“นั่นไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ฉัน พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง มันต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ ไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ฉันจริงๆ !” วรรณวิมลส่ายหัวไปมา เธอไม่ยอมรับว่าคนคนนั้นคือเธอ
“คุณคิดว่าคนเหล่านี้ตาบอดหรือไง? ถ้าไม่ใช่คุณ แล้วนั่นใคร” ทนายของมุกดาเริ่มยกตนข่มท่าน
หลังจากที่ทนายของวรรณวิมลดูวิดีโอเสร็จ เขาก็คิดอยู่เป็นเวลานานไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอะไรดี เขาตะลึงกับเหตุการณ์กะทันหันนี้อย่างมาก ไหนบอกว่าไม่มีหลักฐานอะไรทั้งนั้นไง?
“คนในวิดีโอนี้อาจจะมีคนปลอมตัวเป็นเธอ หรืออาจจะถูกตัดต่อออกมาก็ได้ ผมคิดว่าวิดีโอนี้มีปัญหาครับ” ในที่สุดทนายของวรรณวิมลก็พบข้อบกพร่องเล็กน้อย ในตอนนั้นลูกค้าของเธอบอกด้วยน้ำเสียงอย่างมุ่งมั่นกับเธอ ฉะนั้นเรื่องนี้ก็อาจเป็นวิดีโอปลอมก็ได้
“นำไปตรวจสอบดู” ผู้พิพากษาพูดกับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็รับวิดีโอนั้นไปและได้นำเข้าไปตรวจสอบ
“ใช่ ใช่ นั่นเป็นวิดีโอปลอม พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะใส่ร้ายฉันให้ได้ ฉันจะไม่ทำเรื่องอะไรแบบนั้นแน่นอน ผู้พิพากษาคะ คุณต้องให้พวกเขาตรวจสอบดีๆ คืนความบริสุทธิ์ให้ข้าพเจ้า” วรรณวิมลก็เริ่มร้องไห้กับที่ตนเอง การที่เธอเป็นแบบนี้ ทำให้ทุกคนเกิดข้อสงสัยขึ้นเล็กน้อย ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างมากและการปลอมแปลงวิดีโอใช่ว่าจะไม่มี
“ไม่เป็นไรครับ เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาจำสถานการณ์ในตอนนั้นไม่ได้ ทุกคนก็เห็นเหตุการณ์ในวิดีโอแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาบอกว่าเขาถูกใส่ร้าย นั้นเรารอผลการตรวจสอบจากหน่วยงานมืออาชีพดีกว่านะครับ” ทนายของมุกดาพูดกับทุกคน
“คุณเป็นใคร ทำไมถึงมีหลักฐาน” ผู้พิพากษาถามคนที่มา
ผู้มายืนอยู่บนตำแหน่งพยาน เขามองไปที่วรรณวิมลแล้วก็มองไปที่มุกดา เขากระแอมในลำคอสักพัก และเริ่มพูดถึงว่าเขาเป็นใคร
“ผมเป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนอนุบาลนั้น ผมเป็นทั้งพยานและผู้สมรู้ร่วมคิด ผมมามอบตัวครับ” ชายคนนั้นพูดด้วยความรู้สึกผิด และเหลือบมองไปทางชลธี
เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายคนนั้นพูด คนในห้องโถงก็ดุเดือดขึ้นอีกครั้ง การตัดสินคดีของวันนี้เป็นจุดไคลแม็กซ์จริงๆ และมักมีผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอ
“ถ้าอย่างนั้นคุณลองเล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น” ผู้พิพากษาให้ชายคนนั้นเล่าเรื่องเหตุผลที่เขายอมมอบตัว
“ท่านผู้พิพากษาครับ วันนั้นผู้หญิงคนนี้มาหาผม เธอบอกผมว่าให้ผมช่วยเธอทำงานหนึ่งงาน เธอก็จะให้เงินก้อนใหญ่เป็นค่าตอบแทน ลูกของผมป่วยเป็นโรคพอดี ต้องการเงินเพื่อไปโรงพยาบาล เธอบอกแค่ไปทุบตีเด็กคนหนึ่ง เด็กคนนั้นมักรังแกลูกของเธอ
ผมคิดว่าแค่ทุบตีสักสองสามครั้ง ถือว่าเป็นการสั่งสอน คงไม่เป็นอะไรมาก ผมเลยรับเงิน เธอยังสั่งให้ผมปิดกล้องวงจรทั้งหมดทิ้ง ผมก็ทำตามที่เธอบอก แต่ผมรู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างผิดปกติ ผมจึงแอบซ่อนกล้องถ่ายไว้
หลังจากที่ก่อเหตุเสร็จ ผมเห็นเด็กเลือดออกเยอะมาก ผมก็กลัว ผมเองก็มีลูกเหมือนกัน ดังนั้นหลังจากที่เธอเดินจากไป ผมก็ไปรายงานที่บ้านประธานชลธี
ผมเองที่เป็นคนนำเด็กไปโรงพยาบาล” ผู้อำนวยการโรงเรียนพูดจบ รู้สึกผิดอย่างมาก
