บทที่ 1627 ลองดุอีกทีสิ
พอได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลของ ‘เนี่ยอู๋โยว’ในที่สุดนายหญิงตระกูลเนี่ยก็หวั่นไหว ขณะที่ผู้นำตระกูลเนี่ยกลับมีใบหน้าที่เย็นชากว่าปกติ
เขามองเยี่ยหวันหวั่นด้วยสายตาที่ห่างเหิน จากนั้นก็เดินไปหา ‘เนี่ยอู๋โยว’เวลามองหน้าลูกสาว ใบหน้าเย็นชาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันที “อู๋โยวลูก เรื่องพวกนี้ลูกไม่ต้องห่วง พ่อจะจัดการให้ลูกเอง!”
“พ่อคะ…” ‘เนี่ยอู๋โยว’ทำหน้าซาบซึ้ง
เนี่ยอู๋หมิงทนฟังไม่ไหว พุ่งตัวออกมาเหมือนลูกธนู “บ้าเอ๊ย! เนี่ยอู๋โยว นี่เธอกำลังพูดไร้สาระอะไรของเธออยู่! ชั่วช้าอะไร มีแผนชั่วอะไร ลักพาตัวอะไร! นี่เธอหมายความว่าฉันชั่วช้า มีแผนชั่ว แล้วก็ลักพาตัวหลานตัวเองงั้นเหรอ?”
‘เนี่ยอู๋โยว’หดคอเหมือนสะดุ้งตกใจ “พี่ใหญ่ ฉันไม่ได้คิดอย่างงั้น ฉันไม่ได้หมายถึงพี่…”
เนี่ยอู๋หมิงกล่าวด้วยความโมโห “เธอไม่ได้ว่าฉัน? งั้นเธอไม่รู้รึไงว่าไป๋เฟิ่งเป็นเพื่อนฉัน? เธอสงสัยไป๋เฟิ่ง ก็เท่ากับสงสัยฉัน! เธอไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาแล้วรึไง?”
เยี่ยหวันหวั่นเห็นเนี่ยอู๋หมิงที่ออกโรงพูดจาปกป้องเธอแล้วก็รู้สึกสับสนในใจ
เดิมทีเธอยังทำใจยอมรับไม่ค่อยได้เรื่องที่ตาโง่เนี่ยอู๋หมิงเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเธอ แต่…หมอนี่…ดีกับเธอมากจริงๆ…
ถึงนิสัยของเขาออกจะ…จริงๆ ก็…วู่วามมากจริงๆ…
เรียกได้ว่าเป็น…เพื่อนร่วมทีมสมองหมูจริงๆ…
ตอนแรกเยี่ยหวันหวั่นยังคิดว่าถ้าเธอบอกเนี่ยอู๋หมิงว่าเธอเป็นใคร เนี่ยอู๋หมิงต้องเชื่อเธอแน่ๆ
แต่ตอนนี้เธอรู้สึกโชคดีมากที่ตัวเองไม่ได้บอกเขา
หมอนี่สู้เก่งมาก แต่นิสัยบุ่มบ่ามเกินไป
ถ้าจะหวังให้เขาช่วยเหลืออะไร…แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย…
แค่ไม่ทำเสียเรื่องก็ดีเท่าไหร่แล้ว…
ตามคาด คำพูดไม่มีเหตุผลเพิ่งจะหลุดออกจากปากเนี่ยอูหมิงไป เขาก็โดนผู้นำตระกูลฟาดท้ายทอยด้วยฝ่ามือ ผู้นำตระกูลเนี่ยพูดด้วยความโมโห “เจ้าเด็กบ้า! นี่แกกำลังตะคอกใครอยู่? กำลังดุด่าใครอยู่! อู๋โยวเป็นน้องสาวแท้ๆ ของแก! นี่แกบ้าไปแล้วเหรอ? แกลองว่าน้องให้ฉันเห็นอีกทีสิ!”
เนี่ยอู๋หมิงกุมหัว กระทืบเท้าด้วยความโมโห “เวร! ผมไปว่าเธอตอนไหนล่ะ? ผมแค่เสียงดังไปหน่อยเท่านั้นเอง! พ่อ นี่พ่อลำเอียงได้กว่านี้อีกไหมเนี่ย! ผมใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อรึเปล่า!”
