บทที่ 537 มองเห็นจุดอ่อน
“คุณหนูหวันหวั่น ครั้งนี้ผมจะใช้ท่าศิลปะการต่อสู้โจมตีคุณหนู คุณลองป้องกันดู หรือจะโจมตีก็ได้” สืออีสงบอารมณ์
เวลานี้ สืออีจับทางของเยี่ยหวันหวั่นได้แล้ว ครั้งนี้เขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะเสียเปรียบอีกครั้ง
“ศิลปะการต่อสู้ชุดนี้เรียกว่าฝ่ามือสามวิ สามารถใช้สามท่าฝ่ามือในพริบตา คุณหนูหวันหวั่นดูให้ดี ตั้งใจเรียนนะครับ” หลังจากอธิบายรายละเอียดศิลปะการต่อสู้ฝ่ามือแล้ว สืออีก็ส่งฝ่ามือออกไปอย่างรวดเร็ว
ฝ่ามือนี้ของสืออีรวดเร็วพิสดารอย่างไร้ที่เปรียบ ถึงขนาดเกิดเสียงแหวกอากาศดังเข้าหูของเยี่ยหวันหวั่น
พริบตานั้น ความคิดเยี่ยหวันหวั่นพลันว่างเปล่า ทุกสิ่งรอบด้านราวกับหยุดในพริบตา ฝ่ามือนั้นของสืออีฟันเข้ามาเหมือนผ่าลำไผ่ ในสายตาของเยี่ยหวันหวั่นเหมือนการเคลื่อนไหวเชื่องช้าลง
เยี่ยหวันหวั่นปล่อยหมัดหนึ่งออกไปตามสัญชาตญาณ
หมัดนี้ผ่านวิถีฝ่ามือของสืออีไป ชกเข้าที่ศีรษะของสืออีอย่างรุนแรงในระดับเจ้าเล่ห์มากไหวพริบเป็นที่สุด
“พลั่ก”
เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ สืออีหัวหน้าทีมของพวกเขาถูกชกจนเซถอยหลังไปหลายสิบก้าวต่อหน้าต่อตา!
หลังจากที่สืออีลุกขึ้น ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง จ้องมองเยี่ยหวันหวั่น ท่าทางเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
จากภาพจำของสืออี เยี่ยหวันหวั่นแค่แรงเยอะกว่าคนทั่วไปเท่านั้น…
แต่ว่าเมื่อครู่ หมัดที่เยี่ยหวันหวั่นปล่อยออกมาเร็วสุดขีด ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเทคนิคไร้สาระเพิ่มเติม ทั้งเด็ดขาดและปราดเปรียว เหมือนกับจะสังหารคนจริงๆ…!
“นี่…เป็นไปได้ยังไง…” สีหน้าสืออีประหลาดใจ
ไม่เพียงแค่สืออี แม้แต่เยี่ยหวันหวั่นเองก็อึ้งอยู่กับที่ มองสองหมัดของตัวเอง
พริบตาเมื่อกี้ ไม่ใช่ความตั้งใจของเธอ ในดวงตาเธอเห็นจุดอ่อนเต็มไปหมด ไม่ต่างอะไรจากเล่นพ่อแม่ลูกกับเด็กน้อย…
“เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น?”
“มะ…มองไม่ทัน…”
“เหมือนว่าคุณหนูหวันหวั่น…จะชกหัวหน้าสืออีจนกระเด็นไปเลย…”
“น่าจะเป็น…เรื่องบังเอิญ…”
“ต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่นอน!”
