บทที่ 329 แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ผ่านไปไม่นาน งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้น พ่อบ้านหวงหมิงคุนพาแขกเหรื่อเข้าไปในห้องโถงงานเลี้ยง
ภายในโถงงานเลี้ยง มีชายชราผมขาวคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งประธาน นั่นคือเยี่ยหงเหวย
ถึงแม้เยี่ยหงเหวยจะอายุมากแล้ว แต่ร่างกายยังคงแข็งแรงอยู่ แววตามีชีวิตชีวา ท่าทางดูสง่าผ่าเผยอย่างที่ผู้มีอำนาจควรมี ท่าทางที่ทรงเกียรตินั้น ทำให้ทุกคนเคารพเกรงขาม
ตอนที่สายตากวาดมองไปเห็นเยี่ยเส่าถิงอยู่ท่ามกลางผู้คน คิ้วเยี่ยหงเหวยขมวดขึ้นมาทันที แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา ละสายตาออกไป ท่าทางเย็นชามาก
“คุณปู่!”
เยี่ยอีอีคล้องแขนกู้เยว่เจ๋อออกมาปรากฏตัวท่ามกลางสายตาของทุกคนด้วยความรวดเร็ว
เห็นความงามที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอมไปทั่วทั้งตัวของหญิงสาว ใบหน้าดูซีดเล็กน้อย พูดอวยพรเยี่ยหงเหวยหลายประโยคด้วยท่าทีที่ดูเป็นธรรมชาติและใจกว้าง
เยี่ยหงเหวยยิ้มมองไปทางเยี่ยอีอีด้วยความเอ็นดู ให้ทั้งสองคนนั่งลง
บนโต๊ะงานเลี้ยง มีแต่เครือญาติตระกูลเยี่ย ไม่มีคนนอก ส่วนเยี่ยหงเหวยนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานต้อนรับแขกคนสำคัญที่มีหน้ามีตาหลายคน
“พี่อีอี พี่สวยอีกแล้ว…” เหลียงซือหานเข้ามาใกล้เยี่ยอีอี แล้วนั่งลงข้างๆ เยี่ยอีอี มองใบหน้างดงามของเยี่ยอีอีด้วยสีหน้าอิจฉา
เยี่ยอีอียิ้มอ่อน สายตาอ่อนโยนมีแววขำ “ขอบใจจ้ะ”
ฟางซิ่วหมิ่นเห็นลูกสาวตัวเองกับเยี่ยอีอีใกล้ชิดกัน รู้สึกดีใจมาก เยี่ยอีอีคนนี้ตอนนี้ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่เป็นความหวังของตระกูลเยี่ยมากที่สุด ถ้าลูกสาวตัวเองสามารถเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีกับเยี่ยอีอีได้ ในภายภาคหน้า… ก็สามารถกอดตระกูลเยี่ยต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ได้แน่นยิ่งขึ้น!
ฟางซิ่วหมิ่นรีบพูด “ซือหาน ลูกจะต้องเลียนแบบพี่เยี่ยอีอีเป็นเยี่ยงอย่างนะ รู้ไหม?”
“แม่ แน่นอนอยู่แล้วค่ะ พี่อีอีเป็นไอดอลของหนูมาตลอด! ถ้าหนูเรียนรู้ได้เท่าครึ่งหนึ่งของพี่อีอี ชีวิตนี้ก็เพียงพอแล้ว” อยู่ข้างเยี่ยอีอี เหลียงซือหานน่ารักเป็นพิเศษ ปากก็หวานผิดปกติ
“ในบรรดาคนรุ่นหลังตระกูลเยี่ย คนที่เก่งกาจที่สุดก็คือพี่อีอีนี่แหละ” ปากฟางซิ่วหมิ่นก็พูดไป สายตากลับกวาดมองไปทางที่เยี่ยมู่ฝานอยู่
เยี่ยอีอีก็รู้สึกได้ถึงสายตาของฟางซิ่วหมิ่น เธอได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนโยน นอบน้อมมาก
เสียงที่ไม่ดังและไม่เบาเกินไป ดังเข้ามาในหูเยี่ยมู่ฝาน สีหน้าเขาเย็นชา ในบรรดาคนรุ่นหลังตระกูลเยี่ย นอกจากเยี่ยอีอีแล้ว ก็เหลือแค่เยี่ยหวั่นหวันและเขาเท่านั้น ฟางซิ่วหมิ่นพูดแบบนี้…
