บทที่ 391 เรื่องประหลาด
หลิวอิ่งพูดประโยคนี้จบ ก็ทำหน้าตาเย็นชาสะบัดแขนจากไป
สวี่อี้ยืนอยู่ที่เดิมกล่าวประนีประนอมด้วยความลำบากใจ “เอ่อคือว่า หลิวอิ่งก็เป็นคนแบบนี้ คุณหนูอย่าถือสาเลยนะครับ”
เยี่ยหวันหวั่นไม่พูดอะไร อย่างไรเสียเธอก็เตรียมใจไว้อยู่แล้ว เธอคิดไว้แต่แรกแล้วว่าต้องไม่มีใครเชื่อเธอ และรู้ว่าคำพูดเหล่านั้นของเธอจะทำให้คนอื่นมองเธออย่างไร
กลางดึก ณ ผับบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม
เดินทางติดต่อกันมาสองวันเต็ม บรรดาบอดี้การ์ดจึงมาผ่อนคลายที่ผับกันสักหน่อย
คนกลุ่มหนึ่งกำลังดื่มเหล้าพูดคุยกันอยู่
“เฮ้ย พวกนายได้ยินกันหมดแล้วใช่ไหม? หลายวันมานี้ผู้หญิงคนนั้นเอาแต่พูดกรอกหูนายท่านอยู่ตลอดเหมือนกับพวกโรคประสาท บอกว่านายท่านจะมีภัยพบเจอกับอันตราย ยุให้นายท่านอย่าเดินทางต่อ!”
“คิดว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์ด้านการทำนายจริงๆ หรือไง?”
“พูดไปเรื่อย! ก็แค่ปากอัปมงคลพูดถูกเรื่องของหัวหน้าก็เท่านั้น! เธอยังทักอีกว่าซ่งจิ้งจะมีเคราะห์ด้านความรัก? แล้วไงนี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ซ่งจิ้งก็ยังอยู่ดีเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ?”
ซ่งจิ้งแค่นเสียงเย็นชา “ผู้หญิงเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะอย่างที่หัวหน้าบอก ไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิด!”
คนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุยกัน เวลานี้เองก็มีฝรั่งผมบลอนด์เดินมายังคนกลุ่มนี้ แล้วเดินตรงมาอยู่ตรงหน้าของซ่งจิ้ง สายตาจับจ้องไปที่มีดเล่มหนึ่งที่ห้อยอยู่ที่เอวของซ่งจิ้ง พลางใช้ภาษาจีนที่นับว่าคล่องแคล่วเอ่ยว่า “ว้าวๆ หากว่าผมดูไม่ผิดล่ะก็ นี่คือมีดสมัยถังชื่อดังของจีนใช่ไหมครับ?”
เห็นว่าผู้ที่มาเป็นคนที่มีความรู้ ซ่งจิ้งจึงพูดคุยเป็นธรรมชาติอยู่หลายส่วน “ชาวต่างชาติอย่างคุณรู้เรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ?”
“ฮึๆ ผมไม่ได้ชอบแค่วัฒนธรรมของประเทศจีน แต่ยังชอบหนุ่ม….”
“ยังชอบอะไรนะ?”
“เปล่าๆ ” ชายหนุ่มยิ้มๆ พลางกล่าว “ที่บ้านของผมมีอาวุธของประเทศจีนอีกเยอะเลย อยากกลับไปดูกับผมไหม? บ้านผมอยู่ใกล้ๆ นี่เอง”
“จริงเหรอ? ไปสิ!”
……
เช้าวันถัดมา
เยี่ยหวันหวั่นแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน ลงตึกมากินอาหารเช้าเหมือนกับวิญญาณล่องลอย
ในเวลาเดียวกันนี่เอง ด้านในห้องอาหารของโรงแรม
บรรดาหนุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งกำลังห้อมล้อมชายหนุ่มผมเกรียนรูปร่างผอมเพรียว ตบบ่าของเขาผลัดกันเอ่ยปลอบใจ
“โถ่เอ้ย อย่ามัวหดหู่เลยนะ โชคดีที่พวกเราไปทันเวลา ไอ้โจรบ้ากามนั่นทำไม่สำเร็จไม่ใช่เหรอ?”
“ใครจะไปรู้ว่าไอ้ฝรั่งคนนั้นที่แท้ก็เป็นเกย์! ทั้งยังเจาะจงชอบผู้ชายจีนอีกด้วย! หลอกให้ซ่งจิ้งไปที่บ้ายโดยใช้อุบายว่าไปดูมีด!”
