“ประธานวรกัญญา ผมมีเรื่องเรื่องหนึ่งอยากจะปรึกษากับคุณ” ธีรนัยน์ช่วยวรกัญญาทำความสะอาดเสร็จแล้ว เขากลับไม่ได้ออกไปทันที
“เรื่องอะไรคะ ว่ามาเถอะค่ะ” วรกัญญากำลังเตรียมเอกสารกู้เงินอยู่ ถึงแม้ประวีร์จะลงทุนเงินเข้ามาก้อนหนึ่ง แก้ไขปัญหาเรื่องเงินของเธอไปได้เล็กน้อย แต่ว่ารีสอร์ตขนาดใหญ่นั้นไม่ใช่เงินแค่เล็กๆน้อยๆจะเอาอยู่ทั้งหมด
“คือแบบนี้ครับ ในมือของผมมีเงินว่างอยู่ก้อนหนึ่ง เดิมทีก็คิดอยากจะเอาไปลงทุนอยู่แล้ว โครงการรีสอร์ตนี้ผมก็มีส่วนร่วมในแผนงานด้วย ผมเห็นชอบมาก ผมอยากจะเอาเงินของผมมาลงทุนกับตรงนี้ครับ คุณคิดว่าอย่างไร? ให้ผมลงทุนด้วยสักหน่อยได้มั้ยครับ?” ธีรนัยน์ถามวรกัญญา
ได้ยินแบบนี้ วรกัญญาก็วางปากกาในมือลง เธอมองธีรนัยน์ รู้มาตลอดว่าฐานะทางบ้านของธีรนัยน์นั้นถือว่าไม่เลว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะดีขนาดนี้
“คุณอยากลงทุน? คุณกะว่าจะลงทุนเท่าไหร่คะ?” วรกัญญาตอนนี้ได้รู้จักธีรนัยน์ใหม่อีกครั้ง
“รีสอร์ตของเราเป็นรีสอร์ตขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง รอบๆยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมากมาย ยังมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อีก แล้วก็ค่ารื้อถอน ทั้งหมดก็หนึ่งพันล้าน ผมรู้ว่าประธานประวีร์ลงทุนหนึ่งร้อยล้าน ผมเตรียมจะทำเหมือนเขา ผมก็อยากหาเงินนิดหน่อย ให้ผมอยู่ดีกินดีน่ะครับ” ตอนที่ธีรนัยน์พูดหนึ่งร้อยล้าน ไม่ได้กะพริบตาเลยสักนิด
วรกัญญากำลังอ่านเอกสารกู้เงินจำนวนหนึ่งร้อยล้านอยู่พอดี
“ธีรนัยน์ นายบอกว่านายเตรียมลงทุนรีสอร์ตหนึ่งร้อยล้านหรอ?” วรกัญญารู้สึกตกใจเล็กน้อย
“อืม ผมตั้งใจเตรียมลงทุนหนึ่งร้อยล้านครับ” ธีรนัยน์พูดอย่างแน่วแน่
“คุณมีเงินมากขนาดนี้เลย? ฉันมองคุณไม่ออกเลยจริงๆนะคะเนี่ย!” วรกัญญาลุกขึ้นยืน เธอเดินไปข้างๆธีรนัยน์ มองธีรนัยน์ที่สูงกว่าตัวเองไปครึ่งหัว
“ผมพูดมาตลอดนะครับว่าผมมีเงินมากมาย ผมก็ไม่เคยถ่อมตัวมาก่อน” ธีรนัยน์ยังคงสีหน้าเย็นชา แต่ว่าคำพูดของเขาทำให้วรกัญญารู้สึกขำ คนคนนี้น่าสนใจจริงๆ
“คุณรู้ว่าฉันกำลังทำเอกสารกู้เงินหนึ่งร้อยล้าน คุณเลยตั้งใจเตรียมลงทุนหนึ่งร้อยล้าน คุณไม่กลัวจริงๆ หรือว่าถ้าหากลงทุนไม่ได้ เงินของคุณก็จะสูญเปล่า” วรกัญญาเตือนธีรนัยน์
