ตอนที่เหล่านักโทษกำลังดูการแสดงอยู่ จู่ๆก็มืดสนิท ทำให้เหล่านักโทษตื่นตระหนกตกใจ แต่ทว่าอย่างรวดเร็วก็มีแสงไฟสาดไปบนร่างกายของพิธีกร
“วันนี้ มีบุคคลที่สำคัญมากๆคนหนึ่งมาเยี่ยมพวกเรา ทั้งยังนำของขวัญมากมายมาให้พวกเราอีกด้วย ขอเสียงปรบมืออันอบอุ่นของพวกเราที่นี่เพื่อต้อนรับประธานของบริษัทฮอนดากรุ๊ป ประธานชลธี!” ตอนที่พิธีกรพูดอย่างนี้ออกมา มุกดาก็ตะลึงงันไปเลย นี่เป็นวิธีที่เขามาเยี่ยมตนเองประเภทหนึ่งใช่ไหม?
เหล่านักโทษแค่ได้ยินว่ามีของขวัญ จึงพากันปรบมืออย่างเต็มที่ นานมากแล้วที่ไม่ได้รับของขวัญเลย ประธานที่มอบของขวัญให้ก็คือประธานที่ดี ในใจของนักโทษคิดกันอย่างนี้
ชลธีสวมสูทสีดำทั้งชุด เข้ากันกับเสื้อเชิ้ตสีชมพูด้านใน ทั้งร่างกายมองดูแล้วทำให้คนที่เห็นตาลายไปหมด
เหล่านักโทษหญิงที่ด้านล่างพากันฮือฮาขึ้นมาเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้ดูดีกว่าวัยรุ่นพวกนั้นที่อยู่ข้างหน้าเยอะเลย ถ้าใครได้รับความโปรดปรานจากเขา ไม่รู้ว่าจะวาสนาดีไปอีกกี่ชาติกัน
“สวัสดีครับทุกคน ผมเป็นประธานของบริษัทฮอนดากรุ๊ป ผมชื่อชลธี วันนี้ที่ผมจัดการแสดง ก็เพื่อให้ทุกคนในช่วงวันปีใหม่ มีการเริ่มต้นที่ดี การเข้าคุกไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัว เพียงแค่พวกเราเปลี่ยนแปลงตนเองให้เต็มที่ ก็จะเป็นการต่อสู้เพื่อให้ตนเองได้ออกไปในเร็ววัน จะได้เจอกับพ่อแม่ที่อายุมากแล้วของพวกเรากับคนรักของตนเองที่กำลังรอคอยอยู่เสมอ” คำพูดของชลธีมีแรงโน้มน้าวอย่างมาก เหล่านักโทษได้ฟังแล้วล้วนแต่รู้สึกเศร้าใจ ตนเองยังมีคนในครอบครัวที่กำลังรอตนเองอยู่
“ฤดูหนาวมาถึงแล้ว ผมขอมอบชุดกันหนาวให้ทุกคนคนละชุดนะครับ เพื่อให้ทุกคนได้อบอุ่นผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้ ร่างกายอบอุ่นหัวใจก็ยิ่งอบอุ่น ครอบครัวของพวกคุณกำลังรอพวกคุณอยู่” ชลธีเตรียมมอบชุดกันหนาวให้ทุกคน ตั้งแต่หัวจรดเท้า เขารู้ว่ามุกดาขี้หนาว ฤดูหนาวนี้ถ้าเขายังไม่เจอหลักฐานที่แน่นหนา เธอคงทำได้เพียงใช้ชีวิตในคุกเพื่อผ่านฤดูหนาวนี้ไป
ชลธีพูดจบ ด้านล่างจึงมีเสียงปรบมือที่อบอุ่นดังขึ้นอีกครั้ง ฤดูหนาวในคุก มันหนาวมากจริงๆ
ที่ด้านล่างพิธีกรให้ตำรวจติดอาวุธยังคงรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยต่อไป เพื่อมอบชุดกันหนาวให้เหล่านักโทษ
อย่างรวดเร็วก็มีคนย้ายชุดกันหนาวพวกนั้นขึ้นมาแล้ว มีหมวก มีแจ็กเก็ตผ้าฝ้าย มีกางเกงผ้าฝ้ายกับรองเท้าผ้าฝ้าย
