หญิงสาวคนนั้นทำอาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว มีข้าวสวยที่ไม่ได้ขาวมากหนึ่งหม้อ รวมทั้งมีปลาตุ๋น ปลานึ่ง แล้วก็ซุปปลาสะลังนิดี รสชาติไม่เลวเลย ทั้งสี่คนต่างก็หิวมาก กลับข้าวทั้งสามอย่างและข้าวหนึ่งหม้อ พวกเขาทานไม่นานก็ทานจนหมด หลังจากที่พวกเขาทานกันจนหมด พวกเขาถึงจะมองเห็นสายตาของเด็กน้อยคนนั้นที่เต็มไปด้วยความโหยหา
พวกเขาทั้งสี่คนมองไปในจานตอนนี้เหลือเพียงแค่นำซุปเล็กน้อยแค่นั้น พวกเขาต่างก็มองหน้ากัน จากนั้นหน้าก็แดงขึ้นมาทันที พวกเขาหิวกันมากจนลืมไปเลยว่าเด็กน้อยและหญิงสาวคนนั้นยังไม่ได้ทานอาหาร
“เออ พวกคุณยังไม่ได้ทานอะไรใช่ไหม? บนรถของพวกเรามีขนมอยู่ เดี๋ยวผมไปเอามาให้เด็กน้อยเอง” เวลาที่ประวีร์ทำอะไรก็มักจะรอบคอบอยู่เสมอ ตอนที่เขามาที่นี่เขาได้ซื้อทั้งน้ำและขนมเอาไว้
“ไม่ต้อง ไม่ต้องหรอก พวกเราทานแล้ว พวกเราทานแล้ว” หญิงสาวเอาอาหารที่ดีที่สุดในบ้านไปรับแขกหมดแล้ว เธอรู้สึกอยากจะขอบคุณพวกเขาที่ช่วยลูกของเธอไว้ เพราะปกติพวกเขาก็ไม่กล้าทานอะไรกันแบบนี้
ประวีร์ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาไปเอาของส่วนนึงในรถมาแบ่งให้กับเด็กน้อย
เด็กน้อยมองดูขนมหลากหลายสีและขนมปังที่น่าทาน จากนั้นเขาก็มองไปยังแม่ของตัวเอง แม่ไม่ได้พูดอะไร เขาก็เลยไม่กล้ารับเอาไว้
“รับไว้เถอะ อันนี้ให้เด็กน้อย อร่อยมากๆนะ” ชลธีเอาของสิ่งนั้นยัดลงไปในมือของเด็กน้อย เด็กน้อยมองไปยังคุณแม่อีกครั้ง คุณแม่จึงทำได้เพียงแค่พยักหน้า คนพวกนี้ไม่ใช่คนร้ายจริงๆด้วย
“คุณแม่ เมื่อกี้นี้คุณอาให้เงินผมเยอะมาก” ในตอนนั้นอยู่ดีๆ เด็กน้อยก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ยังมีเรื่องเงินที่เขายังไม่ได้บอกกับคุณแม่
ในขณะที่เขาพูดอยู่เขาก็เอาของกินในมือวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นเขาก็ไปเอาเงินออกมา
ตอนที่หญิงสาวเห็นลูกตัวเองเอาเงินมา เธอก็ตกใจมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเงินมากมายขนาดนี้
“อันนี้พวกเรารับไว้ไม่ได้ พวกคุณช่วยชีวิตลูกของฉันไว้ ฉันก็ควรที่จะทำอาหารให้พวกคุณทาน” สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปทันที ถึงแม้ว่าเธอจะจนมาก แต่เธอก็ไปเอาเงินของคนอื่นมาไม่ได้
“พี่สาว พวกเราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เด็กน้อยเชื่อฟังดี ผมก็เห็นว่าถึงวัยที่ต้องเข้าเรียนแล้ว อันนี้เป็นค่าเทอมที่เอาไว้ให้เด็ก ต่อไปก็ให้เขาตั้งไจเรียน แล้วก็กลับมาดูแลพวกคุณให้ดีๆ” ดวงตาของอนุชิตน้ำตาคลอเบ้าเล็กน้อย ตอนแรกเขาคิดว่าหญิงสาวน่าจะดีใจเมื่อเห็นเงินมากมายขนาดนั้น
