ชลธีเรียกชื่อมุกดา มุกดาเองก็ส่งเสียงตอบรับกลับมา ทว่าไม่ได้หันมามองเขาเลย
เมื่อเห็นว่ามุกดายุ่งจนไม่สนใจตัวเอง ชลธีเลยเดินเข้าไปหา พร้อมทั้งโอบกอดบริเวณไหล่ของมุกดา และซุกไซ้บริเวณลำคอของเธอไปด้วย
“มุกครับ ผมไม่ได้ออกจากการจำศีลมานานมากแล้วนะ” ชลธีพูดจาออดอ้อน อายุก็28ปีเข้าไปแล้ว ชลธีรู้สึกตัวเองก็อ้อนเป็นกับเขาด้วย
“ค่ะ” มุกดาส่งเสียงตอบรับแบบไม่ใส่ใจ เพราะว่าเธอกำลังอ่านเอกสารฉบับนั้นอยู่ ในหัวสมองกำลังคิดว่าจะจัดการอย่างไรดี ชลธีพูดว่าอะไรแทบไม่เข้าหูเธอเลยสักนิด
ช่างเถอะ เมียก็ลำบากมากเกินไปแล้ว ตัวเองนี่แหละที่ขี้เกียจเองแล้วเอาเรื่องตั้งมากมายโยนไปให้มุกดาจัดการ รอจนเธอจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว กลับบ้านไปค่อยพูดใหม่แล้วกัน
ตอนที่ชลธีกำลังว่างจนไม่มีอะไรทำอยู่นั้น โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา เขาชำเลืองมองก็เห็นว่าคุณปู่เป็นคนโทรศัพท์เข้ามา พลันนั่งลงหลังตรงทันที และรับโทรศัพท์ของคุณปู่
“สวัสดีคุณปู่ คุณปู่มีธุระอะไรหรือครับ?” ชลธีเคารพยำเกรงนายท่านใหญ่สุวรรณเลิศมาก
“อ้อ ครับ ครับ ผมต้องถามมุกก่อน คุณปู่รอสักครู่นะครับ รอเดี๋ยวนะครับ” ชลธีป้องตรงปากพูดของโทรศัพท์เอาไว้ จากนั้นเขาก็ถามมุกดา
“มุกครับ วันนี้คุณปู่ให้พวกเราไปกินข้าวเย็นที่คฤหาสน์”
“อื้อ ไม่ไปค่ะ” จิตใต้สำนึกของมุกดาปฏิเสธทันที เธอไม่อยากกลับไปที่คฤหาสน์
“ไม่ไปนะ งั้นผมจะบอกกับคุณปู่แล้วนะ” ชลธีจงใจเปล่งเสียงยืดเยื้อตอนที่พูดกับมุกดา
มุกดาหันกลับมามองชลธีที่ในมือยังถือโทรศัพท์อยู่ พลันคิดถึงครั้งที่แล้วที่คุณปู่ไปเยี่ยมตนเอง แถมยังดีกับตนเอง จนเธอเองทนไม่ไหว
“อย่านะ อย่าเพิ่งพูด งั้นพวกเรากลับไปเยี่ยมท่านกันเถอะ” มุกดาคิดดีแล้ว และตัดสินใจในการกลับไปเยี่ยมท่านหน่อย ก่อนหน้านี้ที่เธอไม่อยากกลับไป ก็เป็นเพราะว่าสัญญาการแต่งงานกับชลธี มันมีเวลาแค่สองปี
ทว่าตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ทั้งสองคนตัดสินใจแล้ว ว่าจะเคียงข้างกันไปตลอดชีวิต คนในครอบครัวของชลธียังไงเสียเธอก็ต้องไปพบอยู่แล้ว
ชลธีแอบยิ้มอยู่ เขารู้ว่ามุกดาเป็นคนที่มีจิตใจดีต้องรับยอมตกลงแน่นอน เขาเลยเอามือลง เพื่อที่จะคุยกับนายท่านใหญ่สุวรรณเลิศ “ตกลงครับ ครับ คืนนี้พวกเราจะกลับไปกินข้าวเย็นครับ”
เมื่อวางสายแล้ว อารมณ์ของชลธีก็ดีมากถึงมากที่สุด มุกดาช่างเป็นคนดีจริงๆ คิดรอบคอบได้ทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องทำให้ตนเองต้องเหนื่อยหน่ายตามเลย ภรรยาแบบนี้ต้องถือว่าได้สมบัติล้ำค่ามาแล้ว
“นี่คุณภรรยายังจะซื้ออีกเหรอเนี่ย?” ชลธีจะถือของไม่ไหวอยู่แล้ว ในมือของมุกดาเองก็ถือของไว้เยอะแยะเช่นเดียวกัน นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกในการไปคฤหาสน์ตระกูลสุวรรณเลิศ มุกดาตื่นเต้นมาก ดังนั้นเธอเลยซื้อของเยอะแยะไปด้วย
