บทที่ 569 ห้ามดูถูกอาจารย์
เวลานี้ ตรงที่นั่งผู้ชม ใบหน้าเยี่ยหวันหวั่นฉายแววเย็นชา “สวี่อี้ คนแบบนี้ก็คู่ควรจะเป็นบอดี้การ์ดลับเหรอ เขาใช้วิธีแบบนี้ หรือว่าไม่ถือว่าผิดกฎ?”
สำหรับเรื่องนี้ สวี่อี้ส่ายหน้าให้ “ถึงแม้จะด้วยเหตุผลนี้…แต่ว่าการชิงตำแหน่งบอดี้การ์ดลับ มีกฎแค่ว่าไม่อนุญาตให้ใช้ปืนและลอบโจมตี…”
‘ผัวะ’ เสียงร่างกายกระแทกกับพื้นสังเวียนดังขึ้นมา สืออีโดนชกจนล้มลงไปที่ขอบสังเวียนแล้ว
หยวนเซิงหัวเราะเบาๆ พลางเดินเข้าไป ก่อนใช้ฝ่าเท้าออกแรงกระทืบไปบนหน้าสืออี “ยอมแพ้ไหม? ท่านหัวหน้าใหญ่”
สืออีใช้แขนพยุงตัวขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ลุกขึ้นมาอย่างโซเซอีกครั้ง เหงื่อไหลลงมาบดบังการมองเห็น ภาพด้านหน้าจึงเบลอไปหมด
“หาเรื่องตายจริงๆ!” หยวนเซิงยิ้มเย็นชา วินาทีต่อมาเสียง ‘สวบ’ ดังขึ้นกลางอากาศ ห้านิ้วที่เหมือนกรงเล็บพุ่งไปยังนิ้วของสืออีที่สวมแหวนของหัวหน้าทีมแล้วจึงหักกลับอย่างรวดเร็ว…
“อ๊ากๆๆ” เสียงร้องที่เสียดแทงใจของสืออีดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงกระดูกหัก
มีเสียงดัง ‘แกรก’ แหวนสีเงินตกลงบนพื้นหินอ่อนบนสังเวียน ส่งเสียงดังกังวาน
“หัวหน้า!”
“หัวหน้าสืออี!”
“หยวนเซิง! ไอ้สารเลวนั่น!”
เหล่าบอดี้การ์ดในทีมย่อย 1 ด้านล่างโกรธจนตาแดงก่ำไปหมด แต่เพราะกฎ เวลานี้จึงไม่สามารถพุ่งขึ้นไปห้ามบนสังเวียนได้
ส่วนบอดี้การ์ดคนอื่นสีหน้ากลับเฉยเมย ตัวสืออีสู้คนอื่นเขาไม่ได้เอง จะโทษใครได้ ถึงแม้ตายอยู่บนสังเวียน ก็ได้แค่โทษตัวเองที่ความสามารถไม่มากพอ
หยวนเซิงก้มตัวลงหยิบแหวนวงนั้นขึ้นมา สายตาที่มองไปทางสืออีเต็มไปด้วยความดูถูกและเยาะเย้ย “จิ๊ๆ ว่าแล้วว่าเป็นพวกอ่อนแอ แม้แต่แหวนนี้ยังรักษาไว้ไม่ได้เลย แล้วยังคิดจะเป็นหัวหน้าใหญ่อีก?
เพราะสภาพจิตใจโดนกระตุ้นรุนแรงและร่างกายที่บาดเจ็บ ทั้งตัวเขามาถึงจุดวิกฤตที่จะรับได้แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังฝืนลุกขึ้นมาไม่ยอมล้มลงไป ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
หยวนเซิงสวมแหวนวงนั้นบนนิ้วตัวเองอย่างใจเย็น เอ่ยอย่างผู้อยู่เหนือกว่า “เฮ้อ ท่านหัวหน้าใหญ่ ท่านเป็นอะไรไปครับ ก่อนการแข่งขันยังมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่เลย บอกว่าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ที่เก่งกาจ จะต้องเอาชนะทุกคนได้แน่ไม่ใช่เหรอ ฮ่าๆ ผลเป็นไงล่ะ เศษสวะที่ผู้หญิงสอน! เป็นละครที่สนุกจริงๆ!”