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะมีสีหน้าแบบนี้ ทุกคนต่างก็มีเกียรติเป็นของตัวเอง ดังนั้นเขาก็เลยรีบพูดว่าเงินนี้ให้เป็นทุนการศึกษาสำหรับเด็ก
“ไม่จำเป็นหรอก พวกเราที่นี่ยังไม่ถึงวัยที่จะเข้าเรียน เด็กที่นี่จะเข้าเรียนได้ก็ต่อเมื่อมีอายุแปดขวบขึ้นไป เพราะว่าสถานที่เรียนไกลจากที่นี่มาก จะต้องนอนในโรงเรียน เด็กยังเล็กเกินไปก็เลยยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้” หญิงสาวยังคงยืนยันที่จะเอาเงินคืนให้กับอนุชิต
อนุชิตจึงทำได้เพียงแค่เอาเงินใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อตัวเอง
“พี่สาว พวกเราอยากจะพักผ่อน แต่ว่าเดี๋ยวพวกเราก็จะออกไปแล้ว พวกเราอยากจะให้คุณช่วยหาแผ่นไม้ใหญ่ๆ สี่แผ่นให้กับพวกเรา พวกเราต้องใช้ในตอนกลางคืน” ในตอนนั้นชลธีก็พูดความคิดของตัวเองออกมา
หลังจากที่ชลธีได้พูดออกมา ที่เหลืออีกสามคนก็รู้ถึงจุดประสงค์ของเขาทันที นั่นก็คือในตอนกลางคืนพวกเขาจะต้องว่ายน้ำไปบนเกาะ ระยะทางพวกเขาได้คาดคะเนไว้แล้ว ทั้งสี่คนน่าจะสามารถว่ายไปถึงบนเกาะได้ภายใน 5 ชั่วโมง แต่ว่าใน 5 ชั่วโมงนี้ก็คงต้องใช้แรงเยอะมาก ดังนั้นถ้าใช้ไม้เพียงแผ่นเดียวก็จะสามารถลดพลังงานที่ต้องใช้ ที่สำคัญยังสามารถเตรียมของกินเอาไว้เพิ่มพลังได้ด้วย
“พวกคุณอยากจะว่ายน้ำข้ามไปเหรอ? ไม่ได้ ไม่ได้นะ เพราะไม่รู้ว่าในทะเลนั้นมีอะไรอยู่บ้าง อีกอย่างสามีของฉันก็เคยว่ายไปครั้งหนึ่งเหมือนกัน ตอนที่เขาว่ายไปได้ครึ่งทาง เท้าของเขาก็เป็นตะคริว มันตรายมากเลย พวกคุณไปแบบนี้ไม่ได้ ไปไม่ได้เด็ดขาด รอก่อนเถอะ ฉันจะให้สามีของฉันไปส่งพวกคุณเอง” เมื่อหญิงสาวได้ยิน เธอก็รู้ทันทีว่าจุดประสงค์ของชลธีคืออะไร แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกแล้ว พวกเขาจะต้องไปในเวลากลางคืน เพราะตอนกลางวันพวกเขาขึ้นไปบนเกาะไม่ได้
“พี่สาว คุณวางใจเถอะ เราเป็นนักว่ายน้ำที่แข็งแกร่ง แค่คุณช่วยพวกเราหาแผ่นไม้ก็เพียงพอแล้ว เพราะในตอนกลางวันต่อให้สามีของคุณไปส่งพวกเรา พวกเราก็ขึ้นไปบนเกาะไม่ได้อยู่ดี พวกเราจะต้องไปในตอนกลางคืน” ทศพรพูดอย่างเข้มงวดกับพี่สาว
เมื่อพี่สาวได้ยินคำพูดของพวกเขา เธอรู้ว่าคำพูดนั้นมีเหตุผลมาก แต่เธอก็แค่เป็นห่วงพวกเขาเท่านั้น
“คุณวางใจเถอะ พวกเราไม่เป็นอะไรหรอก ทะเลแบบนี้เมื่อก่อนพวกเราว่ายกันบ่อย” อนุชิตพูดเสริมไปอีกหนึ่งประโยค คนอื่นๆก็หันไปมองทางเขา เคยไปว่ายน้ำกับเขาตอนไหนกัน?
