บทที่ 293 เอากงซวี่มาเปลี่ยนสิ
คนหนึ่งคือหลินเฮ่าที่มีอนาคตเป็นดาวดวงใหม่ คนหนึ่งคือเขาที่ไม่มีผลงานมาสามปีเต็มๆ จนผู้คนลืมเลือนอยู่ที่มุมหนึ่ง…
ไม่ว่าเป็นใครก็ล้วนรู้ว่าควรจะเลือกอย่างไร…
เขารู้อยู่แล้ว…รู้อยู่แล้ว…
โจวเหวินปิดพูดถูก…ทั้งโกลบอล…ใครจะกล้าเลือกเขา…ใครจะต้องการเขา…
ชีวิตนี้ของเขา…จบเห่ตั้งนานแล้ว…
โจวเหวินปินเห็นว่าอีกฝ่ายยอมตกลง จึงลอบเผยสีหน้าน่ารังเกียจ จิ๊ๆ แค่นักแสดงระดับสามก็ยอมตกลงแต่โดยดีแล้ว เจ้าเยี่ยไป๋ก็มีประสบการณ์แค่นี้เอง
โจวเหวินปินทำน้ำเสียงจองหอง พูดจาเหมือนทำทาน “ในเมื่อผู้จัดการเยี่ยไม่มีความเห็นอื่น ก็ตกลงตามนี้แล้วกัน ฉันจะให้คนไปหยิบสัญญาของหลินเฮ่ามาแก้ไขให้!”
“เดี๋ยวก่อน!” เยี่ยหวันหวั่นกลับเอ่ยขัดคำพูดของโจวเหวินปิน
โจวเหวินปินขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ “มีอะไร? นายยังต้องการอะไรอีกเหรอ?”
เยี่ยหวันหวั่นเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มปรายตามองไปทางโจวเหวินปิน นัยน์ตาสดใสฉายแววดูถูกและจริงจังอย่างจองหอง “เปลี่ยนคนได้อยู่แล้ว เพียงแต่หัวหน้าโจว เกรงว่าหลินเฮ่าคงจะมีคุณสมบัติไม่พอละมั้ง? ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยน…ก็เอากงซวี่มาเปลี่ยนสิครับ!”
ได้ยินคำนี้ โจวเหวินปินตะลึงอยู่ครู่หนึ่งถึงได้สติว่าเขาพูดว่าอะไร สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ระเบิดอารมณ์ตรงนั้นเลย “เยี่ยไป๋! แกพูดจาอวดดีนักนะ! คิดจริงๆ เหรอว่าฉันไม่กล้าทำอะไรแก? ประธานฉู่คุณได้ยินแล้วใช่ไหม? ไอ้หนุ่มนี่ตั้งใจจะหาเรื่อง!”
กล้าเอานักแสดงระดับสิบแปดที่ไม่มีใครรู้จักชื่อ มาเทียบกับนักแสดงระดับหนึ่งที่ฮอตที่สุดในมือเขาได้ยังไง!
เหลวไหลที่สุด!
ไม่ต้องพูดถึงโจวเหวินปิน แม้แต่ตัวลั่วเฉินเองได้ยินคำพูดนี้ยังอึ้งไป นัยน์ตาสดใสโชติช่วงเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ…
สีหน้าของเยี่ยหวันหวั่นกลับไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ผมหาเรื่องอย่างนั้นเหรอ? ใครกันแน่ที่กำลังหาเรื่อง? ประธานฉู่ คุณเป็นคนสั่งเองว่าให้ทุกคนที่กวงเย่าให้ความร่วมมือกับการทำงานของผม…”
พูดมาถึงตรงนี้ ความไม่สนใจในนัยน์ตาของเยี่ยหวันหวั่นหายไปทันที แววตาเยียบเย็นยิงไปทางโจวเหวินปินทันที พูดเสียงกร้าวว่า “แต่ว่าหัวหน้าโจว คุณล่ะ? หรือว่าคุณไม่ใช่คนของกวงเย่ามีเดีย ไม่ใช่ลูกน้องของประธานฉู่อย่างนั้นเหรอ? หรือว่าหัวหน้าโจวคิดว่ากวงเย่าเป็นแผ่นดินของคุณ คุณถึงคัดค้านการตัดสินใจของประธานฉู่ได้ แม้แต่คำสั่งของประธานฉู่ก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา เอาแต่คอยขัดคำสั่งครั้งแล้วครั้งเล่า!”
