บทที่ 239 ทักษะการเอาตัวรอด
เมื่อรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มนิ่งไปแล้ว เยี่ยหวันหวั่นกระพริบตาปริบๆ และกะพริบตาปริบๆ อีกครั้ง
หลับแล้วเหรอ?
คิดไม่ถึงว่าจะได้ผลจริงๆ!
เธอจำได้ว่าครั้งแรก ตอนที่เสียงโทรศัพท์ของสวี่อี้เกือบจะทำให้ซือเยี่ยหานตื่น ตอนนั้นเธอก็ทำแบบนี้กล่อมให้เขาผล๊อยหลับอีกครั้ง ครั้งนี้ก็เป็นเพียงการทดลองในสถานการณ์เร่งด่วนเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะได้ผล
โชคดีๆ เธอตกใจแทบตาย…
มันแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ทั้งๆ ที่ชาติก่อนโรคนอนไม่หลับของซือเยี่นหานสาหัสจนเข้ากระดูก ถึงขั้นน้ำมันในตะเกียงแห้งขอด ในชาตินี้ทำไมถึงได้นอนหลับง่ายขนาดนี้?
ก่อนหน้านี้ยังหลังคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่จนถึงตอนนี้เธอสังเกตมาทั้งเดือนแล้ว น่าจะไม่ผิดพลาด
เป็นเพราะการเกิดใหม่ของเธอส่งผลให้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปโดยที่เธอไม่รู้อย่างนั้นเหรอ?
เหมือนกับทฤษฎีปีกผีเสื้อ การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ล้วนเพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เหนือความคาดหมาย
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใดกันแน่ สรุปแล้วเยี่ยหวันหวั่นรักษาอยู่ในท่านี้ไม่ขยับ ไม่กลับทำให้เขาตื่นอีกครั้ง
คงเป็นเพราะประโยคเมื่อกี้ของซือเยี่ยหาน “ต่อให้เธอหลับตาก็ทำได้” ทำให้ความตื่นเต้นก่อนการสอบก่อนหน้านี้ของเธอ สงบลงอย่างประหลาด
นั่นน่ะสิ เธอมีอะไรต้องตื่นเต้นกัน ความรู้ทางด้านศิลปศาสตร์ขอแค่เธอได้อ่านสักรอบก็ไม่มีทางลืม ส่วนคณิตศาสตร์ก็พัฒนาขึ้นมากภายใต้การสอนพิเศษของซือเยี่ยหาน เธออยู่บ้านเลยเอาข้อสอบแบบฝึกหัดมาลองทำอยู่หลายรอบ ไม่มีสักครั้งที่ได้น้อยกว่า 140 คะแนน
คิดมาถึงตรงนี้ ความง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ในที่สุดเยี่ยหวันหวั่นก็ผล๊อยหลับ…
เช้าวันถัดมา
เยี่ยหวันหวั่นตื่นมาพร้อมพลังเต็มเปี่ยม ในที่สุดก็จ่ายค่าเรียนครบแล้ว!
พลิกตัวลุกขึ้น พับผ้าห่มอย่างรวดเร็ว เยี่ยหวันหวั่นเตรียมตัวลุกออกจากเตียง
ผลลัพธ์ เพิ่งจะลุกได้เพียงครึ่งเดียวก็ถูกแขนที่พาดเอวอยู่รั้งกลับไปบนหมอนอีกครั้ง
เยี่ยหวันหวั่นเอียงศีรษะมองชายหนุ่มข้างกาย เอ่ยเบาๆ “เอ่อ…คือว่าเวลาครบ…แปด…แปดชั่วโมงแล้ว…”
ใบหน้าสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติของซือเยี่ยหานมีแสงสว่างยามเช้าที่เล็ดรอดเข้ามาตามช่องหน้าต่างพาดอยู่ ดวงตาง่วงงุนเหมือนกับมีหมอกปกคลุม ราวกับเย้ายวนให้คนค่อยๆ ลุ่มหลงไปในป่าลึกลับ…
เยี่ยหวันหวั่นไม่รู้ว่าเธอมองผิดไปหรือเปล่า ถึงได้รู้สึกว่าช่วงนี้ความหล่อของซือเยี่ยหานเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นไม่น้อย ผิวเนียนราวกับกระเบื้องเคลือบไม่มีรูขุมขนเลยแม้แต่น้อย ผิวดีกว่าเธอด้วยซ้ำ หลายๆ ครั้งเธอหลงลืมความกลัวไป เกือบจะฉวยโอกาสแอบจับหน้าเขาขณะหลับ…
หรือว่าจะเป็นเพราะอาการนอนไม่หลับดีขึ้นนะ? ดูท่า “ทฤษฎีการนอนหลับเพื่อความสวย” จะมีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์จริงๆ…
“เป็นเวลาเจ็ดชั่วโมงห้าสิบเก้านาที สามสิบเอ็ดวินาที…”
ทันทีที่พูดจบ ชายหนุ่มก็เริ่มสานต่อเรื่องเมื่อคืน
เยี่ยหวันหวั่นที่ถูกกัดไหปร้าร้าทำหน้าไร้คำพูด
หัวรั้นจริง! หลับไปตื่นหนึ่งแล้วยังจำได้อีกเหรอ?
