้ายจึงเริ่มบ่นอุบทำแก้มป่อง
จิตใจหญิงสาวยากแท้หยั่งถึง ทั้งที่การได้ยินเรื่องนั้นจากปากของผู้ชายที่ตัวเองชอบน่าจะทำให้เจ็บปวดกว่าแท้ ๆ
อันที่จริงที่ทัตลำบากใจกับการบอกฝ้ายเรื่องนี้ก็เพราะกลัวจะไปทำร้ายความรู้สึกเธอด้วยนั่นแหละ
พอน้องสาวของเขาต้องการแบบนี้ เขาเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน
“ว่าแต่มิ้น… นี่เธอปากโป้งบอกไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย?” เรื่องนั้นทำเอาพิมอยู่ไม่สุขไปด้วย
แต่เป็นในแง่ความอยากรู้มากกว่าหงุดหงิด เพราะเธอต้องการให้ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นเจ้าของทัต
ส่วนทางมิ้นผู้ถูกผีเจาะปากมาพูดก็เริ่มนับนิ้วตัวเอง พิมเริ่มรู้สึกลางไม่ดีเมื่อเห็นว่าจำนวนนิ้วที่นับกินไปถึงมือสองข้าง
“เหมือนจะบอกทุกคนที่ถามเลยอ่ะ”
“เธอเนี่ยนะ”
ทัตได้ยินแล้วถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ถ้าจะมีใครที่รู้สึกเขินกับเรื่องแบบนี้ที่สุดก็มีแต่ทัตนี่แหละ
“แต่ฉันสนใจอีกเรื่องมากกว่านะ”
“เรื่องไหนอีกล่ะเนี่ย?”
มิ้นเปลี่ยนคำถามเริ่มทำทัตใจคอไม่ดีจนเผลอกลืนน้ำลาย
“ทั้งสองคนทำกันไปยังอ่ะ?”
“ถามอะไรของเธอเนี่ย! ยัยแว่นหื่น!” พิมตะโกนตกใจหน้าแดงก่ำ ถึงกับเผลอโยนแก้วน้ำปาใส่หัวมิ้นเลยทีเดียว
“เอ๋… ใจร้ายชะมัดเลย เพื่อนกันอย่าปิดบังกันจิ”
แน่นอนว่าเธอหลบได้ แต่ไอ้ท่าทางการใช้นิ้วชี้จิ้มใส่รูของมืออีกข้างประกอบการอธิบายมีแต่จะกระตุ้นให้พิมหยิบแก้วของทัตปาใส่อีกรอบ
ทัตก็ทำได้แค่ปรามบอกพิมว่า “เอาน่า ๆ” เพราะเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากประหม่าหน้าแดงตอบอะไรไม่ถูก
ไม่สิ… คนที่ทำอะไรไม่ถูกไม่ได้มีแต่คนที่ถูกถามเท่านั้น
“บะ บ้าไปแล้วเหรอ!? นี่เพิ่งคบกัน พวกเธอก็จะมีลูกกันแล้วรึไงหา!?” กิฟตะโกนเสียงหลง แต่ใบหน้าก็ดันแดงก่ำเสมือนตัวเองเป็นคนโดนถาม
คำพูดคำจาก็ดันไม่ประสีประสา คิดว่ากิจกรรมดังกล่าวมีไว้สำหรับสืบทายาทแค่อย่างเดียว ทั้งที่รูปลักษณ์เป็นนักเลงหญิงดูเจนโลกแท้ ๆ
ส่วนคิวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั้น… ก้มหน้าก้มตาเขินกับเรื่องที่ได้ยินก็เลยเงียบไปแบบเดียวกับทัตไม่มีผิด แถมยังทำทีเป็นใช้นิ้วยกแว่นแก้เขินเหมือนไม่สนใจแต่ดันเงี่ยหูฟังอยู่ตลอดอีกต่างหาก
“…ไม่เห็นต้องตกใจขนาดนั้นเลย มันก็เรื่องปกติรึเปล่า?” เบลพูดไปตามเนื้อผ้า ปฏิกิริยาดูปกติสุดแล้ว
ยิ่งถ้าเทียบกับลินดาที่ร้อง หวา ๆ ๆ! อยู่ข้างเธอไม่หยุด
ไม่สิ… ถ้าพูดถึงคนที่กำลังประหม่าเกือบถึงขีดสุดก็ยังมีอีกคนนึง
“ถะ ถึงแบบนั้น… มันก็ไม่ควรไปถามอะไรพี่ทัตกับพี่พิมเขาอย่างนั้นไม่ใช่เหรอคะ”
อีกคนที่อาการออกก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสาวน้อยวัยแรกแย้มอย่างฝ้ายนี่แหละ
ไม่สิ… ฝ้ายที่บิดตัวไปมาเอียงอายอยู่หน้าห้องนี่แหละ ที่ดูจะทำตัวไม่ถูกที่สุดและเขินกับหัวข้อนี้ที่สุด
ถึงแบบนั้น…
“ตะ แต่ก็… คงยังไม่ได้ทำหรอก… ใช่ไหมล่ะคะ?”