“อีอี ได้ยินเรื่องของเธอกับเยว่เจ๋อ ใกล้จะประกาศหรือยัง?” หลังจากนั้น ฟางซิ่วหมิ่นก็พูดอีก
ได้ยินคำพูด เยี่ยอีอีพยักหน้า สายตามองตรงไปทางกู้เยว่เจ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆ ในแววตาดูเต็มไปด้วยความอ่อนโยนไม่มีที่สิ้นสุด
กู้เยว่เจ๋อมองใบหน้าเล็กงดงามของเยี่ยอีอี แววตาเต็มไปด้วยความรัก ยิ้มแล้วพูดขึ้นมา “ใกล้แล้วครับ ที่จริงผมมีความคิดนี้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่อีอีเป็นห่วงความรู้สึกของคนรอบด้านมากเกินไป ถึงได้เลื่อนมาเป็นช่วงเวลานี้…”
คำพูดนี้ของกู้เยว่เจ๋อมีนัยแฝง คนที่รู้เรื่องพอฟังคำพูดเขาก็รู้แล้ว ว่าคนที่เยี่ยอีอีเป็นห่วงหมายถึงใคร
ตอนนี้ สัญญาแต่งงานของกู้เยว่เจ๋อและเยี่ยอีอียังอยู่ ถึงแม้ในสายตาคนอื่น เยี่ยหวั่นหวันเดิมทีเป็นมือที่สาม เสื่อมเสียชื่อเสียงแล้ว ตอนนี้อยู่อย่างเหลือทน ไม่ได้เป็นคนในโลกใบเดียวกันกับกู้เยว่เจ๋อนานแล้ว แต่ภายใต้ชื่อที่เป็นคู่หมั้น เธอกลับยังเกาะติดอยู่อย่างไร้ยางอาย
เป็นเยี่ยอีอีที่ยังคงนึกถึงความรู้สึกของพี่สาว เป็นห่วงความรู้สึกของเยี่ยหวั่นหวัน
ทั้งสองคนเทียบกันแล้ว เยี่ยอีอีและเยี่ยหวั่นหวันนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในสายตาของทุกคน
เยี่ยอีอีทำให้คนรักเอ็นดูมากเท่าไร เยี่ยหวั่นหวันก็ทำให้มีคนเกลียดมากเท่านั้น!
…………………………………………………
บทที่ 330 ทนไม่ไหว
“อีอีจิตใจดีเกินไป ที่ผ่านมาถึงได้โดนบางคนรังแกแบบนั้น สุดท้ายแล้ว พวกเธอสองคนต่างหากที่เหมาะเป็นคู่กัน เทียบกับคู่หมั้นคนก่อนของเธอ เด็กไร้ศีลธรรมเยี่ยหวั่นหวันคนนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าดีกว่ามากมายเท่าไร…” พูดมาถึงตรงนี้ ฟางซิ่วหมิ่นรู้สึกว่าจังหวะไม่เหมาะสม เลยรีบหยุดพูด
อย่างไรก็ตาม คำพูดที่เหยียบย่ำและอวดดีของฟางซิ่วหมิ่น รุนแรงเกินไป ครั้งนี้ไม่ต้องรอให้เยี่ยมู่ฝานเปิดปากพูด สีหน้าเหลียงหวั่นจวินเย็นชาขึ้นมา แม่คนนี้ที่คอยอดทนต่อคำพูดนินทามาตลอด หลังจากได้ยินคำพูดเมื่อกี้ ก็มองฟางซิ่วหมิ่นแล้วพูดด้วยความโกรธจัด “ฟางซิ่วหมิ่น เธอหมายความว่ายังไง!”
“พี่สาว หมายความว่ายังไงอะไร… ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย!” ฟางซิ่วหมิ่นเบะปาก ไม่รู้สึกว่าที่ตัวเองพูดมีอะไรไม่ถูกต้อง
“เมื่อกี้ที่เธอพูด ฉันได้ยินทั้งหมด!” ลมหายใจเหลียงหวั่นจวินถี่กระชั้น เธอทนไม่ไหวอีกต่อไป เยี่ยหวั่นหวันเป็นลูกสาวเธอ ถึงแม้จะมีตรงไหนที่ไม่ดี แต่ในโลกนี้ มีแม่คนไหนจะสามารถทนให้คนอื่นมาว่าลูกสาวตัวเองได้!
คนอื่นว่าพวกเขาสามีภรรยายังไง เหลียงหวั่นจวินทนได้หมด แต่ถ้ามาทำให้ลูกสาวของเธออับอายขายหน้า เธอทนไม่ได้!