บอดี้การ์ดลับทั้งหลายมองหน้ากันไปมา
สืออีขมวดคิ้วแน่น จ้องเยี่ยหวันหวั่นซึ่งยืนอยู่ที่เดิม ที่พวกนั้นบอกว่าเป็นความบังเอิญ เขาก็เชื่ออยู่นิดหน่อย
“คุณหนูหวันหวั่น…เมื่อกี้คุณหนูทำได้ยังไงครับ?” สืออีถาม
“ฉันก็ไม่รู้…” เยี่ยหวันหวั่นทำหน้าใสซื่อ
“งั้น พวกเรามาลองกันอีกครั้ง!” สืออีไม่เชื่อ
พูดจบ สืออีกลับขึ้นไปบนสังเวียน ส่งเสียงร้องออกแรง รวบรวมกำลังทั้งหมดไว้ที่หมัด แล้วชกไปที่เยี่ยหวันหวั่นอีกครั้ง
“พลั่ก”
วินาทีต่อมา เสียงที่คุ้นเคยดังก้องทั่วห้องซ้อม
สืออีถูกเยี่ยหวันหวั่นชกกระเด็นถอยอีกครั้ง
ครั้งนี้ เยี่ยหวันหวั่นเห็นชัดเจนแล้วว่าจุดอ่อนของสืออีอยู่ตรงไหน
“อีกครั้ง!” สืออีโจมตีอีกครั้ง
“พลั่ก”
“พลั่ก”
“พลั่ก”
ภายในระยะเวลาสิบห้านาที สืออีใช้หลากหลายกระบวนท่าศิลปะการต่อสู้ แต่ก็ยังถูกเยี่ยหวันหวั่นซัดถอยถึงเจ็ดแปดครั้ง
ทุกครั้งที่สืออีออกแรงเต็มที่ สมองของเยี่ยหวันหวั่นจะขาวโพลน เข้าสู่โหมดประหลาดถึงขีดสุดบางอย่างทันที
จิตใจสงบนิ่งอย่างที่สุด ไม่มีคลื่นอารมณ์หรือความลนลานแม้แต่น้อย มองกระบวนท่าและจุดอ่อนของสืออีได้ทะลุปรุโปร่ง ทำตามสัญชาตญาณของร่างกาย ซัดสืออีล่าถอยกลับไป
ความรู้สึกแบบนี้ เธอก็เคยรู้สึกมาก่อน แต่กลับไม่เคยใส่ใจ และยิ่งไม่เหมือนวันนี้ที่ปรากฏออกมาเด่นชัด
บอดี้การ์ดลับทั้งหลายตาโตอ้าปากค้าง ใครที่ไหนพูดว่าคุณหนูหวันหวั่นมีแต่แรง นี่เหรอที่เรียกว่ามีแต่แรงน่ะ?
ทุกครั้งที่ลงมือจะรวดเร็วแม่นยำรุนแรง ลงมือเพียงครั้งเดียว กลับเป็นการโจมตีที่ตรงจุดมากที่สุด ไม่พลาดเลยแม้แต่น้อย
ทักษะสังหารอะไร?
นี่สิถึงเรียกว่าทักษะสังหาร!
ทักษะสังหารมีเพียงเพื่อสังหารและทำลายศัตรู นอกเหนือจากนี้ไม่มีเป้าหมายอื่นอีก!
และการลงมือของเยี่ยหวันหวั่นดูเหมือนเรียบง่ายป่าเถื่อน แต่กลับตรงกับทักษะสังหารอย่างสมบูรณ์
……………………………………….
บทที่ 538 หรือว่าฉันจะเป็นอัจฉริยะด้านศิลปะการต่อสู้?
แววตาเยี่ยหวันหวั่นฉายความฉงน พิจารณามือทั้งสองของตัวเอง เกิดความสับสนในหัวเล็กน้อย
“คุณหนูหวันหวั่น…นี่มัน…”
บอดี้การ์ดลับหลายคนด้านล่างสังเวียนมองหน้ากันไปมาอย่างไม่อยากเชื่อ
บอดี้การ์ดลับตระกูลซือทุกคนเป็นยอดฝีมือ ย่อมมองเห็นความรวดเร็วและชัดเจนในการลงมือของเยี่ยหวันหวั่น
ถ้าหากในมือของเยี่ยหวันหวั่นมีมีดสั้นอีกสักเล่ม เกรงว่าสืออีตายไปหลายสิบครั้งแล้ว…
สืออีมองเยี่ยหวันหวั่นราวกับเห็นผี
เทคนิคการต่อสู้ที่เป็นความภาคภูมิใจของเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยหวันหวั่นแล้วกลับไม่อาจใช้มันต้านทานได้เลย!
ไม่ว่าเขาจะลงมือรวดเร็วแค่ไหน เยี่ยหวันหวั่นจะเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าวเสมอ ทิศทางก็กลับกลอกไม่แน่นอนสุดๆ ยากจะจับทางได้
“นาย…ตั้งใจอ่อนข้อให้ฉันใช่ไหม?” ผ่านไปพักหนึ่ง เยี่ยหวันหวั่นมองสืออีด้วยใบหน้าสงสัย
สืออีเป็นถึงบอดี้การ์ดลับของตระกูลซือ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นหัวหน้าทีมย่อยหนึ่ง ความสามารถที่แท้จริงไม่ต้องบรรยายมากก็รู้กันดี
เรื่องพวกการรู้จักประเมินตัวเองเป็นสิ่งที่เยี่ยหวันหวั่นไม่เคยบกพร่อง วันนี้เธอเพิ่งได้เรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ แต่กลับซัดสืออีกลับไปได้ทุกครั้ง…
สืออีจับจ้องเยี่ยหวันหวั่น ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ ทว่าเงียบงันไม่พูดสิ่งใด
ตอนแรก เป็นอย่างที่เยี่ยหวันหวั่นพูดจริง สืออีไม่ได้เอาจริงนัก ตั้งใจอ่อนข้อให้เธอ แต่ต่อมาแม้ว่าสืออีจะทุ่มเทเต็มความสามารถ ก็ไม่อาจสวนคืนเยี่ยหวันหวั่นได้สักท่า
ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือความแรง ไปจนถึงจังหวะลงมือ เยี่ยหวันหวั่นทำได้ดีหมด เสมือนผ่านการคิดคำนวณอย่างละเอียดมาแล้ว ควบคุมความได้เปรียบทั้งหมด ทำให้สืออีตกเป็นฝ่ายถูกกระทำตลอด ไม่อาจโต้กลับได้
“คุณหนูหวันหวั่น คุณหนูเป็นคมในฝักจริงๆ…” เนิ่นนานกว่าสืออีจะพูดขึ้น
เวลานี้ ใบหน้าเยี่ยหวันหวั่นเต็มไปด้วยความสงสัย ดูจากท่าทางสืออีแล้ว เหมือนว่าจะไม่ได้อ่อนข้อให้เธอ
หรือว่าเธอจะเป็นพวกมีกระดูกประหลาดในตำนาน เป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่หาได้ยากยิ่ง?