ฝ้ายกลับเปรยตามองทั้งทัตและพิม ท่าทางเหมือนไม่อยากรู้แต่ออดอ้อนหาคำตอบนี้เป็นการหลอกถามของปีศาจตัวน้อยอย่างแนบเนียน
ไม่รู้ว่าเธอตั้งใจแบบนั้นหรือหลุดพูดใจจริงออกมาเพราะกำลังประหม่า แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนกันอยู่ดี
ความสงสัยจึงพุ่งตรงมาที่ทัตกับพิมอีกครั้ง
“จะไปทำได้ไง… พวกพี่เพิ่งคบกันวันเดียวเองนะ”
เสียงถอนหายใจออกมาจากทัตทำทุกคนแสดงสีหน้าผิดหวังโดยเฉพาะมิ้นกับคุณหมอนิว
ถึงทางฝ้ายจะทำสีหน้าโล่งใจออกมาก็เถอะ
“เฮ้อ! ก็ว่าแล้ว ทุกคนน่ะกระโตกกระตากซะยกใหญ่เกินเหตุ” คิวสะบัดหน้าไปมาประหนึ่งคิดไว้แล้ว
“ปากดีชะมัด ทั้งที่ก็อยากรู้เหมือนกันแท้ ๆ”
“หนวกหูน่ากิฟ! เธอเองก็พอกันนั่นแหละ!”
ถูกจี้จุด คิวก็หน้าแดงขึ้นมา เขากับกิฟเลยเริ่มประชันหน้าชนกันไปอีกยกตามประสา
เห็นความเป็นเด็กของทั้งสองแล้ว เบลก็ถึงกับกุมขมับ
“ก่อนจะพูดเรื่องทำหรือไม่ทำ น่าจะพูดเรื่องสมควรถามหรือไม่สมควรถามมากกว่าไหม” เบลเป็นคนเดียวที่พูดอย่างมีเหตุผล เช่นเดียวกับลินดาที่พยักหน้าอยู่ข้าง ๆ อย่างเขิน ๆ ไม่หาย
“หุหุ… แต่นี่เห็นเลยนะเนี่ยว่าความรู้สุขศึกษาของทุกคนเป็นยังไง”
แตกต่างจากคุณหมอนิว เธอยังให้ความสนใจในเรื่องนั้นไม่เลิก
ไม่ว่าจะพูดด้วยความเป็นห่วงของผู้ใหญ่หรือความสนอกสนใจส่วนตัวก็ตาม
“คุณหมอนิวก็เอากับเขาด้วยเหรอคะ?” พิมยิ้มแห้ง เธอเริ่มตระหนักแล้วว่าบางอย่างถ้าได้รับความสนใจมากไปก็ไม่ใช่เรื่องดีจริง ๆ
“ก็มันน่าสนุกดีนี่นา แหม”
คุณหมอนิวเห็นท่าทางเขินอายยิ่งยิ้มร่าเสมือนความซาดิสม์ในตัวตื่นขึ้น พิมน่าจะเข้าใจแล้วว่าตอนที่ทัตโดนหยอกนั้นรู้สึกยังไง
แถมเรื่องยังไม่จบแค่คุยกับพิม แต่คุณหมอนิวยังหันไปสบตาทัตด้วยอีกคน
“ยังไงถ้าจะทำก็อย่าลืมป้องกันด้วยล่ะ รู้ไหมจ๊ะ”
“เราคุยเรื่องอื่นกันเถอะครับ ขอร้อง”
ทัตถึงกับกุมขมับ พิมเองก็ยิ่งขมวดคิ้วยิ้มแหยกลบเกลื่อน เห็นชัดแล้วว่าเรื่องส่วนตัวควรจะเป็นเรื่องส่วนตัวและไม่ควรจะอวดจริง ๆ
ทัตเองก็หวังว่าพิมจะเข้าใจเรื่องนั้น เพราะเดิมทีเขาก็เป็นประเภทที่ไม่อยากให้ใครมายุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวเลยหลีกเลี่ยงการโอ้อวดอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี… คงไม่เป็นธรรมเท่าไรหากบอกว่าการพูดเรื่องนี้มีแต่ข้อเสีย
เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าพอหยิบยกประเด็นที่คนในกลุ่มสนใจขึ้นมาพูด มันก็ทำให้เห็นเลยว่าทุกคนไว้ใจและสนิทสนมกับทัตและพิมมากขึ้นจริง
ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์และสหายร่วมสนามรบแล้ว เรื่องนี้นับเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และควรจะพัฒนา ซึ่งก็เห็นอยู่ว่ากำลังไปได้ดีทีเดียว
แต่ถ้าไม่หาเรื่องอื่นคุยอย่างที่เปรยไปก่อนหน้านี้ ทุกคนก็คงจะกลับมาคุยเรื่องนี้อีกจนไม่ไปไหนแน่
“แล้วนี่จะว่าไป… พวกนายเคยเจอหัวหน้าใหญ่มาก่อนไหม?” ทัตเลยถือโอกาสหันไปถามคิวกับกิฟเรื่องสำคัญของคืนนี้
ด้วยหัวข้อที่จริงจังทั้งสองคนเลยมองหน้ากัน แต่แล้วก็หันมาขมวดคิ้วให้ทัตแทบจะทันที
“จะเอาที่ไหนไปเคยล่ะครับ”
“จะไปเคยได้ยังไงกันวะคะ”
“ฉันผิดเองแหละที่ถาม”
ทัตถอนหายใจ รู้สึกเลยว่าถามผิดคนผิดตำแหน่ง แต่ยังไงการถามเรื่องนี้ไล่จากตำแหน่งในองค์กรมันก็ทำให้เห็นว่าหัวหน้าใหญ่เป็นคนแบบไหนและมีวิธีการสื่อสารยังไง
สายตาของเขาเลยหันไปหาเบลกับลินดาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วย
“ฉันก็ไม่เคยหรอกนะ”
“เหมือนกันค่ะ”
ทั้งสองคนตอบเสียงเบา ทางเบลน่าจะเป็นน้ำเสียงปกติของเธอ แต่ลินดานั้นดูเหมือนจะรู้สึกผิดไม่น้อยที่ให้ข้อมูลตรงนั้นไม่ได้
งี้นี่เอง… ไม่ติดต่อกับระดับรองหัวหน้าหน่วยหลักเลยสินะ
ทัตได้ข้อมูลตรงนั้น
ส่วนข้อมูลที่เหลือที่ต้องยืนยันทำให้หันไปมองฝ้ายผู้เป็นหัวหน้าหน่วยหลักเป็นคนสุดท้าย
“ฝ้ายก็ไม่เคยเหรอ?”
“เคยคุยกันแบบไม่เห็นหน้าน่ะค่ะ และคิดว่าหนนี้ก็น่าจะอีหรอบเดิมด้วย”
“แบบไม่เห็นหน้าเหรอ?”
คำตอบทำเอาสับสนจนต้องถามอีกรอบ เพราะนั่นหมายความว่าไม่มีใครรู้จักตัวจริงของหัวหน้าใหญ่คนนั้น
“ใช่ค่ะ———”
ก๊อก! ก๊อก!
แต่ในตอนที่ฝ้ายกำลังจะตอบคำถามเพิ่มเติม เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาพอดี
“หัวหน้าครับ มีคนมาขอเข้าพบครับ” ลูกน้องคนนึงเปิดประตูแจ้ง ดูเหมือนข้อสงสัยกำลังจะได้รับการแถลงไขด้วยตาของทัตเองแล้ว
แต่อย่างไรก็ดี… พอมีช่องว่างของประตูให้แทรกตัวเข้ามาได้ แขกคนที่ว่าก็เดินเข้ามาก่อนจะได้รับอนุญาตเสียอีก
“ดะ เดี๋ยวก่อนสิ!”
“ไม่เป็นไรค่ะ ให้เข้ามาได้เลย”
จังหวะชุลมุนทำลูกน้องชายสับสน แต่ฝ้ายก็ปล่อยผ่านเพราะรู้เจตนา
ทางแขกรับเชิญเข้ามาจากประตูด้านหลังของจุดที่ทัตกับพิมนั่งทำให้มองไม่เห็นในทันทีเหมือนกับคนอื่น ๆ