“เจ้าเด็กบ้า! หุบปากไปเลย! กลับไปฉันจะคิดบัญชีกับแก! วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นอยู่ข้างนอก คบแต่คนแบบไหนบ้างไม่รู้”
ผู้นำตระกูลเนี่ยไม่สนใจลูกชายตัวเองอีก เขาหันไปมองเยี่ยหวันหวั่นด้วยสายตาราบเรียบ “หัวหน้าไป๋ ได้ยินชื่อเสียงของคุณมานาน ที่ผ่านมาตระกูลเนี่ยกับพันธมิตรอู๋เว่ยต่างฝ่ายต่างอยู่ ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตระกูลเนี่ยกลัวเรื่องกลัวราว เรื่องในวันนี้ หัวหน้าไป๋คงต้องให้คำอธิบายกับผู้น้อยเนี่ยซักหน่อยแล้ว ไม่งั้นเกรงว่าจะปล่อยให้หัวหน้าไป๋ไปทั้งอย่างงี้ไม่ได้”
สิ้นเสียงของผู้นำตระกูลเนี่ย เหล่าบอดี้การ์ดก้าวเข้ามาล้อมเยี่ยหวันหวั่นจนมิด
ตอนนี้ เยี่ยหวันหวั่นดูเหมือนกำลังเหม่อลอยเล็กน้อย คำพูดที่ผู้นำตระกูลเนี่ยปกป้องเนี่ยอู๋โยวเมื่อกี้ยังดังก้องอยู่ในหู…
ดูออกว่านายหญิงกับผู้นำตระกูลเนี่ยรักและเอ็นดูลูกสาวคนนี้มากจริงๆ
ตอนแรกเธอเข้าใจผิดเพราะความทรงจำในความฝัน คิดมาตลอดว่าพ่อแม่เธอตายแล้ว นึกไม่ถึง พวกเขายังอยู่ แถมยังรักเธอถึงขนาดนี้ด้วย…
แต่น่าเสีย สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เธอไม่สามารถบอกความจริงพวกเขาได้ แถมยังต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ตึงเครียดอย่างในตอนนี้อีกด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ…เนี่ยหลิงหลง…
ลูกสาวบุญธรรมของตระกูลเนี่ย ผู้หญิงที่เธอเป็นคนช่วยกลับมาด้วยมือตัวเอง
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นการเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้…
————————————————————————————-
บทที่ 1628 ไม่นึกเลยว่าจะปรากฏตัวพร้อมกัน
“เป็นอะไรไป? ไป๋เฟิ่ง! ไม่มีอะไรจะพูดสินะ? ยังไม่รีบบอกมาอีก! ทำไมต้องลักพาตัวถังถังมาด้วย! เธอวางแผนตีสนิทพี่ใหญ่เพื่ออะไรกันแน่?” ‘เนี่ยอู๋โยว’ตวาดเสียงเกรี้ยว
พ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งสายตาไหวระริก เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงยากคาดเดา “คุณหนูอู๋โยว จะเพื่ออะไรอีกล่ะครับ แบดเจอร์เป็นคนชั่วช้า ลักพาตัวคุณชายน้อยไปก็ต้องเพื่อเงินอยู่แล้ว ไม่งั้นก็คงเป็นโรคจิตที่ฆ่าคนเพื่อระบายอารมณ์ ขนาดเด็กตัวเล็กๆ ก็ยังไม่เว้น!
ถ้าไม่ใช่ว่าพวกเราปิดทางเข้าออกทั้งหมดของรัฐอิสระ แล้วตามมาทันเวลา ไม่อยากคิดเลยว่าจะน่ากลัวแค่ไหน…”
‘เนี่ยอู๋โยว’กล่าว “พ่อคะ แม่คะ ไม่ต้องคุยอะไรกับเธอแล้วค่ะ จับเธอเลยดีกว่า! คนเลวๆ อย่างผู้หญิงคนนี้ปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาดนะคะ!”
ผู้นำตระกูลเนี่ยมักปกป้องคนของตัวเองก่อนเสมอ ยิ่งวันนี้คนที่ไป๋เฟิ่งแตะต้องเป็นถึงหลานชายสุดที่รักของเขาด้วยแล้ว ฉะนั้น ผู้นำตระกูลเนี่ยยกมือขึ้น ออกคำสั่งให้บอดี้การ์ดเคลื่อนไหว
เยี่ยหวันหวั่นหรี่ตา ไม่มีท่าทางลนลานแม้แต่น้อย ยิ่งไม่มีสีหน้าโกรธหรือโมโห กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามจากพวกเนี่ยอู๋โยวกับเนี่ยหลิงหลง เยี่ยหวันหวั่นกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สะทกสะท้าน “หึ ฉันลักพาตัวถังถัง? งั้นคุณหนูเนี่ยก็หมายความว่า วันนี้ ฉันไป๋เฟิ่ง กับจี้ซิวหร่าน แล้วก็เสิ่นเทียนเฉินคุณชายใหญ่ตระกูลเสิ่น รวมถึงนายแห่งอาชูร่า…ลักพาตัวถังถังงั้นเหรอ?”