เหลือแค่ยี่สิบเก้าวินาทีนายยังทำอะไรได้อีก?
เยี่ยหวันหวั่นลอบยกมือขึ้น…
ครั้งนี้ ไม่รอให้เยี่ยหวันหวั่นยกมือขึ้นมาใช้ลูกไม้เดิม ถูกกดกลับไปบนหมอน
นัยน์ตาเย็นชาแต่กลับสวยงามจนไม่อาจเชื่อค่อยๆ หลับลง กดหน้าลงต่ำ จูบเธออย่างรุนแรง แฝงด้วยบทลงโทษ
ขณะที่เยี่ยหวันหวั่นกำลังอกสั่นขวัญแขวนอยู่นั้น นาฬิกาแขวนบนกำแพงพลันดัง “กริ๊ง” ขึ้นมา ในที่สุดก็ชี้เวลาหกโมงตรง
รอจนเยี่ยหวันหวั่นที่ได้สติจากการขาดอากาศหายใจ ก็พบว่าซือเยี่ยหานลงจากเตียงไปแล้ว ถอดชุดนอนและเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า
กางเกงสูทสีดำ เสื้อสูทสีขาว กลัดกระดุมทุกเม็ดจนถึงคอ หมอกในนัยน์ตาสลายหายไปหมดแล้ว ใบหน้าตื่นเต็มที่และเย็นเยียบ กลายเป็นเปลวไฟบนยอดเขาน้ำแข็งภายในพริบตา
สวมเสื้อผ้าพลางสั่งเธอด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ลุกขึ้นเตรียมตัวได้แล้ว”
“อ้อ…” เยี่ยหวันหวั่นตอบกลับไปอย่างงุนงง ด้วยความตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
คนที่สามารถควบคุมตนเองถึงขั้นสามารถเอาชนะความปราถนาของร่างกายและสัญชาตญาณได้ ทำไมถึงมักจะโมโหกับเรื่องที่ยากเข้าใจได้อยู่เรื่อยนะ?
เป็นเพราะชาติก่อนเขาขี้โมโหเกินไป ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ เธอถึงได้กลัวเขาขนาดนี้
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ ซือเยี่ยหานกำลังจ้องมองใบหน้าเล็กที่วิญญานหลุดออกจากร่างของเธอ ใบหน้าเย็นชาของเขามีกลิ่นไอระเบิดคุกรุ่นอยู่ “กำลังคิดอะไรอยู่?”
เกือบลืมไปแล้วว่าการคิดเรื่องอื่นเวลาอยู่ข้างกายซือเยี่ยหานเป็นหนึ่งในข้อห้ามของเขา เยี่ยหวันหวั่นรีบดึงสติคืนมา “ไม่มีอะไรค่ะ ไม่มี แค่รู้สึกว่ารูปร่างคุณดีจัง! จนเผลอมองเพลิน!”
โชคดีที่…ตั้งแต่กลับชาติมาเธอก็ได้ทักษะการเอาตัวรอดมาด้วย…
………………………………………..
บทที่ 240 ถูไถความยโสของแก
ทานข้าวเช้าเสร็จ หลังจากเตรียมของใช้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหวันหวั่นกำลังที่จะออกจากบ้าน
ขณะที่กำลังจะออกไป เธอพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงหยุดฝีเท้า “เดี๋ยวก่อน! ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องสำคัญมากๆ อีกเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ!”
กล่าวจบก็ผลุบหายไปทางลานบ้าน ย่องเข้าใกล้ก้อนกลมสีขาวใต้ร่มไม้ด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด
แม้ว่าช่วงนี้ต้าไป๋จะอยู่ที่สวนจิ่นหยวนบ่อยๆ แต่ซือเยี่นหานไม่อนุญาตให้เธอเอาแต่เล่นกับต้าไป๋ ด้วยเหตุผลที่ว่า “ความลุ่มหลงทำลายสติปัญญา” ส่งผลกระทบต่อการเรียน
โชคดีที่เธอกำลังจะผ่านพ้นช่วงเวลานี้แล้ว รอให้ปิดเทอมฤดูร้อนก็จะเล่นกับต้าไป๋ได้แล้ว
ต้าไป๋เหมือนจะรู้สึกตัวแล้วว่ามีคนกำลังเข้าใกล้จึงกระดิกหูเล็กน้อย แต่ก็ยังเมินเฉยไม่สนใจ นอนขี้เกียจอยู่ตรงนั้น สะบัดหางเนิบช้า
สามก้าว สองก้าว หนึ่งก้าว…
“ต้าไป๋ ต้าไป๋ ให้ฉันถูไถความยโสของแกหน่อย ให้ฉันสามารถเอาชนะทุกคนในสนามสอบได้เถอะ…”
เยี่ยหวันหวั่นสูดหายใจเข้าลึก ฉวยโอกาสที่เสือขาวตัวใหญ่ไม่ได้สังเกต ลูบตัวของมันอย่างรวดเร็ว แล้วหันหลังกลับวิ่งหนี
ซือเยี่ยหานที่อยู่ออกไปไม่ไกลเอ่ยไม่ออก
สิ่งที่เธอบอกว่าสำคัญมาก คือการแอบลูบสลอเดอร์?
