ธีรเมทคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ช่วยของตนเองนั้นจะปะปนกับคนที่เพิ่งมาใหม่ ณัฐวรรธน์คนนั้นนั่งอยู่กับทีมผู้ช่วยอย่างมีความรับผิดชอบ เขาเอาแต่มองเอกสารทางด้านหน้าอยู่ตลอดเวลา เมื่อธีรเมทเข้ามา เขาไม่เงยหน้ามองด้วยซ้ำ
“พี่ใหญ่ก็ช่างให้ความสนใจมากจริงๆ ยังมีเวลาว่างมาดูผมคุยธุรกิจที่นี่อีก” ธีรเมทพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง เขาเองก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับมุกดา ฝ่ายเจรจาทั้งสองฝ่ายตรงนั่งลงเป็นสองแถวและอยู่กันคนละฝั่ง ในมือของทุกคนมีเอกสารอยู่คนละหนึ่งฉบับ บรรดาผู้ช่วยต่างจ้องมองกันอย่างเคร่งเครียด
ณัฐวรรธน์ทำเหมือนมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เขายังคงไม่เงยหน้าขึ้นมามองธีรเมทด้วยซ้ำ
“ความร่วมมือเรื่องการดำเนินงานโรงแรมระหว่างว่องประเสริฐการกรุ๊ปในวันนี้ ทุกคนดูนโยบายก่อน ดูว่าตรงไหนจำเป็นต้องแก้ไข” มุกดาเป็นประธานในการประชุมเจรจาในครั้งนี้
จากนั้นก็มีแต่เสียงเปิดเอกสารดังขึ้น ในห้องประชุมเงียบเชียบมาก เงียบเหมือนมีลมพัดหนังสืออยู่ แต่ไม่มีคนอยู่ในห้องเลยสักคน
หลังจากนั้นสิบนาที มุกดาก็เริ่มพูดอีกครั้ง ตอนนี้ทั้งสองบริษัทจัดเป็นธุรกิจที่เสมอกัน ดังนั้นต่างอยู่ในหลักการที่ได้รับผลประโยชน์เท่าเทียมกัน การเจรจาก็ง่ายมากเช่นเดียวกัน
หลังจากประชุมใช้เวลาสองชั่วโมงแล้ว สัญญาฉบับนั้นก็มีการลงนามทันที
“มุกครับ หวังว่าต่อไปพวกเราจะมีโอกาสในการร่วมมือกันมากขึ้นนะครับ” ธีรเมทยื่นมือออกมา เพื่ออยากจะจับมือกับมุกดา
“ท่านประธานธีรเมท ต่อไปเราจะมีโครงการความร่วมมือกันมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ ต้องคอยให้ท่านประธานธีรเมทช่วยชี้แนะด้วยค่ะ” มุกดามีไหวพริบมากในการปฏิเสธการจับมือกับธีรเมทอย่างชาญฉลาด
ธีรเมทอายจนถึงขั้นหดมือกลับทันที “คืนนี้พอมีเวลาไหมผมอยากเลี้ยงข้าวมุกสักมื้อ รายละเอียดของความร่วมมือผมคิดว่าเราสามารถพูดคุยกันอย่างละเอียดได้” ธีรเมทต้องการเลี้ยงข้าวมุกดา
“เรื่องนั้นเอาไว้พรุ่งนี้แล้วกันค่ะ วันนี้ฉันมีธุระต้องทำต่อ ท่านประธานธีรเมทช่างเกรงใจเกินเหตุ คุณไม่จำเป็นต้องเลี้ยงข้าวฉันหรอก รายละเอียดเราสามารถพูดคุยกันในห้องทำงานได้ค่ะ” มุกดายิ้มรอยยิ้มที่แสนมีเสน่ห์ของตนเองปรากฏอยู่บนใบหน้า
“งั้นก็ได้ มุกครับ คุณก็ต้องระวังตัวไว้ให้มาก เรื่องของชลมันถึงขั้นนั้นแล้ว คุณก็อย่าทำให้ตนเองต้องล้มไปอีกคน” ในใจของธีรเมทแม้ว่าจะโกรธขนาดไหน แต่ใบหน้ากลับแสดงสีหน้าที่มีรอยยิ้มประจบสอพลอให้มุกดา
