บทที่ 373 อยู่ต่อเถอะ
ใช่สิ ด้วยความฉลาดของเขาแล้ว ทำไมจะไม่รู้ความคิดเรื่องนั้นของเธอ…
ทีแรกเธอเข้าใจว่าซือเยี่ยหานเพียงแค่เห็นเธอเป็นสัตว์เลี้ยงที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษ และไม่ได้สนใจว่าเธอจะจริงใจหรือไม่ ขอเพียงเธอเชื่อฟังทำตัวดีก็ใช้ได้แล้ว
อีกอย่างผู้ชายคนนี้ก็ไม่เคยแสดงออกถึงความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งเธอก็ไม่เคยคิดมากมาก่อน…
แต่ว่า เมื่อครู่ตอนที่ซือเยี่ยหานมองมาที่ตัวเธอ วินาทีที่พูดออกมาว่า “เธอคิดจริงเหรอว่าฉันสนใจแค่เรื่องแต่งตัวน่าเกลียด” เธอก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนว่าผู้ชายคนนี้กำลังรู้สึกผิดหวังและเสียใจ…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ระหว่างที่เยี่ยหวันหวั่นกำลังไม่มีสติอยู่กับตัวนั้น เสียงแหบพร่าของชายหนุ่มได้แว่วผ่านมาในอากาศ “ฉันจะไป”
ซือเยี่ยหานพูดจบก็ลุกขึ้นยืน เดินไปทางประตู…
ต่อมา วินาทีที่กำลังจะผลักประตูเปิดออกไป ข้อมือข้างหลังพลันกระชับแน่น
ไม่รู้ว่าเยี่ยหวันหวั่นตามมาข้างหลังตั้งแต่เมื่อไร ดึงชายแขนเสื้อของเขาไว้พลางกล่าว “ขอบคุณนะ”
ซือเยี่ยหานไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าไร้ซึ่งการแสดงออกถึงความรู้สึกใดๆ
ขณะที่ซือเยี่ยหานกำลังย่างเท้าจะออกไปอีกครั้ง เยี่ยหวันหวั่นพลันพูดออกมา “คืนนี้อยู่ต่อเถอะ!”
นัยน์ตาของซือเยี่ยหานคล้ายจะวาบไหวอยู่เล็กน้อย สายตาหลุบลงมองที่เธอ
เยี่ยหวันหวั่นเห็นเขายืนนิ่ง จึงจูงมือของเขาพาเดินกลับเข้าห้องมา
“รอยคล้ำที่ขอบตาของคุณหนักอีกแล้ว ต่อไปหากว่าสะดวกก็พยายามมาหาฉันที่นี่นะ ส่วนฉันหากไม่มีธุระอะไร ก็จะกลับไปหาคุณที่สวนจิ่นหยวน”
เห็นว่าซือเยี่ยหานยังคงจ้องมองตนอยู่ตลอด เยี่ยหวันหวั่นจึงเอ่ยไปว่า “ทำไมเหรอ? ไม่ใช่ว่าเวลาที่อยู่กับฉันแล้วคุณจะนอนหลับได้ดีกว่าเหรอ?”
กลัวว่าเขาจะรู้สึกว่าการกระทำของตนเองเปลี่ยนไปกระทันหันเกินไป เยี่ยหวันหวั่นจึงกล่าวเสริมไปว่า “อะแฮ่ม คิดว่าเป็นการตอบแทนจากฉันแล้วกัน! เป็นการขอบคุณ!”