“โค้ชสืออี…อย่าอ่อนข้อให้ฉันสิ ลงมือให้เต็มที่เลย” เยี่ยหวันหวั่นสูดหายใจเข้าลึก ลืมสภาพจิตใจชั่วเสี้ยวขณะที่แสนประหลาดก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย ราวกับว่าตัวเองเข้าสู่โหมดพิศวงบางอย่าง จิตใจนิ่งดั่งน้ำ สัญชาตญาณของร่างกายตอบสนอง
“ครับ…” สืออีพยักหน้า จากนั้นส่งฝ่ามือไปหาเยี่ยหวันหวั่น
หลังจากฝ่ามือของสืออีเคลื่อนไหว เยี่ยหวันหวั่นรู้สึกถึงแรงกดดันไร้นาม และเข้าสู่โหมดลึกลับนั้นอีกครั้ง พิจารณาทุกสิ่งอย่างใจเย็น
“พลั่ก”
ทันใดนั้น เยี่ยหวันหวั่นยกแขนขวาขึ้นเปลี่ยนฝ่ามือเป็นหมัด ชกเข้าที่คางของสืออี
ส่วนสืออีซัดฝ่ามือออกมา แม้ว่าจะเร็ว แต่ยังช้ากว่าเยี่ยหวันหวั่น ฝ่ามือนั้นเพิ่งออกมาเพียงครึ่งทาง ยังไม่ทันเข้าใกล้ร่างกายของเยี่ยหวันหวั่น ก็ถูกเธอซัดจนกระเด็นออกไป
คนพูดกันว่าการฝึกฝนการต่อสู่นั้นลำบากแสนเข็ญ ยากราวเข็นครกขึ้นภูเขา แต่พอเป็นเยี่ยหวันหวั่นก็เป็นเรื่องเล็กแค่นี้ เหมือนว่าจะไม่ได้ยากเท่าไหร่…
“เอ๋…หรือว่าฉันจะเป็นอัจฉริยะด้านศิลปะการต่อสู้จริงๆ?” เยี่ยหวันหวั่นเก็บหมัดกลับ รู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
ตอนนั้นเธอแค่รู้สึกว่าตัวเองมีความจำเป็นเลิศ สติปัญญาสูง แต่ก็แค่กับการต่อสู้บนกระดาษเท่านั้น ทักษะร่างกายย่ำแย่สุดๆ วันนี้ได้ฝึกซ้อมอย่างจริงจังครั้งหนึ่ง ไม่คิดว่าจะค้นพบว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ขนาดนี้?
“โค้ชสืออี…ฉันคิดว่า…ฉันยังเร็วได้กว่านี้อีก…มาต่อกันเถอะ” เยี่ยหวันหวั่นเห็นสืออีลุกขึ้นมาแล้วก็รีบเอ่ย
ได้ยินคำพูดของเยี่ยหวันหวั่น สืออีส่ายหัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง ทำหน้าจะร้องไห้ ‘คุณหนูหวันหวั่น…ไม่ไหวแล้ว…ไม่ไหวแล้วจริงๆ…’
“ไม่เป็นไร…พวกเรามาลองกันอีกสักครั้ง…” เยี่ยหวันหวั่นเกลี้ยกล่อมไม่ยอมหยุด
“คุณหนูหวันหวั่น…ลองอีกไม่กี่ครั้ง ผมคงตายแน่แล้ว…” สืออีตาเขียวหน้าบวม อย่างไรก็ไม่ยอมซ้อมต่อสู้กับเยี่ยหวันหวั่นอีก
……………………………………………………………………….