“พี่ ซิ่วหมิ่นแค่พูดตรงไปหน่อย ที่จริงแล้วไม่ได้มีเจตนาร้าย…” เหลียงเจียหาวเห็นสีหน้าของเหลียงหวั่นจวินไม่ดี เลยรีบประนีประนอม
“พวกเธอ…ทำไมถึงทำแบบนี้ได้…” เหลียงหวั่นจวินมองน้องชายที่พยายามประนีประนอม เสียงสั่นเล็กน้อย
เยี่ยอีอีที่นั่งอยู่ข้างๆ มองดูเหลียงหวั่นจวินและฟางซิ่วหมิ่นทะเลาะกันด้วยสายตาเย็นชา บนใบหน้าที่สง่างาม กลับแอบเผยให้เห็นรอยยิ้ม
“พวกเราเป็นยังไง?!” ทันใดนั้น เหลียงซือหานลุกขึ้นยืนด้านหน้าเยี่ยอีอีที่นั่งอยู่ พวกคุณกินข้าวพวกเรา อยู่บ้านพวกเรา หลายปีมานี้ ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ฉันใจดีเลี้ยงพวกคุณ พวกคุณได้อยู่ข้างถนนนานแล้ว! ลูกสาวตัวเองศีลธรรมเป็นยังไง หรือว่าพวกคุณยังไม่รู้อยู่แก่ใจ? เดิมทีเยี่ยหวั่นหวันก็เป็นเด็กไร้ศีลธรรมอยู่แล้ว หน้าตาก็อัปลักษณ์ขนาดนั้น ไม่ใฝ่เรียน แล้วยังทำแบบนั้นอีก หรือว่าไม่ให้คนอื่นพูด…”
“ซือหาน ทำไมถึงว่าพี่หวั่นหวันของลูกนะ!” เหลียงเจียหาวจ้องเหลียงซือหานตาเขม็ง
“พ่อ! หนูไม่ได้พูดผิด อีกอย่าง หนูกับเธอก็รุ่นเดียวกัน ทำไมจะว่าเธอไม่ได้ ถ้าเธอเก่งจริง ให้เธอมารับพ่อแม่เธอไปเลยสิ ทุกวันมากินมาดื่มของบ้านพวกเราคิดยังไง พวกเราเลี้ยงพ่อแม่เธอมาหลายปีขนาดนี้ พ่อดูพวกเขารู้สึกสำนึกบุญคุณสักนิดบ้างไหม?
หลายปีมานี้ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา พ่อจะทะเลาะกับแม่เหรอ!” เหลียงซือหานไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว ในใจรู้สึกรังเกียจครอบครัวเยี่ยเส่าถิงมานานจนถึงขั้นสุดแล้ว
เหลียงเจียหาวมองดูเหลียงซือหานที่อยู่ข้างเยี่ยอีอี กับลูกสาวสุดที่รักของตัวเองแล้ว เขาทำอะไรไม่ได้จริงๆ
สุดท้าย เหลียงเจียหาวก็ถอนหายใจออกมา ไม่พูดอะไรอีก
เหลียงหวั่นจวินเผชิญหน้ากับคำตำหนิของเหลียงซือหาน ทำได้แค่หลับตาสองข้างลงอย่างเจ็บปวด ปวดร้าวในใจ
เยี่ยมู่ฝานกำหมัดสองมือแน่น มองดูทุกอย่างตรงหน้า ในใจรู้สึกกดดันจนถึงที่สุด
เวลานี้ แขกที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ส่งสายตามองมาทางนี้อย่างประหลาด
เหลียงซือหานมองไปทางเหลียงหวั่นจวินและอีกหลายคนที่เงียบลง ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูด “ถ้าเป็นพ่อแม่ฉัน ฉันจะไม่มีทางปล่อยพวกเขาโดยไม่รู้ไม่เห็นแน่นอน”
“ซือหาน แล้วลูกจะทำยังไง?” ฟางซิ่วหมิ่นตั้งใจโยนคำถาม
“ต้องขยันหาเงิน ให้พ่อแม่มีที่ปักหลัก ไม่ว่ายังไง ก็ไม่มีทางให้พ่อแม่อาศัยอยู่บ้านคนอื่นมาหลายปี รบกวนคนอื่นแบบนี้” เหลียงซือหานตอบอย่างมั่นใจ
…………………………………………………