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ไม่ใช่จะมีเงินแค่เท่านี้” ธีรนัยน์พูดอีกประโยคหนึ่งอีกครั้ง ทำให้วรกัญญารู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นหยกเจียระไนชิ้นหนึ่งจริงๆ
“ถ้างั้นฉันก็ไม่เข้าใจนิดหน่อยค่ะ ธีรนัยน์ ครอบครัวของคุณมีเงินมากขนาดนี้ เพราะอะไรคุณถึงยังมาทำงานที่นี่กับฉันคะ?” วรกัญญาถามธีรนัยน์ คนที่ฐานะทางบ้านดีขนาดนั้น ควรจะอยู่ทำงานในบริษัทของทางบ้าน โดยเฉพาะธีรนัยน์ที่เป็นคนที่มีความสามารถหายากคนหนึ่ง
“เพราะว่าที่บ้านไม่มีคนยอมรับ ใครต่างก็คิดว่าตัวเองเก่งกาจมาก ผมคิดว่าอยู่กับคุณ แม้ว่าจะเป็นแค่ผู้ช่วย ผมก็มีความสุขมาก เป็นพนักงานธรรมดาๆคนหนึ่ง ขอแค่มีเรื่องให้ทำ ผมก็รู้สึกมีความสุขมาก” ธีรนัยน์พูดสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองให้วรกัญญญาฟังหนึ่งรอบ
เขาตอนอยู่ในบ้าน ไม่ว่าจะทำอะไร ต่างก็มีคนนึกว่าเขามีเจตนาไม่ดีแอบแฝงอยู่ เขาเหนื่อยมาก เรียนหนังสือมามากขนาดนั้น ดูแล้วก็คงเหนื่อยเปล่า ยังดีที่มีโอกาสครั้งนี้ ติดตามวรกัญญาก็ได้เรียนรู้ไม่น้อย
“ได้ คุณก็ติดตามฉันก่อนละกัน รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม คุณค่อยกลับไป ฉันไม่กลัวที่จะสอนคุณ ถ้าคุณไม่มีพื้นที่ของตัวเองในธุรกิจของครอบครัว คุณก็มีบริษัทเป็นของตัวเองได้ ด้วยความสามารถของคุณ แค่ไม่กี่ปีคุณก็ก้าวแซงหลายบริษัทได้แล้ว” ในใจของวรกัญญายอมรับธีรนัยน์อย่างมาก ความรู้และความกล้าหาญของเขา แตกต่างจากคนอื่นมาก เป็นคนมีความสามารถที่ควรค่าแก่การฝึกฝน
“อืม ทำไมผมคิดไม่ถึงนะ ผมมีเงิน มีความสามารถ ในเมื่อพวกเขาไม่อยากให้ผมกลับไปทำธุรกิจของครอบครัว ผมก็สร้างอุตสาหกรรมที่ผมชอบได้ จากนั้นก็จัดการบริหารด้วยตัวเอง!” ธีรนัยน์เวลานี้ราวกับตื่นจากฝัน ความคิดของเขาไม่เคยเปิดกว้างมาตลอด เขายังคงคิดว่าเมื่อตัวเองโตขึ้นกว่านี้หน่อยก็กลับไปได้แล้ว แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองก็ตั้งบริษัทเองได้
“ใช่น่ะสิ ทำไมจะไม่ได้ คุณไม่ได้ขาดแคลนเงิน สร้างบริษัทของตัวเองขึ้นมาได้สบายๆ ฉันก็ช่วยคุณได้ แต่ว่าฉันขอถามหน่อย คุณชอบอะไร?” วรกัญญาถามธีรนัยน์
“ผมก็ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ ผมกลับไปคิดให้ดีๆก่อนนะครับ รอผมคิดออกแล้ว ผมจะมาบอกคุณละกัน แต่ว่าครั้งนี้ผมขอลงทุนรีสอร์ตก่อน ผมชอบโครงการนี้มาก”ธีรนัยน์พูดกับวรกัญญา