“อะ…อะไรนะ?” ‘เนี่ยอู๋โยว’อึ้งงัน “เธอหมายความว่าไง? เกี่ยวอะไรกับพี่ซิวหร่าน คุณชายใหญ่ตระกูลเสิ่น…แล้วก็นายแห่งอาชูร่าด้วย?”
เยี่ยหวันหวั่นเริ่มกุเรื่องโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสีซักนิด “พ่อบ้านคนนี้ก็พูดเองไม่ใช่เหรอว่าข้างนอกสถานการณ์ไม่สงบ? ฉันก็เลยตั้งใจหาเพื่อนมาร่วมเดินทางด้วย เพื่อรับประกันความปลอดภัยให้ถังถังอย่างเต็มร้อย! ทำไมล่ะ คุณคิดว่าหัวหน้าพันธมิตรอู๋เว่ยอย่างฉัน บวกกับจี้หวง เสิ่นเทียนเฉิน แล้วก็นายแห่งอาชูร่ายังไม่เก่งพอที่จะปกป้องถังถังอีกเหรอ?”
เนี่ยอู๋โยวโกรธจนหัวเราะออกมา “ไป๋เฟิ่ง! ฉันว่าเธอคงจนตรอกแล้วมั้ง! ถึงได้พูดจาไปเรื่อยแบบนี้! เหลวไหลสิ้นดี จี้หวง เสิ่นเทียนเฉิน กับนายแห่งอาชูร่าจะมาอยู่กับเธอได้ยังไง! จะหาข้ออ้างก็ไม่รู้จักหาข้ออ้างที่มันน่าเชื่อกว่านี้หน่อย!”
อย่าว่าแต่อยู่กับไป๋เฟิ่งเลย แค่พวกเขารวมตัวกันเองก็เป็นเรื่องยากมากอยู่แล้ว
เธอคิดว่าคนพวกนั้นเป็นคนธรรมดาที่พบเจอกันได้ตามถนนง่ายๆ งั้นเหรอ?
สิ้นเสียงของ ‘เนี่ยอู๋โยว’เสียงฝีเท้าคนกลุ่มหนึ่งก็ดังมาจากข้างหลัง
วินาทีต่อมา ‘เนี่ยอู๋โยว’ก็เห็นเงาร่างสีขาวที่คุ้นตากำลังเดินมาทางนี้ แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มจางๆ เหมือนเช่นเคย “คุณลุงเนี่ย คุณป้าเนี่ย เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ทำไมถึงโมโหกันขนาดนี้?”
จี้ซิวหร่าน…
ชายหนุ่มยืนอยู่เบื้องหน้าหญิงสาวครึ่งก้าว ดูก็รู้ว่าเป็นท่าทางของคนที่กำลังปกป้อง
‘เนี่ยอู๋โยว’กับพวกที่ยังไม่หายตกตะลึงกับการปรากฏตัวสุดบังเอิญของจี้หวง ไม่นานก็หันไปเห็นข้างหลังจี้ซิวหร่าน มีชายหนุ่มที่ใส่เสื้อเชิ๊ตสีชมพูสะดุดตากับชายหนุ่มที่ใส่เสื้อสูทสีดำกำลังเดินมาทางนี้ด้วยกัน…
ชายหนุ่มที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีชมพูก็คือเสิ่นเทียนเฉิน…ส่วนอีกคน…อีกคนกลับเป็นนายของอาชูร่า!
‘เนี่ยอู๋โยว’จ้องเสิ่นเทียนเฉิน โดยเฉพาะนายแห่งอาชูร่า แล้วได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ถึงเธอจะเคยเห็นนายแห่งอาชูร่าในงานเลี้ยงเลิกราของเสิ่นเทียนเฉินแค่ครั้งเดียว แต่เธอจำไม่ผิดแน่
ไม่นึกเลย…สามคนนี้จะอยู่ด้วยกันจริงๆ…
เนี่ยหลิงหลงที่ไม่สะทกสะท้านตั้งแต่ต้นจนจบพอเห็นสามคนนี้นัยน์ตาก็เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงแช่มช้า “พี่ซิวหร่าน พวกพี่มาพอดีเลย ไป๋เฟิ่งลักพาตัวถังถัง แต่กลับแก้ตัวว่า…”