“ค่ะ งั้นก็ต้องขอบคุณความเป็นห่วงของท่านประธานธีรเมทแล้วค่ะ ฉันก็ต้องกลับไปเตรียมเรื่องความร่วมมือของพวกเราแล้ว เอางี้พวกเราก็ลากันตรงนี้เลย รออีกไม่กี่วันก็จะต้องเจอหน้าเจอตากันอีกแล้ว” ครั้งหน้าก็ต้องมีการหารือข้อตกลงเพิ่มเติมอีก ดังนั้นมุกดาจึงอยากให้ธีรเมทกลับไป เพราะว่าเธอยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำ
“ตกลงครับ งั้นผมขอตัวก่อน มุกครับ คุณต้องรักษาเนื้อรักษาตัวนะ ถ้าคุณล้มหมอนนอนเสื่อไป ผมปวดใจนะ” ก่อนที่ธีรเมทจะกลับยังจะพูดฝากไว้อีกหนึ่งประโยคตบท้าย จนทำให้มุกดาถึงกลับขนลุกไปทั้งตัว
“หน้าด้านจริงๆ เลย” มุกดามองด้านหลังของธีรเมทและพูดไปด้วย
ธีรเมทในเวลานี้เป็นเหมือนกับบุคคลต่ำต้อยแต่หยิ่งผยองกับอำนาจ โชคช่วยเขาจริงๆ ที่ได้เป็นทายาทสืบทอดรับมรดกมหาศาลขนาดนั้น ตอนนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เขาสามารถกร่างไปทั่วได้
“ใช่! ให้ฉันหาคนมาจัดการกับเขาไหม!?” ลูซี่กับธีรนัยน์ลุกขึ้นและยืนอยู่ด้านหลังของมุกดา
“ไม่ต้องหรอก ถูกหมากัด แกคงไม่กัดตอบทุกครั้งหรอกมั้ง?” มุกดาดึงทั้งสองคนออก
“ไปกัน คุณยายของฉันทำชาดอกไม้ไว้หลายอย่างเลย เดี๋ยวฉันให้พวกแกคนละกล่องนะ นั่นมันคือของสะสมของฉันเลย คนอื่นเอาเงินมากองก็ยังซื้อไม่ได้เลยนะ” ดังนั้นเด็กสาวทั้งสามคนต่างมาที่ห้องทำงานท่านประธานของมุกดาอย่างสบายอกสบายใจ
การเจรจาธุรกิจในวันนี้ก็ราบรื่นมาก ธีรเมทพอใจมากกับแผนงานทุกอย่างของตนเอง ไม่ว่าเหตุผลของเขาจะคืออะไรก็ตาม ขอแค่ธุรกิจประสบผลสำเร็จ ในทางกลับกันตนเองก็ไม่ได้เสียหายอะไร
เมื่อกลับมาถึงบ้าน มุกดาก็เริ่มฮัมเพลงออกมา วันนี้อารมณ์ดีมาก เห็นอะไรก็สวยไปหมด
พอเข้ามาในบ้านแล้ว ต่างเงียบเชียบไปทั้งหลัง และไม่มีคนอยู่ในบ้านเลยสักคน!
“คุณแม่ ลุงนัทธ์ อักลี่ พวกคุณไปอยู่ที่ไหนกันเนี่ย?” มุกดาเหลือบมองโทรศัพท์ของตนเอง แต่กลับไม่มีเบอร์ที่ตนเองไม่ได้รับสายเลย
เมื่อเดินหาในห้องอยู่หนึ่งรอบ มุกดาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนีรชากับนัทธ์เลย เมื่อเดินมาที่สวนเพื่อสอบถามคนงานแล้ว คนสวนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาไปไหนกัน
มุกดาเดินอยู่รอบหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นเบาะแสของหลายคนนี้เลย จนเธอเริ่มร้อนใจ และรีบวิ่งไปยังห้องของตนเองที่อยู่ชั้นสองอย่างร้อนรน เพื่อจะดูว่าชลธีเป็นอย่างไรบ้าง ทว่าเมื่อเปิดประตูนั้น ในห้องอันยุ่งเหยิงรกรุงรัง กลับไม่เจอชลธีอีกด้วย
มุกดารีบโทรศัพท์หานีรชาอย่างร้อนรน ทว่าโทรติดแต่ไม่มีคนรับสาย เลยโทรหานัทธ์แทน โทรศัพท์ของนัทธ์ที่อยู่ในห้องรับแขกก็ดังขึ้นมา นัทธ์จะยุ่งขนาดไหนกันเชียวที่สามารถลืมโทรศัพท์ของตนเองได้เนี่ย
จากนั้นคิ้วอันสวยงามของเธอก็ขมวดเข้าหากันจนผูกเป็นโบ คนในบ้านไปไหนกันหมดเนี่ย? ทำไมไม่มีการบอกกล่าวกับคนอื่นที่อยู่ในบ้านเลย? หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นกับชลงั้นเหรอ?