“ถ้างั้นก็ได้ ในเมื่อคุณยืนยัน ฉันก็จะยอมรับการลงทุนของคุณ เราค่อยมาคุยรายละเอียดกัน แล้วก็ดำเนินการ เงินปันผลของคุณเท่ากับประวีร์ ตอนบ่ายมาเซ็นสัญญาร่วมงานกัน คุณยังมีเวลาช่วงกลางวันให้คิดพิจารณาดู” วรกัญญาก็เป็นคนที่มีความสุขเช่นกัน เธอเห็นชอบกับการลงทุนของตัวเองมาก แม้ว่าจะต้องใช้เงินเยอะมาก แต่ว่าผลกำไรก็เป็นเรื่องจริง
“ไม่มีอะไรต้องคิดพิจารณา วันนั้นตั้งแต่ที่ผมแก้ไขข้อเสนอแผนงานผมก็คิดถึงปัญหานี้ไว้แล้ว ผมแค่กลัวว่าประธานวรกัญญาคุณจะไม่เห็นด้วย ตอนนี้ยังไงคุณก็จะต้องไปกู้เงินแล้ว ผมเลยลองพูดขึ้นมาดู” ธีรนัยน์พึ่งนึกขึ้นมาได้ว่า ตัวเองยังไม่ได้ชงชาให้วรกัญญา
“ผมยังไม่ได้ชงชาให้คุณ ผมไปเดี๋ยวนี้แหละครับ” ธีรนัยน์ก็รีบขอตัวออกไป
วรกัญญาเก็บเอกสารกู้เงินของตัวเอง เธอรู้สึกว่าธีรนัยน์คนนี้มีเรื่องราวมากจริงๆ จึงตัดสินใจให้คนไปตรวจสอบเขา
ตอนบ่ายธีรนัยน์เซ็นสัญญาอย่างมีความสุขมาก เงินก้อนนั้นหลังจากที่เว็นเสร็จแล้ว ก็โอนเข้าบัญชีของโจนส์กรุ๊ปเรียบร้อย
วรกัญญาตอนนี้มีเงินทุนเพียงพอแล้ว เธอก็ไม่ได้กังวลอีกต่อไป
“พี่ นี่เป็นมังคุดที่ผมพึ่งซื้อมา ผลไม้ที่พี่ชอบที่สุด ผมเลยเอามาให้พี่” ณฐวรถือตะกร้ามังคุดสดขึ้นมาชั้นบน มาที่ห้องทำงานของวรกัญญา
“ว้าว จิตรกรแบบนายยังใส่ใจมากขนาดนี้ ยังจำได้ว่าฉันชอบกินผลไม้ นายไปซื้อผลไม้คงไม่ได้ถูกคนหลอกอีกแล้วใช่มั้ย?” วรกัญญามองดูมังคุดนั้นสดมากจริงๆ
“อันนี้ผมก็ไม่รู้สิ ผมถามราคา เขาพูดมาเยอะแยะผมก็ซื้อเลย ลืมไปเลยว่าต้องต่อรองราคา” ณฐวรเกาหัว ในหัวของเขาไม่เคยมีความคิดที่จะต่อรองราคา
“ถ้างั้นมังคุดนี้ของนายครึ่งโลราคาเท่าไหร่?” วรกัญญาหยิบขึ้นมาปอกลูกหนึ่ง กินเข้าไปคำหนึ่ง หวานใช้ได้
“ห้าสิบ” ณฐวรพูดราคาออกมา เกือบจะทำให้วรกัญญาสำลัก
เธอมองณฐวรที่สวมแบรนด์เนมทั้งตัว บวกกับท่าทางไร้กังวลของณฐวรอีก ถ้าไม่รู้จักคนที่หลอกเขา คาดว่าคงจะไม่รู้ว่าควรจะซื่อสัตย์แค่ไหน
“เป็นไงครับ แพงมั้ย?” ณฐวรถามอย่างตื่นเต้น เขาไม่ค่อยได้ซื้อของ ปกติซื้อแต่ของที่กำหนดราคาแน่นอนในซูเปอร์มาร์เก็ต วันนี้เห็นรถคันหนึ่งเข็นมังคุดพวกนี้เห็นแล้วไม่เลว ดังนั้นเขาเลยซื้อมา
“อันนี้จะว่าไงดีล่ะ? อาจจะเพราะของไม่เหมือนกันละมั้ง ถ้าพวกเราไปซื้อ ก็คือเอาราคาของนายกลับด้านก็พอแล้ว” วรกัญญาก็บอกราคาที่แท้จริงกับณฐวร