เธอรู้ดีว่าสำหรับคนคนหนึ่งที่มีความปรารถนาในการควบคุมอย่างแรงกล้า การประนีประนอมเมื่อครู่ไม่ได้ง่ายสำหรับเขาเลย
น้ำเสียงของเยี่ยหวันหวั่นคล้ายจะผ่อนคลายลง แต่ว่าตัวเธอเองรู้ดี ช่วงเวลาเมื่อครู่นี้ความรู้สึกในใจของเธอได้ผ่านอะไรมาบ้าง
แม้ว่าชาติก่อนเป็นเพราะความระแวงในเธอและความปรารถนาที่จะครอบครองอันน่ากลัวของซือเยี่ยหาน เธอเคยเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่ว่าคนคนนี้ไม่เคยหลอกลวงและทรยศเธอเลยสักครั้ง และก็เพราะเขา สุดท้ายเธอถึงได้เห็นชัดๆ ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของเฉินเมิ่งฉีและกู้เยว่เจ๋อ…
เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางรับได้กับสถานะที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างเธอกับเขา เป็นความสัมพันธ์เหมือนกำแพงพุผังที่พร้อมจะพังทลายได้ทุกเมื่อ ไม่อาจยอบรับได้กับความปรารถนาที่จะครอบครองตัวเธออย่างไร้เหตุผลของซือเยี่ยหาน และอารมณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้ตลอดเวลา…
ทว่า เธอก็ไม่อาจปฎิเสธได้ว่าในชาตินี้หลังจากเปลี่ยนวิธีการเข้าหาเขาแล้ว การเปลี่ยนแปลงของเขานำมาซึ่งความประทับใจของเธอ
เธอพูดไม่ถูกว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกแบบไหนกับซือเยี่ยหาน แต่เธอมั่นใจได้ว่า อย่างน้อยเธอก็ไม่อยากให้เขาตาย…
ช่างเถอะ ในเมื่อคิดไม่ตกก็ไม่ต้องคิดแล้ว ทำตามหัวใจเถอะ
ต่อให้เธอจะอยากได้อิสรภาพ แต่ก็ไม่อยากได้มันมาจากการเสียชีวิตของเขาวิธีนี้
บรรยากาศยามค่ำคืนอันเงียบสงบ
คนทั้งสองนอนนิ่งสงบอยู่บนเตียง
เวลาที่ซือเยี่ยหานนอนหลับจะสงบนิ่งเป็นพิเศษ ไม่ขยับพลิกตัวเลยสักนิด เยี่ยหวันหวั่นก็ไม่แน่ใจว่าเขาหลับไปแล้วหรือยัง
เยี่ยหวันหวั่นมีเรื่องคิดว้าวุ่นใจ นอนตั้งนานก็ยังนอนไม่หลับ จึงเอียงศีรษะเอ่ยถามเสียงเบา “ใช่แล้ว เกือบลืมไปว่ามีเรื่องหนึ่งอยากถามคุณ… เหมยจิ่งโจว…คนนั้นคุณรู้จักไหม?”
ด้านข้างมีเสียงเยียบเย็นเช่นที่ผ่านมาของซือเยี่ยหานแว่วมา “ไม่รู้จัก”
เยี่ยหวันหวั่นกระพริบตา เอ่ยสงสัย “เอ๊ ไม่ใช่ว่าคุณให้เขาไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดคุณปู่ฉันเหรอ?”
น้ำเสียงของซือเยี่ยหานยังคงราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์เหมือนเช่นเคย “ไม่ใช่”
เยี่ยหวันหวั่นหมดคำจะพูด
หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เธอแอบไปถามสวี่อี้มาแล้ว คงจะเชื่อจริงๆ ว่าไม่ใช่เขา
…………………………………
บทที่ 374 ยันต์เร่งความตายของซือเยี่ยหาน
เช้าวันถัดมา
หลังจากที่ซือเยี่ยหานจากไป เยี่ยหวันหวั่นก็โทรหาสวี่อี้
“สวัสดีครับ คุณหนูหวันหวั่น?” สวี่อี้รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่เยี่ยหวันหวั่นโทรหาเขาตั้งแต่เช้าตรู่
“ตอนนี้สุขภาพของเจ้านายของนายเป็นอย่างไรบ้าง?” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยถามออกไปตรงๆ
“คือ…” สวี่อี้ไม่รู้เจตนาของการถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหันของเยี่ยหวันหวั่น พลันรู้สึกลังเลที่จะตอบ
“แย่มากเลยเหรอ?” เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้ว
สวี่อี้เรียบเรียงคำพูดก่อนจะตอบว่า “อันที่จริงก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก…ท่านเก้าได้รับบาดเจ็บเมื่อตอนเด็ก ร่างกายที่โรคเก่าอยู่แล้ว ไม่เคยดูแลรักษาให้ดี บวกกับอาการนอนไม่หลับที่กำเริบหนัก ก็เหมือนซ้ำเติมเข้าไปอีก ก่อนนี้หมอเทวดาซุนเคยมาตรวจดูอาการ ถึงขึ้นยืนยันว่า…”
“ยืนยันว่าอะไร?”