เยี่ยหวันหวั่นไม่มีทางพูดเรื่องโจวเหวินปินใช้กำลังบีบบังคับลั่วเฉินอยู่แล้ว เพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์
คนหนึ่งคือผู้จัดการมือทอง คนหนึ่งคือนักแสดงตกกระป๋องไร้ค่า ฉู่หงกวงจะเลือกยืนข้างไหนชัดเจนอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ในวงการบันเทิงเป็นเรื่องธรรมดามาก ดีไม่ดีอาจจะถูกโจวเหวินปินโต้กลับบอกว่าลั่วเฉินเป็นคนให้ท่าเขาก่อนเสียอีก
ถ้าอย่างนั้น คนอย่างฉู่หงกวงใส่ใจอะไรที่สุด?
มีแค่อำนาจและตำแหน่งของเขาเท่านั้น
ท่าทางของโจวเหวินปินตอนนี้ก็เหมือนเจ้าเมืองที่ห่างไกลเมืองหลวง นั่งครองที่ดินศักดินา เหิมเกริมอำนาจทหาร
ส่วนในวงการบันเทิง สิ่งที่เป็นของต้องห้ามที่สุดคือผู้จัดการคนหนึ่งถือดี มีบริษัทในวงการมากมายเท่าไรที่ล่มจมในเวลาเพียงข้ามคืนเพราะผู้จัดการลาออก แล้วพานักแสดงในสังกัดออกไปด้วย…
ได้ยินเสียงเค้นของฝ่ายตรงข้าม นัยน์ตาโจวเหวินปินเผยความร้อนรน ตวาดอย่างมาดร้าย “เยี่ยไป๋! แกอย่ามายุแยงให้คนที่นี่เขาแตกคอกัน! ฉันเคยพูดอะไรแบบนั้นเมื่อไหร่?”
ต้องรู้ว่าเรื่องต้องห้ามที่สุดของฉู่หงกวงก็คือมีคนท้าทายอำนาจของเขาและอยู่เหนือการควบคุม
เป็นอย่างที่คิดไว้ สีหน้าของฉู่หงกวงในวิดีโอคอลเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
………………………………………
บทที่ 294 มั่นใจหรือว่าจะอยู่กับเขา?
แม้ว่าฉู่หงกวงจะรู้ดีว่าเยี่ยไป๋กำลังจงใจยุให้แตกคอกัน แต่คำพูดของเยี่ยไป๋เขาก็ยังคงฟังเข้าหูไปแล้ว
ช่วงนี้โจวเหวินปินเหิมเกริมมากเกินไปหน่อยจริงๆ ไม่เห็นประธานอย่างเขาคนนี้อยู่ในสายตาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาถึงขั้นได้ยินว่าโจวเหวินปินแอบติดต่อกับคนของเยี่ยกรุ๊ปเป็นการส่วนตัวอีกด้วย…
คิดถึงตรงนี้ สุดท้ายฉู่หวงกวงก็เอ่ยขึ้นว่า “เหวินปิน นายทำขั้นตอนโอนย้ายงานกับโอนสัญญาให้เรียบร้อย เรื่องนี้ฉันตัดสินใจแล้ว”
“แต่ว่า ประธานฉู่…”
สีหน้าของฉู่หงกวงมืดคล้ำลงทันที “ทำไม? ตอนนี้แม้แต่นักแสดงฉันก็ย้ายไม่ได้แล้วอย่างนั้นเหรอ? ถ้านายไม่ยอม ก็ยกกงซวี่ให้เขาไปซะ!”
ถึงขั้นพูดแบบนี้ออกมา เห็นได้ว่าฉู่หงกวงโมโหจริงๆ เข้าแล้ว
“จะเป็นไปได้อย่างไรครับ…ประธานฉู่ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น…ผม…ผมจะจัดการเดี๋ยวนี้…” เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นการยั่วโมโหฉู่หงกวงอีก โจวเหวินปินทำได้แค่ยอมถอย
ฉู่หงกวงแค่นเสียงเฮอะครั้งหนึ่ง แล้วตัดสายวิดีโอคอลไป
ดูท่าส่งเยี่ยไป๋ไปทางนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ให้โจวเหวินปินมีอำนาจที่กวงเย่าอยู่คนเดียวต่อไปไม่ใช่สัญญาณที่ดี หากโจวเหวินปินเกิดปันใจ ทั้งกวงเย่าคงแทบถูกล้วงเป็นโพรง
แต่ว่าเยี่ยไป๋คนนี้ยังอายุน้อยเลือดร้อนเกินไป วู่วามไร้สติ ดันทุรังจะเอานักแสดงที่ชื่อลั่วเฉินคนนั้นให้ได้เพื่อเอาชนะ มาเทียบกับโจวเหวินปินแล้วดูไม่ได้จริงๆ จะต่อกรกับโจวเหวินปินได้จริงเหรอ?