ถึงแม้พี่สาวจะรู้สึกเป็นห่วงมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เธอจึงให้ทุกคนไปพักผ่อน ส่วนเธอก็ไปหาแผ่นไม้ที่เหมาะสมมาให้
หลังจากที่ทั้งสี่คนพักผ่อนแล้ว พวกเขาก็ได้เตรียมเสื้อผ้า อาหาร และน้ำใส่ไว้ในถุงพลาสติก ก่อนจะแบกไว้ข้างหลัง
“ชล นายไหวไหม นายรอพวกเราอยู่ที่นี่ดีไหม ยังไงพวกเราก็จะพาตัวมุกกลับมาให้นายแน่นอน!” ทั้งสามคนมองไปทางชลธีด้วยความกังวล
ร่างกายของเขายังไม่ได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ การว่ายน้ำครั้งนี้จะต้องว่ายเป็นเวลากว่า 5 ชั่วโมง ถ้าเกิดว่ามีสถานการณ์อย่างอื่นเกิดขึ้น ระยะเวลาก็อาจจะยืดออกไปอีก เขาจะสามารถทนไหวได้หรือ
“ไม่เป็นไร สบายใจได้ ฉันไม่แย่กว่าพวกนายแน่นอน ไม่อย่างงั้นเดี๋ยวเราลองมาแข่งกันดูไหม” ไม่มีทางที่ชลธีจะอยู่ที่นี่ มุกดาเป็นภรรยาของเขา ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตเขาก็จะไปช่วยเธออยู่ดี
เมื่อเห็นท่าทีที่แน่วแน่ของชลธี ทุกคนก็ทำได้เพียงแค่มองหน้ากัน ยังไงพวกเขาก็แค่ดูแลเขาให้ดีๆ ก็เท่านั้นเอง
ทั้งสี่คนเข้าไปในน้ำทะเลตอนที่มืดสนิท หญิงสาวยืนมองดูพวกเขาจนมองไม่เห็นพวกเขา จากนั้นเธอถึงจะเลิกมอง
“คุณแม่ เงินอันนี้กลับมาอีกแล้ว” ในมือของเด็กน้อยถือเงินอยู่เยอะมาก เขาเอามาให้คุณแม่ดู
หญิงสาวรับเงินมาจากเด็กน้อย เงินก้อนนั้น เธอลองนับดู มีตั้งหนึ่งหมื่น! พวกเขาหาปลาและเอาปลามาขายอย่างยากลำบาก ในหนึ่งปีพวกเขาขายปลาไม่ได้เงินมากขนาดนี้ด้วยซ้ำไป คนพวกนี้เป็นคนดีเสียจริง
“ชล นายนี่เร็วจริงๆ เลย พวกเราทุกคนคงจะต้องตามหลังนายแล้ว” อนุชิตมองไปยังทักษะที่แข็งแกร่งของชลธี เมื่อครู่นี้ยังรู้สึกเป็นกังวลมาก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกชื่นชมในตัวชลธีแล้ว
“ก็ไม่เลวนะ แต่ยังไงเดี๋ยวฉันก็คงต้องตามหลังพวกนาย” ชลธีพูดความจริง เขาอยากจะรีบว่ายน้ำให้มากหน่อยในระหว่างที่ร่างกายยังไม่เหนื่อยล้ามากนัก เมื่อเวลานานขึ้นยังไงเขาก็คงไม่มีความอดทนมากเท่ากับพวกเขา
“มุก ยังไงผมก็จะไปช่วยคุณ คุณวางใจเถอะ” ในใจของชลธีพูดคำนี้ออกมา
มุกดานอนอยู่บนเก้าอี้ ทันใดนั้นเธอก็จามออกมา มีลมที่หนาวเย็นพัดผ่านมา จนทำให้เธอตัวสั่นไปหมด
“มุก เข้าไปข้างในเถอะ ข้างนอกลมทะเลค่อนข้างแรง เดี๋ยวจะป่วยเอานะ” ธีรเมทเอาผ้าห่มผืนหนึ่งมาให้กับมุกดา ก่อนจะวางลงตรงบ่าของเธอ
มุกดาไม่ได้สนใจธีรเมท เธอลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินตรงไปยังห้อง
เธอโดนธีรเมทพามาอยู่บนเกาะนี้หลายวันแล้ว มุกดามองดูน้ำทะเลที่อยู่รอบๆ ในใจเธอก็รู้สึกสิ้นหวัง ในสถานการณ์แบบนี้ เธอไม่มีทางที่จะหนีออกไปได้เลย