ตอนนี้จึงมีผู้ชายหล่อเหลาขึ้นมาอีกสองคน คนหนึ่งคือประวีร์ อีกคนหนึ่งคืออนุชิต ผู้ชายสามคนยืนอยู่บนเวทีด้วยกัน นั่นช่างเป็นทัศนียภาพที่เปล่งประกายสง่างามจริงๆ
เหล่านักโทษหญิงพากันเคลิบเคลิ้มจะแย่แล้ว ตอนที่ไปรับของ ยังมองผู้ชายหล่อเหลาสามคนนั้นอย่างไม่วางตา
ชลธียิ้มเล็กน้อย แต่ประวีร์กลับหน้าตาเย็นชา มีแค่อนุชิตเท่านั้นที่ดูเป็นมิตรกับนักโทษหญิง ยังไม่ลืมที่จะพูดจาหยอกเย้าเล็กน้อย
ตอนที่ถึงคิวของมุกดา มือของเธอสั่นเทิ้ม รับหมวกกับรองเท้าจากในมือของประวีร์ มองประวีร์ครั้งหนึ่ง ในแววตาของประวีร์เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
ตอนที่เดินไปรับถุงเท้าผ้าฝ้ายกับกางเกงผ้าฝ้ายที่ด้านหน้าของอนุชิต อนุชิตให้เธอไม่ต้องกังวลจนเกินไป พวกเขาจะจัดการทั้งหมดเอง
ตอนที่เดินมาถึงด้านหน้าของชลธีสามีของตนเอง มุกดาอดกลั้นความตื่นเต้นในใจของตนเองเอาไว้ ตอนที่เธอรับชุดผ้าฝ้ายสีดำมา มือก็กำลังสั่นไหว เสื้อขนเป็ดของเธอหนาเป็นพิเศษ รู้อยู่แล้วว่าเธอกลัวความหนาว ดังนั้นชุดนี้จึงจัดทำขึ้นเป็นพิเศษ
“อยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ ด้านนอกมีผมอยู่ ผมจะคิดหาวิธีเอง” ชลธีเขยิบเข้าไปพูดอย่างนี้ข้างๆหูของเธอ อาศัยตอนที่ให้เสื้อผ้าแก่เธอ ยังบีบมือของเธอ ให้กำลังใจเธอด้วย!
“อื้ม ฉันรู้แล้ว” มุกดาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของครอบครัวกับเพื่อนๆแล้ว เธอก็อบอุ่นใจ
หลังจากมอบของเสร็จ คนพวกนั้นก็กลับกันแล้ว นักโทษหญิงมากมายไม่ได้ประทับใจดาราพวกนั้นสักเท่าไหร่ แต่กลับตื่นเต้นกับผู้ชายสามคนที่มอบสิ่งของให้
หลายวันที่ผ่านมานี้ ปากของเหล่านักโทษหญิงพากันพูดถึงผู้ชายสามคนนั้น
“แล้วผู้ชายสองคนนั้นเป็นใครเหรอ ทำไมพวกเขาสามคนถึงหน้าตาดูดีจัง?” มีคนถามขึ้น
“คนหนึ่งเหมือนจะเป็นประธานประวีร์ของบริษัทสตรอมแมน แล้วอีกคนหนึ่งก็คือคุณชายอนุชิตของอมรถิรจินดากรุ๊ป แต่ก่อนฉันเคยเห็นรูปพวกเขาบนนิตยสาร พวกเขาโดดเด่นเกินไป ฉันจึงจำได้” มีผู้หญิงที่ค่อนข้างวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังอธิบายให้ทุกคนฟัง
“ว้าว เป็นคนรวยกันทั้งนั้นเลย ถ้าพวกเขาพอใจในตัวฉันมันก็เพียงพอแล้ว ถ้าฉันต้องตายตอนนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า”
“ฮ่าๆๆ พอใจเธอเนี่ยนะ คนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตลอดไปอย่างเธอ จะเป็นไปได้ยังไงที่พวกเขาจะชอบคนที่อยู่ในนี้อย่างพวกเรา อย่าฝันไปหน่อยเลย” มีคนกำลังเพ้อฝัน ก็มีคนกำลังทำลาย