หลังจากวิดีโอคอลจบลง โจวเหวินปินโทรให้ผู้ช่วยและทนายมาจัดการเรื่องที่เกี่ยวกับการโอนย้ายนักแสดงอย่างกราดเกรี้ยว
ตอนเซ็นชื่อ สายตาที่จ้องเยี่ยหวันหวั่นนั้นแทบจะฉีกเป็นชิ้นๆ กินทั้งเป็น
สมควรตาย เป็ดที่จะเข้าปากอยู่แล้วกลับบินหนีไปทั้งอย่างนี้!
หลังจากจัดการโอนย้ายลั่วเฉินมาอยู่ในสังกัดเธอเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหวันหวั่นหยิบสัญญาโบกไปมา ริมฝีปากยกยิ้มแล้วยืนขึ้น “หัวหน้าโจว ขอบคุณมากครับ!”
เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จนกระทั่งเซ็นชื่อตัวเองลงบนสัญญาผู้จัดการใหม่ ลั่วเฉินยังคงไม่ได้สติกลับมา เห็นเยี่ยไป๋หันตัวเดินออกไปแล้วถึงรู้ตัว รีบตามไปทันที
เพิ่งจะขยับเท้า เสียงข่มขู่ของโจวเหวินปินก็ลอยมาจากทางด้านหลัง “ลั่วเฉิน นายคิดให้ดีนะ! อยากจะติดตามผู้จัดการไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมไร้ซึ่งเส้นสายคนนี้ไปจริงเหรอ?”
ลั่วเฉินชะงักฝีเท้า แต่เพียงแค่วินาทีเดียวเท่านั้น ก็เดินตามทิศทางที่เยี่ยไป๋จากไป…
เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น เสียงโจวเหวินปินทำลายข้าวของในห้องทำงานลอยออกมา
ในบริษัทมีเด็กที่มีคุณสมบัติและมีไหวพริบถมเถไป เขาอยากจะเล่นแบบไหนมีหรือจะไม่มี?
ลั่วเฉินคนนี้อายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว ไม่เหมือนตอนนั้นอีก ก็แค่เพราะเขาไม่ได้มาเลยคิดอยากจะเอามาให้ได้ ใครจะรู้ว่าไอ้หมอนี่กลับไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว!
ดี! ดีมาก! เขาอยากจะดูนักว่าติดตามเยี่ยไป๋และจะมีจุดจบที่ดีได้เหรอ!
สำนักงานชั้นสอง
ในเมื่อเป็นคนที่ฉู่หงกวงส่งมาด้วยตัวเอง เรื่องการให้เกียรติโดยผิวเผินก็ยังต้องทำให้เหมาะสม แม้ว่าห้องทำงานของเยี่ยหวันหวั่นไม่ได้กว้างขวางหรือหรูหราเหมือนของโจวเหวินปิน ข้าวของเครื่องใช้ก็ไม่เลว โอ่อ่าเรียบง่าย แสงไฟเพียงพอ
“จัดการตัวเองสักหน่อยเถอะ” เยี่ยหวันหวั่นหากล่องพยาบาลออกมาจากลิ้นชักสักอัน
ลั่วเฉินก้มศีรษะ ล้างแผลให้ตัวเองโดยไม่ร้องสักแอะ จากนั้นทำแผลอย่างง่ายๆ
เยี่ยหวันหวั่นดึงเก้าอี้ออกมา นั่งตรงหน้าโต๊ะทำงาน พิจารณาชายหนุ่มตรงหน้าเงียบๆ
จะเรียกว่าผู้ชาย เธอกลับรู้สึกว่าเรียกว่าหนุ่มน้อยจะใกล้เคียงกว่า
เพราะว่าลั่วเฉินในเวลานี้กับหนุ่มน้อยในรูปเมื่อสามปีก่อนที่เธอเห็นคนนั้นแทบจะไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย
……………………………………….