“ที่น่ารังเกียจที่สุดคือใส่ยานั่น! สยดสยองเกินไปแล้ว! หากว่าพวกเราไปช้าแค่ก้าวเดียว คงไม่อาจรักษาพรหมจรรย์ของซ่งจิ้งไว้ได้! ไอ้ฝรั่งนั่นถอดกางเกงแล้วด้วย หากทำจริงๆ…”
……
คู่กรณีอย่างซ่งจิ้งเส้นเลือดดำบนหน้าผากปูดขึ้นเต้นตุบๆ ยิ่งได้ยินก็ยิ่งมีสีหน้าเครียดคล้ำ ตวาดเสียงดังด้วยความโมโห “หุบปากกันให้หมด! ใครมันแม่งพูดถึงเรื่องเมื่อคืนอีก ฉันจะชกให้ฟันร่วงเต็มพื้น!”
“ได้ๆๆ ไม่พูดถึงแล้วๆ!” ทุกคนรีบรับคำอย่างไม่ได้จริงจัง
ตอนที่เยี่ยหวันหวั่นก้าวเข้ามาในห้องอาหารนั้น ก็ได้ยินลำดับเหตุการณ์ฉบับละเอียดพอดี บอกเลยว่ามัน…ยากจะอธิบายเป็นคำพูดสั้นๆ ได้
เยี่ยหวันหวั่นนั่งลงที่โต๊ะอาหารห่างจากโต๊ะอาหารของพวกซ่งจิ้งอยู่ไม่ไกล จากนั้นก็เรียกพนักงานมาสั่งอาหาร “น้องคะ รบกวนเสิร์ฟชาเก๊กฮวยให้ฉันที่หนึ่งค่ะ”
ได้ยินเสียงของเยี่ยหวันหวั่นดังผ่านหูมา ซ่งจิ้งที่เพิ่งจะมีสีหน้าผ่อนคลายลงบ้างก็ตกใจขึ้นทันที คอแข็งทื่อหันมองไปทางเยี่ยหวันหวั่น
บอดี้การ์ดคนอื่นๆ ต่างก็หันหน้าไปมองทางเยี่ยหวันหวั่นอย่างพร้อมเพรียงกัน แววตาแสดงออกถึงความตื่นตระหนกยิ่งกว่าครั้งก่อน
ทีแรกพวกเขาก็ยังไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร แต่พอได้เห็นเยี่ยหวันหวั่นแล้ว พลันนึกเรื่องประหลาด…มากๆ เรื่องหนึ่งขึ้นได้
…………………………………
บทที่ 392 ซือเยี่ยหานป่วยหนัก
หลายคนสุมหัวกันเอ่ยกระซิบกระซาบ “แม่เจ้า…ฉันเพิ่งนึกออก…ก่อนหน้านี้คุณหนูเยี่ยเคยดูดวงให้ซ่งจิ้ง ทักว่าเขาจะมีเคราะห์ด้านความรักไม่ใช่เหรอ? เคราะห์ด้านความรักที่เธอบอกคงไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้หรอกนะ?”
“ให้ตายสิ! เหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริงนะ! ในตอนที่เธอพูดนั้นก็มีสีหน้าแปลกๆ อีกทั้งยังบอกว่าเคราะห์กรรมครั้งนี้อันตรายมาก จะสร้างบาดแผลอย่างใหญ่หลวงให้กับซ่งจิ้ง!”
“แค่กๆ…อันตรายมากจริงๆ…บาดแผลใหญ่มากจริงๆ…ไม่ผิดเลยสักนิด…”
“แม่นอีกแล้วเหรอ? ร้ายกาจเกินไปแล้ว?”
“นี่มัน…เหมือนกับเห็นผีเลย! หากว่าคราวที่แล้วซ่งจิ้งเชื่อคุณหนูเยี่ย จะหลบพ้นจากเคราะห์กรรมนี้ได้หรือเปล่า?”
……
“ฉันขอโจ๊กเก็กฮวยน้ำตาลกรวด สาลี่หิมะตุ๋นเก็กฮวยพุทราแดงเก๋ากี้ ไก่หยองเก็กฮวย…”
ทุกครั้งที่เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยเมนูออกมา สีหน้าของซ่งจิ้งก็ยิ่งหมองคล้ำลงทุกที พร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ในใจยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ
ผู้หญิงคนนี้…หรือว่าเธอจะดูดวงเป็นจริงๆ ?
ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้มันจะบังเอิญเกินไปหน่อยแล้วหรือเปล่า?