สวี่อี้มองดูท่าทางลับๆ ล่อๆ ราวกับไปเอาเปรียบคนอื่นของเยี่ยหวันหวั่น มุมปากพลันกระตุก
เขาพบว่าเยี่ยหวันหวั่นเหมือนจะชอบสลอเดอร์มาก
สลอเดอร์ชื่อนี้มีความหมายว่าการสังหาร และพยัคฆ์ขาวตัวนี้ก็เป็นเหมือนกับชื่อของมัน มีความกระหายเลือดและการต่อสู้จากสายพันธุ์เป็นทุนเดิม บวกกับการฝึกด้วยกลิ่นคาวเลือดตั้งแต่เล็ก นิสัยจึงยิ่งดุร้าย
เยี่ยหวันหวั่นจะกลัวมัน เขาไม่แปลกใจเลยสักนิด แต่ว่าตอนนี้ เยี่ยหวันหวั่นกลับพูดออกมาว่าขอความยโสของมันเพื่อเอาชนะทุกคนได้แบบนี้
ถ้าหากไม่ใช่เพราะชอบจริงๆ คงไม่มีทางพูดแบบนี้ออกมาได้แน่
…
ซือเยี่ยหานมาส่งเธอถึงสนามสอบด้วยตนเอง
หลังจากถึงที่หมาย ก็เห็นด้านนอกโรงเรียนมีผู้ปกครองนักเรียนมาส่งผู้สอบล้อมอยู่อย่างหนาแน่น
พ่อแม่ทั้งหลายล้วนกำลังกำชับและให้กำลังใจลูกๆ มองส่งลูกๆ เข้าโรงเรียนไป
“ฉันเข้าไปแล้วนะ!” เยี่ยหวันหวั่นปลดล็อคสายเข็มขัดนิรภัย เตรียมที่จะลงจากรถ
“เดี๋ยวก่อน” เวลานี้เอง ซือเยี่ยหานที่อยู่ด้านข้างพลันเรียกเธอไว้
เยี่ยหวันหวั่นหยุดชะงัก มองไปทางซือเยี่ยหาน โอ้ หรือว่าจะให้กำลังใจเธอเหรอ?
“รีบส่งกระดาษคำตอบ อย่าเสียเวลา” ซือเยี่ยหานเอ่ยขึ้น
เยี่ยหวันหวั่นอึ้ง “…”
ผู้ปกครองบ้านอื่นล้วนกำชับไม่ให้ส่งกระดาษคำตอบเร็วเกินไป ให้ตรวจทานหลายๆ รอบ แต่เขากลับให้เธอส่งกระดาษคำตอบเร็วๆ…
ช่างเป็นอะไรที่ไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่เจ็บปวดจริงๆ!
โชคดีที่เธอได้ลูบต้าไป๋แล้ว
“อะแฮ่ม ทราบแล้วค่ะ…” เยี่ยหวันหวั่นกระแอมและผลักประตูรถให้เปิดออก
วันนี้หัวข้อการสอบคือศิลปศาสตร์ น่าจะใช้เวลาไม่มาก
ประตูรถเปิดไปได้ครึ่งหนึ่ง เสียงของซือเยี่ยหานพลันลอยมาจากด้านหลังอีกครั้ง “เดี๋ยวก่อน”
“หืม…มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” เยี่ยหวันหวั่นถอยตัวกลับเข้าไปอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
มีอะไรอีกนะ?
ซือเยี่ยหานมองเธอ สายตานั้นจ้องเยี่ยหวันหวั่นเสียจนเธอขนลุก เธอทำอะไรผิดจนเขาโกรธขึ้นมาอีกแล้วเหรอ?
ขณะที่หัวใจกำลังเต้นตึกตัก ชายหนุ่มพลันโน้มตัว ริมฝีปากเย็นประทับรอยจูบลงบนหน้าผากของเธอ
เยี่ยหวันหวั่นรู้สึกถึงความอบอุ่นจากริมฝีปากเย็นบนหน้าผากพลันนิ่งอึ้ง ลูบหน้าผาก
หรือว่านี่จะเป็นการให้กำลังใจของความรักอย่างนั้นเหรอ?
การแสดงออกด้านความรู้สึกของซือเยี่ยหานพัฒนาขึ้นตั้งแต่เมื่อไรนะ?
หลังจากซือเยี่ยหานประทับรอยจูบเสร็จแล้วก็กลับไปนั่งหลังตรง มองเธออย่างไม่เร่งร้อน “ไม่ได้คิดจะเอาชนะให้ราบเหรอ?”
เยี่ยหวันหวั่น “…”
ดังนั้น…ความหมายของซือเยี่ยหานคือ…เทียบเขากับสลอเดอร์แล้ว…บารมีของเขามีพลังทำลายล้างมากกว่าอย่างนั้นเหรอ?
จากความหมายบางอย่าง ก็เถียงไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ…
“ขอบคุณค่ะ…”
………………………………………………