“เอ่อ งั้นไม่ซื้อแล้ว” มุกดาชำเลืองมอง เหมือนว่าซื้อของขวัญให้ครบทุกคนแล้ว ตระกูลสุวรรณเลิศมีคนเยอะแยะ เมื่อได้ยินชลธีพูดถึงแล้ว เธอเลยเตรียมซื้อของขวัญให้กับทุกคนคนละหนึ่งชิ้น ตอนแรกก็ไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าคนในตระกูลสุวรรณเลิศช่างมากมายหลายคนจริงๆ เลย
เมื่อเอาของมาเก็บที่รถแล้ว มุกดาเพิ่งรู้ตัวว่ามือของตนเองใกล้จะหลุดอยู่แล้ว โชคดีที่ชลธีช่วยถือของหนักๆ ไว้ให้ ไม่งั้นมือข้างนี้ก็ต้องหลุดเป็นแน่
“หนูมุก ทำไมกว่าจะมาถึงที่นี่ต้องใช้เวลานานจังเลย?” นายท่านใหญ่สุวรรณเลิศถือไม้เท้าอยู่ เพราะว่ายืนรออยู่ตรงประตูนานแล้ว เมื่อเขาได้ยินชลธีพูดว่าวันนี้พวกเขาจะกลับมา จากนั้นก็ตื่นเต้นจนนั่งไม่อยู่กับที่ เอาแต่มองเวลาเลิกงาน พูดอยู่ตลอดว่าจะไปดูที่ประตูอยู่นั่นแหละ
“คุณปู่ครับ ทำให้คุณรอนานเลย พวกเราเข้าไปในบ้านเถอะ” ชลธีให้คนเอาของขวัญขนเข้ามา ส่วนเขากับมุกดาก็ประคองชายชราเข้ามาในตัวบ้าน
ชายชราเอาแต่บ่นงึมงำอยู่ตลอด พูดว่ากลับมาก็เย็นมาก จนทำให้หนูมุกหิวข้าวจะแย่อยู่แล้ว
เมื่อเดินเข้ามาในบ้าน คนในตระกูลทั้งหมดต่างนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารบนที่นั่งสองข้างซ้ายขวากันอย่างพร้อมหน้า พร้อมทั้งจับจ้องมุกดาอยู่ตลอด
นอกจากโธรณีกับนีรชาที่อยู่ตรงนั้นแล้ว คนอื่นมุกดาไม่รู้จักเลย
“เข้ามานั่ง นั่งลงเร็ว!” นีรชาก็รีบเข้ามาประคองให้นายท่านใหญ่สุวรรณเลิศมาที่นั่งตำแหน่งเก้าอี้ทันที เพื่อให้ลูกชายกับลูกสะใภ้ของตนเองได้นั่งลง
วันนี้เป็นวันแรกที่มุกดามาที่ตระกูลสุวรรณเลิศ นายท่านใหญ่สุวรรณเลิศเลยเรียกทุกคนในตระกูลมาพร้อมหน้าพร้อมตา ที่ยังขาดอยู่จากตรงนี้ ก็มีแค่ชุติภาสพ่อของชลธีเท่านั้นเอง เพราะตอนนี้เขากำลังดูแลย่าของชลธีที่รักษาอาการป่วยอยู่ต่างประเทศ ยังไม่ได้กลับมา
เมื่อมุกดานั่งลงแล้ว ทว่ามีความรู้สึกจากสายตาที่มีความหมายไม่เหมือนกัน กำลังวิเคราะห์เธออย่างมากมาย มีทั้งดูถูกดูแคลนเป็นศัตรูก็มี
ตอนที่มุกดาเงยหน้าและพยักหน้าแสดงความเคารพแก่ทุกคนนั้น กลับรู้สึกว่าแววตาในเวลานั้นเปลี่ยนเป็นธรรมดาไปแทนแล้ว
“วันนี้สะใภ้ของชลหนูมุกดาได้มาที่ตระกูลสุวรรณเลิศเป็นครั้งแรก ต่อไปต้องย้ายกลับมาอยู่ด้วย คนในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุข ฉันชอบที่สุดแล้ว ต่อไปคนในครอบครัวต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หนูมุกเป็นเด็กที่มีจิตใจดีคนหนึ่ง พวกแกทุกคนต้องช่วยเหลือให้เยอะๆ ด้วย”
นายท่านใหญ่สุวรรณเลิศออกคำสั่งให้กับทุกคนในตระกูลที่โต๊ะทานข้าว
“เรื่องนี้แน่นอนที่สุดแล้ว คุณปู่ คุณปู่คอยพร่ำสอนให้พวกเรารักใคร่สามัคคีกลมเกลียวกันมาโดยตลอด” หญิงสาวคนหนึ่งรีบตอบทันควัน พอเธอพูดเสร็จแล้วยังต้องใจเหลือบชำเลืองมองมุกดาอยู่ ทว่าแววตานั้นไม่ได้เป็นมิตรดั่งเช่นปากที่เธอพูดออกมาเลย แถมยังแสดงความปรปักษ์อย่างชัดเจน