“เลิกคุยไร้สาระได้แล้ว ยังไม่รีบไปเตรียมตัวกันอีก กำลังจะออกเดินทางแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้าย รอบคอบกันหน่อย!” เวลานี้ หลิวอิ่งเดินเข้ามา หางตาชำเลืองไปทางเยี่ยหวันหวั่นทีหนึ่ง
เรื่องของซ่งจิ้งเขาก็ได้ยินมาเช่นกัน มีความร้ายกาจอยู่จริงๆ แต่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นทำนายออกมาได้อย่างไร
ก็แค่บังเอิญเหมือนแมวตาบอดไปเจอหนูนอนตาย พูดจาเพ้อเจ้อเป็นเรื่องเป็นราว
เห็นหัวหน้ามา ทุกคนจากเมื่อครู่กระซิบกระซาบเซ็งแซ่พลันรีบแยกย้ายกันไปอย่างตื่นตกใจ
เยี่ยหวันหวั่นเห็นว่าจะต้องเดินทางต่ออีกแล้ว ช่วยไม่ได้ ไม่ก็ตัดสินใจใช้แผนการเดิม ใช้มารยาหญิงเพิ่มเติมต่อไปเพื่อถ่วงเวลาการออกเดินทางอีกสักหน่อย
ทางด้านนี้เธอกำลังรวบรวมสติปัญญาทั้งหมดเพื่อคิดหาวิธี จึงไม่ทันได้สนใจว่าเวลาได้ผ่านไปทีละนิดๆ ทางด้านสวี่อี้ก็ไม่ได้มาแจ้งเวลาออกเดินทางกับเธอ
“เกิดอะไรขึ้น?” มีความสงสัยปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าของเยี่ยหวันหวั่น
ด้วยความเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องเวลาของซือเยี่ยหาน ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้…
ชาติก่อนเธอรู้เพียงว่าเกิดเรื่องขึ้นในครั้งนี้แล้ว แต่รายละเอียดว่าเกิดเวลาไหนนั้นเธอก็ไม่แน่ใจ ส่วนรายละเอียดเชิงลึกอื่นๆ ก็ไม่รู้อะไรเลย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าตอนนี้มีเรื่องอะไรมาทำให้การเดินทางล่าช้าไป
รออยู่สักพักหนึ่ง ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ และเธอโทรหาซือเยี่ยหานทางนั้นก็ไม่มีการตอบรับ เยี่ยหวันหวั่นเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติแล้ว
หรือว่าจะต่างไปจากที่เธอคาดคิด ไม่ได้ถูกลอบโจมตีระหว่างทางเหรอ? แต่เป็นที่โรงแรมแทน?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยหวันหวั่นก็ลุกพรวดแล้ววิ่งกลับขึ้นตึกไป
สถานที่ประชุมเมื่อคืนของพวกเขาก็ไม่มีใครอยู่ สวี่อี้ก็ไม่ได้อยู่ที่ห้อง
เธอจึงวิ่งกลับไปยังห้องสูทของเธอและซือเยี่ยหานอีกครั้ง เพิ่งจะเข้าไปใกล้ก็เห็นคนยืนห้อมล้อมประตูอยู่ แต่ละคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติ
“เกิดอะไรขึ้น?” ได้เห็นสีหน้าของคนเหล่านั้น หัวใจของเยี่ยหวันหวั่นพลันเต้นโครมครามอย่างประหลาด
ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งเอ่ยตอบ “เมื่อครู่ตอนที่พวกเรากำลังปรึกษางานกันอยู่…จู่ๆ อาการป่วยของบอสก็กำเริบ…หมดสติไป…”
“คุณพูดว่าอะไรนะ?!” หวันหวั่นหน้าเสีย
เวลาเดียวกันนี้ภายในห้องนอนของห้องสูท
คุณหมอจากสวนจิ่นหยวนที่ร่วมเดินทางมาด้วยในครั้งนี้ กำลังตรวจร่างกายให้ซือเยี่ยหานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“สถานการณ์ไม่ค่อยดี อาการป่วยของคุณชายเก้าเกิดขึ้นกระทันหันเกินไป อีกทั้งอันตรายมาก!”
“อาการดีอยู่แท้ๆ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเป็นแบบนี้ไปได้?” สวี่อี้ร้อนใจเป็นที่สุด
“เห้อ อาการดีอยู่แท้ๆ อะไรกัน? สุขภาพของคุณชายเก้าเดิมทีก็แย่อยู่แล้ว ฉันเคยเตือนพวกนายตั้งหลายครั้ง แต่ว่าคุณชายเก้ารวมถึงพวกนาย ไม่เคยเก็บคำพูดของฉันมาใส่ใจเลยต่างหาก!
ก่อนหน้านี้ที่อาการของคุณชายเก้าไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนเท่าไร ดูเป็นปกติไม่ต่างไปจากคนทั่วไป ทว่าครั้งนี้คงเป็นเพราะร่างกายถึงจุดวิกฤตแล้ว จึงแสดงผลออกมาอย่างเลี่ยงไมได้ก็เท่านั้น!”
…………………………………