มุกดาสวมเสื้อขนเป็ดหนาๆตัวนั้น เธอนั่งอยู่ข้างๆไม่ได้พูดอะไร คนข้างกายพูดอะไร เธอก็ไม่ได้สนใจด้วย
“เฮ้ เฮ้ เธอทำอะไรอยู่?” มีคนกำลังเรียกมุกดา มุกดาถึงได้มีสติกลับมา
“ฉันเหรอ? ฉันกำลังเหม่อ” มุกดามองผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้า ตัวอ้วนๆ ผมสั้น ถ้าไม่สังเกตดีๆ ยังคิดว่าเธอเป็นผู้ชายอยู่เลย
“เหม่อเหรอ เหม่อสนุกไหมอะ? ไม่งั้นเรามาเล่นด้วยกันเถอะ?” ผู้หญิงคนนั้นดูแล้วอายุก็ไม่น้อยนะ แต่ทำไมตอนพูดจากลับรู้สึกว่าสติปัญญาต่ำกว่าปกติล่ะ
“เล่นด้วยกันงั้นเหรอ? เธอเป็นใครน่ะ?” มุกดามองผู้หญิงคนนี้ อย่างน้อยต้องสามสิบกว่าแน่ๆ แต่การพูดการจาราวกับเด็กๆ
“ฉันชื่อทอฝัน แม่ฉันบอกให้ฉันอยู่ในนี้ตลอดชีวิต ที่นี่มีให้กิน มีให้ดื่ม แล้วก็ไม่มีคนรังเกียจที่ฉันอ้วนด้วย” ทอฝันได้ยินมุกดายอมสนใจเธอแล้ว เธอจึงนั่งลงไปข้างๆมุกดาทันที
“แม่ของเธอพูดกับเธออย่างนี้เหรอ? แล้วเธอเข้ามาได้ยังไง?” คำพูดของทอฝันดึงดูดความสนใจของมุกดาแล้ว จะมีแม่ที่พูดอย่างนี้กับลูกสาวได้ยังไง สถานที่นี้ใครๆก็ไม่อยากมากันทั้งนั้น
“ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันมาได้ยังไง แค่แม่ฉันบอกว่าถ้าศาลถามอะไร ก็ให้ฉันยอมรับให้หมด แล้วฉันก็จะได้ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรังเกียจฉัน ที่นี่มีให้กินให้ดื่ม แต่ฉันรู้สึกว่านอกจากไม่ได้เล่นอินเทอร์เน็ตแล้ว เรื่องอื่นก็พอใช้ได้ ที่ฉันดีใจที่สุดคือฉันลดน้ำหนักสำเร็จแล้ว” ทอฝันพูดจบก็หยิบชิ้นเนื้อของตนเองมาแกว่งไปมา
ทอฝันตอนนี้คาดการณ์ด้วยสายตาก็น่าจะประมาณ 83 กก. เธอยังคิดว่าตนเองลดน้ำหนักสำเร็จแล้วอีก
“อีกสักพัก ตอนที่รอให้ฉันลดน้ำหนักได้เท่าเธอ ฉันก็จะได้แต่งงานแล้ว” ตอนที่พูดถึงเรื่องแต่งงาน ทอฝันยังท่าทีเขินอายอีกด้วย
มุกดามองทอฝัน ไม่รู้ว่าตนเองควรจะพูดอะไรดี เธอคงจะเป็นแพะรับบาปสินะ คงรับผิดแทนลูกคนโปรดแน่ๆ เธอไม่เป็นที่โปรดปรานในครอบครัว จึงโดนแม่ของตนเองหักหลัง
“ทอฝัน แม่เธอดีกับเธอไหม?” มุกดาคิดๆแล้ว ตัดสินใจว่าตนเองต้องยุ่งเรื่องอย่างนี้
“แม่แท้ๆของฉันตายไปแล้ว ส่วนแม่เลี้ยงดีกับฉันมาก ฉันอยากกินอะไรก็ซื้อมาให้ฉัน ฉันไม่อยากกินก็ซื้อมาให้ฉัน เธอบอกว่าให้ฉันกินเยอะๆ กินเยอะๆแล้วจะสวยมากๆ แต่ฉันกินเยอะเกินไป จึงกลายเป็นอย่างตอนนี้! ฉันอ้วนเกินไป โรงเรียนไม่ต้องการฉัน ฉันจึงไม่เคยเข้าโรงเรียนเลย!” ทอฝันพูดด้วยใบหน้าเศร้าหมอง