“ยืนยันว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ร่ายกายของนายท่านจะค่อยๆ ทนไม่ไหว…” สุดท้ายแล้วสวี่อี้ก็ตัดสินใจตอบตามความเป็นจริง
เรื่องพวกนี้เยี่ยหวันหวั่นที่อยู่ข้างนายท่านมาสองปี ที่จริงก็รู้ทั้งหมด เพียงแต่ อย่าพูดว่าเธอไม่สนใจเลย กลัวว่าจะอยากให้ให้ร่างกายของนายท่านทรุดเร็วๆ เสียด้วยซ้ำ
เยี่ยหวันหวั่นพลันนิ่งเงียบ เป็นไปอย่างที่คิด สถานการณ์เหมือนกับชาติที่แล้วไม่มีผิด
สุขภาพของซือเยี่ยหานหากมองแค่ภายนอก จะมองไม่ออกเลยว่ามีปัญหาอะไร ผู้ชายคนนั้นแม้แต่อารมณ์ยังไม่เคยแสดงออกมาให้เห็น นับประสาอะไรกับอาการป่วย
แต่ความจริงคือ ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บตั้งนานแล้ว
ปีนั้นที่เธอหย่ากับซือเยี่ยหาน สุขภาพของเขาย่ำแย่ถึงขั้นที่ไม่อาจอำพรางได้อีกต่อไป เวลาไปไหนมาไหนส่วนใหญ่ทำได้เพียงนั่งรถเข็น ส่วนแวลาที่เธอจะได้เจอเขาก็น้อยลงเรื่อยๆ…
“แล้วถ้าดูแลรักษาให้ดีล่ะ?” เยี่ยหวันหวั่นถามขึ้นอีกครั้ง
สวี่อี้เงียบอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องนี้…ผมเองก็ไม่กล้ามั่นใจ…ปกตินายท่านมีงานเยอะเกินไป ทั้งเรื่องตระกูล ทั้งเรื่องบริษัท อำนาจที่ซ่อนอยู่ ทุกเรื่องล้วนต้องการเขา บอกกับอาการนอนไม่หลับนี้อีก…คิดอยากจะดูแลรักษาให้ดีแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”
“ฉันเข้าใจแล้ว” เยี่ยหวันหวั่นนิ่งเงียบอยู่นาน จากนั้นจึงวางโทรศัพท์ลง
บนเก้าอี้หวายติดระเบียง เยี่ยหวันหวั่นจ้องมองนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย จมลงสู่ความทรงจำอันวุ่นวาย
มีเรื่องมากมายหลายอย่างที่เธอเอาแต่เลี่ยงที่จะคิดหรือเอ่ยถาม แต่สุดท้ายก็ยัง…หนีไม่พ้น…
ถ้าเธอจำไม่ผิด ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซือเยี่ยหานจะมือดีของบริษัทและอุปกรณ์ที่วิจัยออกมาได้เป็นคนแรก ไปคุยธุรกิจกับพาร์ทเนอร์คนสำคัญที่ประเทศ B และระหว่างทางไปประเทศ B ครั้งนี้นี่เอง ซือเยี่ยหานเผชิญกับการลอบฆ่าครั้งใหญ่ ไม่เพียงสูญเสียพนักงาน อุปกรณ์ยังถูกขโมย ตัวซือเยี่ยหานเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส…
เธอจำได้ว่า ในชาติก่อนอาการบาดเจ็บจากการถูกลอบฆ่าครั้งนั้นเกือบจะคร่าชีวิตของซือเยี่ยหานไป ทำให้เขาต้องนอนอยู่บนเตียงนานหลายเดือน หลังจากฟื้นขึ้นมา สุขภาพที่ย่ำแย่อยู่แล้วก็ยิ่งแย่ลงไปอีก…
อาการบาดเจ็บสาหัสครั้งนี้เป็นเหมือนยันต์เร่งความตายของซือเยี่ยหาน
ไม่รู้ว่าเกิดใหม่มาในชาตินี้ เรื่องนี้จะยังเกิดขึ้นอีกหรือไม่
หากเกิดขึ้นจริง ต่อให้รักษาอย่างไร ร่างกายของเขาก็คงไม่อาจรักษาได้อีกต่อไปแล้ว…
เยี่ยหวันหวั่นส่ายศีรษะ สะบัดความคิดไร้สาระในสมอง
บางทีไม่แน่ว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นในชาตินี้อาจจะมีอะไรเปลี่ยนไปก็ได้?
อีกอย่าง จนตอนนี้เธอก็ยังไม่ได้ยินว่าซือเยี่ยหานมีแผนจะไปประเทศ B
สิ่งที่เธอต้องปวดหัวเรื่องต่อไปคือ เรื่องของลั่วเฉินทางนั้น…
เยี่ยหวันหวั่นถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาลั่วเฉิน ผลลัพธ์คือไม่มีคนรับสาย
โทรครั้งที่สอง ก็ยังไม่มีคนรับสาย แต่ลั่วเฉินส่งข้อความมาหาเธอ บอกว่าตัวเองกำลังฝึกซ้อม ไม่สะดวกรับสาย
ดูท่า คงจะตกใจหนีไปแล้ว…
ช่างเถอะ ให้เขาใจเย็นลงสักหน่อยค่อยว่ากันก็แล้วกัน
ถ้าหากหวั่นไหวเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ นั่นก็พูดได้แค่ว่าสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดนั้นสูญเปล่า
เยี่ยหวันหวั่นศึกษาบทด้วยตัวเองคนเดียวทั้งวัน ไม่ทันรู้สึกตัวฟ้าก็มือเสียแล้ว
เสียงข้อความของโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นซือเยี่ยหานที่ส่งข้อความมาให้เธอ บอกว่าที่บริษัทมีเรื่อง เธอต้องรอเขาทานข้าว เยี่ยหวันหวั่นจ้องข้อความ ขมวดคิ้ว ทำงานล่วงเวลาอีกแล้วเหรอ?
…………………………………………………….