มุกดาไม่มีวิธีอื่นแล้วจึงต่อสายหาประวีร์ที่อยู่ไกลในต่างประเทศทันที เพื่อให้เขาถามครอบครัวของตนเองว่าอยู่ที่โรงพยาบาลของเขาหรือเปล่า
ประวีร์โทรศัพท์ไปหาเพื่อเป็นการยืนยันทันที และอยู่ที่โรงพยาบาลของเขาตามจริง พอได้ยินประวีร์พูดว่ากลุ่มของชลธีอยู่ที่โรงพยาบาลของเขาแล้ว มุกดาก็วางสาย เธอหันตัวเดินออกจากประตู และขับรถทะยานออกไป
“แม้ว่าประธานชลธีจะฟื้นแล้ว แต่สมองของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก จนทำให้เนื้อเยื่อสมองเสียหายอย่างมาก ดังนั้น IQ ของเขาพลอยรับผลกระทบไปด้วย” คุณหมอพูดกับนีรชา
ชลธีนั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ เขาเองก็ตั้งใจฟังในสิ่งที่หมอพูดอย่างละเอียด ทว่าก็ยังฟังอะไรไม่เข้าใจอยู่ดี
“ชล แกหิวน้ำไหม?” เมื่อนีรชาได้ยินสิ่งที่คุณหมอตรวจสอบเสร็จแล้ว ก็ควานหาน้ำแร่ออกมาหนึ่งขวด
“ไม่ ผมไม่หิว” ชลธีส่ายหน้าไปมา
นีรชาเก็บน้ำแร่ลง แต่ชลธีกลับให้นีรชาไปซื้อเครื่องดื่มมาให้ตนเองแทน
“ผมจะดื่มอันนั้น คุณซื้อให้ผมที” ชลธีชี้ไปที่เครื่องดื่มจำพวกนมที่อยู่ในมือเด็กน้อย เขาต้องการอันนั้นให้ได้
“นัทธ์ คุณไปซื้อให้หน่อย อักลี่ หลานพูดกับคุณพ่อหน่อย ต้องกินของพวกนั้นให้น้อยหน่อย ของพวกนั้นเป็นของที่เด็กกิน” นีรชาให้นัทธ์รีบไปซื้อของให้ชลธี และไม่ลืมจะกำชับอักลี่ด้วย
“ครับ ถ้าผมมีเวลาจะบอกกับคุณพ่อนะ แต่ทำไมคุณพ่อถึงดื่มไม่ได้ล่ะครับ ผมรู้สึกว่ามันอร่อยมากนะ” แม้ว่าปากของอักลี่จะยอมตกลงแล้ว แต่ในใจก็ไม่เข้าใจสักนิด
“อักลี่ครับ อักลี่เป็นเด็กกินของพวกนี้ไม่มีคนมาคอยหัวเราะใส่ แต่คุณพ่อของหลานถ้าขืนไปดื่มของพวกนี้ต่อหน้าคนเยอะแยะเข้า หลานจะรู้สึกว่ามันไม่ดีใช่ไหมครับ?” นีรชาคุกเข่าลงเพื่อพูดคุยกับอักลี่
“คุณแม่ พวกคุณมาที่โรงพยาบาลกันหมดเลยเหรอ อาการป่วยของชลเป็นยังไงบ้างคะ?” มุกดารีบเข้ามาในห้องผู้ป่วยอย่างรีบร้อน ตอนที่เธอเห็นชลธีนั่งอยู่บนเก้าอี้นั้น เธอถึงกลับตกใจจนอึ้งไปทันที