ขณะที่วรกัญญากำลังงุนงง เธอก็ถูกคนพาเข้ามาในถ้ำแล้ว ทันทีที่เข้าไปข้างใน สายฟ้าก็พลันฟาดลงมา แล้วฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่
“คุณตามฉันมาทำไม” วรกัญญาไม่ได้หันไปดูก็รู้ว่าใครพาตัวเองเข้ามา เพราะกลิ่นที่คุ้นเคย ยังจะมีใครอีกนอกจากชลธี
“ประธานวรกัญญา ระวังคำพูดด้วย ผมตามคุณเมื่อไร ผมแค่ไล่ตามกระต่ายอยู่แถวนี้ ดังนั้นจึงได้มาถึงตรงนี้โดยบังเอิญ คุณคิดว่าผมอยากเหรอ” ชลธีคลายมือ เขาเดินเข้าไปในถ้ำ ข้างในยังคงแห้งอยู่ เพียงแต่เหมือนว่าที่นี่จะมีรังกระต่าย เพราะได้กลิ่นสาบกระต่าย
ทันทีที่วรกัญญาได้ยินคำพูดของชลธี เธอก็ไม่ได้โต้เถียงกับเขา อย่างไรเธอก็ไม่ได้อยากพูดคุยกับชลธีให้มากความนัก แค่หลบฝนอยู่ที่นี่สักพักเดี๋ยวฝนก็หยุดแล้ว ทุกคนเป็นความสัมพันธ์เชิงร่วมธุรกิจ ไม่ต้องคิดมาก
วรกัญญาหาที่นั่งแล้วนั่งลง เธอมองดูฝนที่ตกหนัก มันโหมกระหน่ำและลมแรงมาก เศษหญ้าปลิวลอยขึ้นฟ้า หากลงทุนที่นี่ อากาศมันจะแปรปรวนไปหรือเปล่า
“ประธานชลธี ฉันรู้สึกว่าการลงทุนที่นี่ สภาพอากาศมันเป็นปัญหาใหญ่ ถ้าอากาศเป็นแบบนี้ตลอด นักท่องเที่ยวจะคิดมากหรือเปล่า” วรกัญญาไม่ได้หันหน้าไปมอง เธอแค่มองดูสายฝนที่ปากถ้ำ
การพบกันครั้งล่าสุดของเธอกับชลธีก็ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับสายฝน ครั้งก่อนฝนตกหนัก ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทำไมเหมือนสวี่เซียนกับนางพญางูขาวแบบนี้นะ
“ที่นี่ฝนไม่ได้ตกหนักตามใจชอบ ในภูเขาไม่ได้มีอาคารสิ่งปลูกสร้างแบบที่เอาไว้พักพิงกำบังลมฝน อีกทั้งฝนบนภูเขาก็ตกไม่นานนัก ผมคาดว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมงมันก็หยุด และภูเขาหลังฝนเป็นทัศนียภาพที่แตกต่าง วันนี้ความโชคดีเป็นของเรา ทัศนียภาพแบบไหนก็ได้เห็นหมด” ชลธีเปิดกระเป๋าเป้สะพายหลังของตัวเอง ในเป้ของเขามีสิ่งของหลายอย่าง มีขวดและกระป๋องหลายประเภท
“ในถ้ำแห่งนี้ ถึงแม้จะแห้งแล้งมาก แต่มันจะมีพวกแมลงหรืออะไรต่างๆ ผิวของคุณถูกสิ่งเหล่านี้กระตุ้นได้ง่าย คุณมานั่งตรงนี้ ที่ปากถ้ำอากาศเย็นมาก” ชลธีวางเบาะนุ่ม ให้วรกัญญานั่งอย่างสบาย
วรกัญญาหันหน้าไปมอง เบาะหนาๆ นั่น เห็นแล้วก็อยากนั่ง ท่าทางคงสบาย แต่เธอไม่ลุกขึ้นในทันที
“ผมไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ทุกคนเป็นหุ้นส่วนออกมาด้วยกัน ผมจึงไม่อยากให้คุณป่วย กลับไปก็ยังต้องคุยเรื่องโครงการด้วยกันอีกไม่ใช่เหรอ” ชลธีสีหน้าซื่อตรง
วรกัญญาครุ่นคิด มันก็จริง ก็เป็นหุ้นส่วนกัน ไม่ได้มีความหมายอื่นแอบแฝง หากตนป่วยเรื่องครั้งนี้ก็จะต้องเลื่อนออกไป
วรกัญญาลุกขึ้น แล้วเดินไปตรงที่ที่ชลธีรองพื้นไว้อย่างดี ก่อนจะนั่งลง มันสบายมาก
“อ้ะ นี่คือน้ำร้อน ผมรู้ว่าคุณเอาน้ำแร่มา แต่เวลานี้ดื่มน้ำขิงร้อนๆ เสียหน่อย สามารถขับไล่ความหนาวเย็นได้” ชลธียื่นแก้วเก็บความร้อนให้วรกัญญา
วรกัญญาดื่มไปหนึ่งอึก ความหวานของน้ำตาลทรายแดงและรสเผ็ดของขิง ทำให้ทั่วร่างอบอุ่นขึ้นทันที
วรกัญญาเงยหน้าขึ้นเหลือบมองชลธี ผู้ชายคนนี้เป็นคนรอบคอบจริงๆ แม้แต่ของพวกนี้ก็ยังเตรียมมาพร้อม เขารู้ว่าวันนี้ฝนจะตกหรือไงนะ
“ดื่มให้หมด ที่ผมยังมีอีก” ตอนเที่ยงชลธีไม่ได้นอนเลย เพียงเพื่อเตรียมของพวกนี้ เขารู้ว่าอากาศในภูเขาเปลี่ยนแปลงบ่อย แน่นอนว่าวรกัญญาจะไม่เตรียมของพวกนี้ เขาจึงได้แต่ต้องเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพ
วรกัญญาก็ไม่เกรงใจ เธอดื่มน้ำขิงต้มน้ำตาลทรายแดงจนหมด แล้วรู้สึกสบายตัวขึ้นมาก เมื่อครู่วิ่งตามกระต่าย ค่อนข้างเหนื่อยมากจริงๆ
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ชลธีดึงผ้าห่มออกมาจากกระเป๋าเป้สะพายหลังเหมือนเป็นมายากล ก่อนจะโยนให้วรกัญญา
“คุณพักผ่อนสักหน่อยเถอะ ผมจะไปดูถ้ำข้างในว่ามีของอะไรบ้างที่พอจะจุดไฟได้ ไม่อย่างนั้นถ้าฝนตกลงมาอีกสักพักมันจะหนาวมาก” ชลธีวางกระเป๋าเป้ไว้บนพื้น เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปดูด้านหลัง
วรกัญญาฟังคำพูดของเขา นอนลงบนเบาะ เอาผ้าห่มคลุมร่างกาย ไม่สงสัยเลยว่าทำไมธินิดาถึงลุ่มหลงในตัวชลธีนัก ที่แท้ชลธีก็เป็นแบบนี้กับเธอ ชลธีคนนี้มีวิธีกับผู้หญิงจริงๆ แต่ยังดีที่ตนมีสติอยู่มาก จึงไม่หลงกลเขา
ฝนที่ตกข้างนอกชุ่มฉ่ำมาก ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย วรกัญญาอยากรู้ว่าพวกรองนายกเทศมนตรีไปหลบฝนกันที่ไหน เธอจึงโทรหารองนายกเทศมนตรี แต่ในถ้ำกลับไม่มีสัญญาณ โทรศัพท์ของเธอในเวลานี้เป็นแค่นาฬิกา ได้แค่ดูเวลา ดูแล้วก็ไม่ต้องรีบ มันเลยเวลาหกโมงเย็นแล้ว ตลอดทางที่เดินมา เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ
แม้ตอนเที่ยงจะอิ่มมาก แต่เวลานี้เริ่มหิวนิดหน่อยแล้ว เมื่อครู่วิ่งตามกระต่ายอย่างมีความสุข ใช้พลังงานมากเกินไปด้วย วรกัญญาพลิกตัว ค้นหาคุกกี้จากกระเป๋าของตัวเอง แล้วทานไปสองคำ
“อย่าทานคุกกี้เลย ผมมีข้าวและซุปร้อนๆ อยู่ และมีพวกเนื้อด้วย คุณทานก่อนได้เลย” ชลธีออกมาจากถ้ำข้างในพร้อมกับมัดฟืนและหญ้า
“ที่นี่เหมือนเป็นถ้ำที่นักล่าสัตว์มาบ่อย ผมก็คิดว่ามันเป็นรังกระต่าย ปรากฏว่าไม่ใช่ มีทั้งฟืนและหญ้า เราจุดไฟได้สะดวกมากเลย คุณก็จะได้ไม่หนาวด้วย” ชลธีวางฟืนไว้กลางถ้ำ เอาไฟแช็คออกมาจากกระเป๋า แล้วจุดไฟขึ้น
แต่วรกัญญากลับยังคงกัดคุกกี้ของตัวเอง เธอไม่ได้ไปเอาของของชลธี ชลธีจุดไฟเสร็จแล้ว เห็นว่าวรกัญญายังกัดคุกกี้ของตัวเองเช่นเดิม เขาจึงเดินเข้าไป เอาคุกกี้มายัดเข้าปากตัวเอง
“คุณมาขโมยของกินฉันทำไม” วรกัญญาเห็นคุกกี้ของตัวเองหมดแล้ว จึงถลึงตาจ้องชลธีเขม็ง
“ผมให้คุณทานอาหารในส่วนของผม แบบนี้ก็ยุติธรรมนะ” ชลธีกลืนคุกกี้ทั้งหมดเข้าไป แล้วเอากระติกเก็บความร้อนมาเปิด เทซุปร้อนออกแล้วยื่นให้วรกัญญา และก็เทให้ตัวเองชามหนึ่ง แถมยังนำพวกเนื้อออกมาวางด้วย เพื่อให้วรกัญญาทาน
“คุณบอกว่าไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็หยุดแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ยังไม่หยุดเลย” วรกัญญาชี้ไปยังฝนข้างนอก พลางตั้งคำถามกับชลธี
ชลธีเห็นวรกัญญาไม่ทานของของตัวเอง เขาจึงดื่มซุป ทานเนื้อ ไม่สนใจวรกัญญา
“ฉันถามคุณอยู่นะ คุณชลธี คุณหมายความว่ายังไงเนี่ย” วรกัญญาเห็นชลธีไม่สนใจตน จึงถามเขาอีกครั้ง
“คุณทานอะไรก่อนเถอะ ผมไม่ได้เป็นราชามังกรที่คอยดูแลฝน ผมก็ได้แค่เดา นอกจากเดาแล้วผมจะไปทำอะไรได้” ชลธีแบมือออกทำท่าว่าช่วยไม่ได้
วรกัญญาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็คือว่า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบอกว่าหยุดเมื่อไรแล้วมันก็จะหยุดเมื่อนั้น มองดูซุปที่ยังร้อนๆ กลิ่นหอมของซุปและกลิ่นเนื้อ ทำให้ท้องของวรกัญญายิ่งหิว คุกกี้ที่ลงไปเมื่อครู่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เห็นวรกัญญาหยิบเอาซุปร้อนขึ้นแล้ว ชลธีก็หรี่ตามองครู่หนึ่ง ยัยผู้หญิงหัวดื้อปากแข็ง!