มุกดามองเด็กสาวคนนี้ ผมหยักศกเป็นคลื่น ใบหน้ารูปไข่เหมือนว่าจงใจแต่งหน้ามา จนทำให้ใบหน้ารูปไข่ที่สวยอยู่แล้วยิ่งงดงามขึ้นไปอีก
เธอเห็นว่ามุกดาก็มองมาที่ตนเอง จึงมีรอยยิ้มบนใบหน้าทันที
“มุก ต่อไปพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ ฉันชื่อวรรณวิมลเป็นพี่สะใภ้รองของคุณ” วรรณวิมลแสดงสีหน้าเป็นมิตร จนทำให้ธีร์ธวัชรู้สึกไม่สบายใจมาก
“พี่สะใภ้รอง” มุกดาเรียกตามการนับญาติ ทว่าในใจเธอนั้นรู้สึกไม่ดี เธอเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของวรรณวิมลมาก่อนแล้ว เธอมีศักดิ์เป็นพี่สาวของเมธพร เห็นบอกว่าไปชุบตัวมาจากเมืองนอก จากนั้นก็จ้องจะแต่งงานกับคนรวย
เรื่องนั้นทำให้เมธพรภาคภูมิใจมาโดยตลอด มักจะเอาออกมาอวดบ่อยๆ ทว่าไม่คิดเลยว่าโลกจะกลมถึงเพียงนี้ ที่แท้คนรวยที่วรรณวิมลมาแต่งงานด้วย ก็คือคุณชายรองของตระกูลสุวรรณเลิศนี่เอง
“วันนี้เจอกันเป็นครั้งแรก เป็นพี่สะใภ้แท้ๆ แต่ไม่ได้มีของล้ำค่าติดไม้ติดมือมาด้วย นี่คือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ อย่าได้ถือสาเลยนะ” วรรณวิมลเอาสิ่งของที่ตนเองได้จัดเตรียมไว้ตั้งแต่แรก ยื่นให้มุกดา
“ขอบคุณค่ะ พี่สะใภ้รอง ของขวัญชิ้นนี้ฉันส่งให้กับคุณ หวังว่าพี่สะใภ้รองจะชอบค่ะ” มุกดารับของที่ชลธียื่นมาให้ และส่งให้ถึงมือของ วรรณวิมล
คนที่นั่งอยู่ต่างส่งของขวัญให้กับมุกดา มุกดาเองก็ส่งของขวัญให้เช่นเดียวกัน ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างกลมเกลียวกัน จนทำให้ปู่ปรัณมีความสุขเปี่ยมล้น เขาเอาแต่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา เมื่อมองมายังคนรุ่นหลังของตนเอง
ในใจของปู่ปรัณเป็นคนที่รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีเดิมมาก เขาชอบการที่คนในครอบครัวอยู่ด้วยกัน การที่ลูกหลานเหลนของตนเองล้อมหน้าล้อมหลัง เขาเพลิดเพลินจนมีความสุขท่วมท้น
“โอเค ทุกคนต่างแสดงความจริงใจออกมา ตาแก่อย่างฉันคนนี้ ก็ไม่มีอะไรจะให้ งั้นก็อั่งเป่าไปคนละซองแล้วกันนะ ทุกคนต่างมีความสุข เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป” นายท่านใหญ่สุวรรณเลิศปรบมือ พ่อบ้านก็ถือถาดเข้ามา ถาดใบนั้นวางเป็นกอง ซึ่งหนักมาก
“หิวกันแล้วแหละ โดยเฉพาะหนูมุก กลางวันก็ทำงานทั้งวัน แถมยังเลยเวลามานานมากแล้ว กินข้าวกันเลย ลงมือเลย” ปู่ปรัณเป็นห่วงหลานสะใภ้จะหิวจนไส้กิ่วมาตลอด ทว่าวัฒนธรรมประเพณีในการต้อนรับคนเข้าตระกูลก็ถือว่าจำเป็นมากเช่นกัน
หลังจากได้ยินคำว่ากินข้าวได้แล้ว บรรดาคนรับใช้ต่างรุมล้อมเข้าหา ฉับพลันบนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ก็เต็มไปด้วยอาหารอันเลิศรสต่างมากมายอยู่เต็มโต๊ะ