หลังจากที่ผู้อำนวยการโรงเรียนพูดจบ ทุกคนก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง แต่คราวนี้ วรรณวิมลตะโกนขึ้นว่า “เขาโกหก เขาโกหก ฉันไม่เคยไปหาเขาเลย แต่เขายอมรับแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังเป็นเขาเองที่ทำ
หลังจากที่วรรณวิมลพูดจบ โดนทนายเตะสะกิดไปทีหนึ่ง เธอจึงรู้ตัวว่าความใจร้อนของเธอนั้นทำให้ตัวเธอเปิดโปงแล้ว
“แล้วสิ่งที่คุณหมายถึงก็คือ คุณไม่ได้เป็นคนติดต่อตั้งแต่แรก หลังจากนั้นคุณเป็นคนทำร้ายเด็ก แล้วใครล่ะเป็นคนยุยงให้คุณไป?” ทนายของมุกดาจับผิดได้และจะไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ แน่นอน
วรรณวิมลไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอะไรต่ออีก ทนายของเธอส่ายหัวไปมาเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ ไอ้ผู้หญิงโง่ คำพูดประโยคหนึ่งของคนอื่น ก็สามารถหลอกล่อเธอได้สำเร็จ เธอไม่มีทางรอดแล้ว
“ท่านผู้พิพากษาครับ ทางเราได้ตรวจสอบแล้วว่าวิดีโอนี้เป็นของจริงครับ ไม่มีการตัดต่อใดๆ อะไรทั้งสิ้นเลยครับ ” เจ้าหน้าที่นำเอกสารออกมาบอกกับผู้พิพากษาในขณะนี้
“ท่านผู้พิพากษาคะ ท่านผู้พิพากษาคะ เมื่อกี้ข้าพเจ้าเวียนหัว ข้าพเจ้าเลยพูดไปมั่ว” วรรณวิมลรีบแก้ตัวให้ตนเอง
แต่ ณ เวลานี้ไม่มีใครเชื่อเธอแล้ว ทนายของเธอเองก็ไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าจะได้เงินมากแค่ไหน เขาก็ไม่มีปัญญาที่จะได้รับแล้ว
“เอาล่ะ ทุกคนเงียบก่อน จากการเจรจาของคณะลูกขุน วรรณวิมลถูกพบว่ามีความผิดฐานฆาตกรรมโดยเจตนา ถูกตัดสินจำคุก……” ผู้พิพากษารับความเห็นของคณะลูกขุน ได้เริ่มประกาศข้อหาต่างๆ และผลสรุปทั้งหมดของวรรณวิมล
ส่วนวรรณวิมลโวยวายเสียงดังไม่หยุด ยืนยันว่าถูกใส่ร้าย ผู้อำนวยการโรงเรียนก็ถูกควบคุมตัวแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แต่เขายอมมอบตัว และได้มีส่วนช่วยให้จับคนร้ายได้ เขาถูกตัดสินจำคุกเพียงแค่หนึ่งปี ได้ดำเนินการไถ่โทษหนึ่งปี
ตอนนี้วรรณวิมลบ้าคลั่งไปแล้ว เธอไม่อยากติดคุก เธออยากใช้ชีวิตแบบคุณหนู ใส่เสื้อผ้าที่สวยๆ เพลิดเพลินกับการใช้ชีวิต ไอ้คุกผีนั้น เธอไม่อยากเข้าไป เธอไม่อยากเข้าไป
“ฉันถูกใส่ร้าย ฉันถูกใส่ร้าย ” ในขณะที่วรรณวิมลถูกควบคุมตัว เธอก็ยังตะโกนเสียงดังไม่หยุด
แต่ไม่มีใครฟังเสียงร้องของเธอเลย เรื่องก็มาถึงจุดนี้แล้ว เธอก็ยังโวยวายว่าถูกใส่ร้าย ซึ่งมันน่ารำคาญจริงๆ
มุกดามองดูวรรณวิมลที่ถูกควบคุมตัว แต่ใจของเธอยังไม่โล่งอกอยู่ดี วรรณวิมลไม่ได้สารภาพคนที่ยุยงเธอ แต่ก็ไม่เป็นไร เธอก็จะมีวิธีที่จะทำให้วรรณวิมลทนไม่ไหวที่จะสารภาพออกมา
วรรณวิมลถูกขังอยู่ในพื้นที่ของอาชญากรร้ายแรง และเธอเองก็หยุดเสียงดังแล้ว เสียงดังไปก็ไม่มีประโยชน์ เธอคิดว่าธินิดาจะมาช่วยเธอ เธอแค่รออยู่ตรงนี้ให้ดีๆ ก็พอแล้ว
“กินข้าวแล้ว กินข้าวแล้ว ” ผู้คุมเรียกนักโทษให้กินข้าว ท้องของวรรณวิมลหิวตั้งนานแล้ว เธอมองดูทุกคนที่ลุกขึ้นเพื่อเตรียมออกจากห้องขัง เธอเองก็เดินตามไป
“เธอเพิ่งมาใหม่เหรอ” หญิงสวยคนหนึ่งหันหัวมาถามวรรณวิมล
“ใช่!” วรรณวิมลมองไปที่ผู้หญิง เธอรู้สึกรำคาญมาก คนพวกนี้เป็นผู้หญิงอะไรกันแน่? เธอเป็นถึงคุณนายวรรณวิมลของตระกูลสุวรรณเลิศ เธอมีตัวตนที่สูงมาก
“อืม ฉันได้ยินมาว่าคุณเป็นถึงคุณนายของตระกูลสุวรรณเลิศ แต่ทำไมเธอถึงเข้ามาที่นี้? ผู้ชายของคุณไม่ดูแลคุณเลยหรือ” หญิงสวยถามวรรณวิมลอีกครั้ง ดูเหมือนเธอไม่ถือสาท่าทีของ วรรณวิมลสักเท่าไหร่
“เธอไม่รู้เรื่องของคนรวยหรอก เธออย่าถามเยอะ!” แน่นอนว่าวรรณวิมลจะไม่มีทางพูดว่าสามีของเธอนั้นไปกับมือที่สาม และเธอก็เป็นผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้ง
“ฮิฮิฮิ ฉันไม่เข้าใจเรื่องของคนรวยจริงๆ ” หญิงสวยหัวเราะขึ้นมา และเธอก็ดูดีมากเมื่อเธอหัวเราะ ทำให้วรรณวิมลอิจฉามาก!