สืออีที่คลานอยู่บนพื้นหายใจรวยริน สองมือจิกลงไปในฝ่ามือ ใช้แรงทั้งหมดที่มีตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “หุบ…ปาก…นาย…ดูถูกฉันได้…ฉันเรียนได้ไม่ดี…ไม่เกี่ยวกับคนอื่น…แต่…ห้ามดูถูกอาจารย์ฉัน…ขยะอย่างนาย…อาจารย์ฉันใช้แค่มือเดียว…ก็เอาชนะนายได้แล้ว…”
“ฮ่า…ฮ่าๆๆ…น่าขำฉิบหาย! พวกนายได้ยินกันแล้วใช่ไหม หัวหน้าใหญ่ของพวกเราบอกว่าปรมาจารย์ที่สอนหมัดผู้หญิงให้ใช้แค่มือเดียวก็เอาชนะฉันได้ล่ะ ฉันกลัวจังเลย! นายก็เรียกเธอมาสิ!”
ด้านล่างสังเวียนหัวเราะกันเสียงดัง คำพูดนี้ของสืออีน่าตลกจริงๆ เกรงว่าช่วงนี้จะโดนผู้หญิงคนนั้นหลอกให้หลงแล้วล่ะมั้ง?
“หึๆ จบสิ้นแล้ว ท่านหัวหน้าใหญ่…” สายตาหยวนเซิงมีเจตนาจะฆ่าที่น่าหวาดกลัว กำหมัดชกเข้าไปตรงหน้าอกสืออีอย่างหนักเหมือนกระสอบทราย
และในเวลานี้สืออีเปิดช่องโหว่ไว้โล่งโจ้ง ไม่มีกำลังที่จะต่อสู้กลับแล้ว…
วินาทีต่อมา ทุกคนเห็นแค่อะไรแวบผ่านเบื้องหน้า มีของบางอย่างปรากฏขึ้นบนสังเวียนด้วยความเร็วสูง
ต่อมาด้วยเสียง ‘ผลัวะ’ ที่ทำให้คนรู้สึกขนลุกซู่
นั่นคือ…เสียงของสองหมัดชกประสานกัน
ตอนที่ปะทะกับกำปั้นเล็กๆ นั้น ทั้งตัวของหยวนเซิงสะเทือนจนถอยหลังไปหลายก้าวติดกัน สีหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจแปรเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อทันที…
ร่างบอบบางของเยี่ยหวันหวั่นยืนไม่ขยับอยู่บนสังเวียน ตามองไปยังชายหนุ่มที่ร้องเรียกให้ตัวเองออกมา แววตาไม่มีความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อพูดอย่างเย็นชาออกมาสี่คำ “ตามประสงค์ของนาย”
………………………………………………………………
บทที่ 570 ไสหัวลงไปจากสังเวียน
“คุณหนูหวันหวั่น!”
เห็นเยี่ยหวันหวั่นจู่ๆ พุ่งขึ้นไปบนสังเวียน สวี่อี้ตกใจจนเหงื่อท่วมตัว บอดี้การ์ดด้านล่างต่างโกลาหลกันใหญ่
“อาจารย์…ขอโทษครับ…” สืออีจิกฝ่ามือ ก้มศีรษะลงต่ำ
เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้ว พยุงสืออีขึ้นมา “คนที่ควรพูดขอโทษคือฉัน”
ด้วยข้อจำกัดของตัวเอง เธอเลยไม่สามารถสอนเขาได้ดี และยิ่งไม่รู้ปมในใจของสืออีได้ทันเวลาอีก
เสียงเรียกอาจารย์นี้ ทำเอาเธอรู้สึกละอายใจ
หยวนเซิงรับรู้ได้ถึงความเจ็บชาที่ลามมาจากหมัด นัยน์ตามืดมัว
ที่เล่าลือกันมานั้นไม่ผิดเลย พละกำลังของผู้หญิงคนนี้ไม่น้อยจริงๆ
หยวนเซิงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าโอหัง พูดเสียงเย็นชาว่า “คุณหนูเยี่ย ขอโทษที่ผมพูดจาล่วงเกิน ที่นี่คือสังเวียนท้าประลองของบอดี้การ์ดลับ ไม่ใช่บาร์หรือร้านค้าที่เดินเข้าออกได้ตามอำเภอใจ แหกกฎได้ตามใจชอบ”
ได้ยินคำพูดของหยวนเซิง เหล่าบอดี้การ์ดด้านล่างต่างก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ การท้าประลองชิงตำแหน่งบอดี้การ์ดลับ ถึงแม้ว่าจะเป็นคุณผู้หญิงของบ้านก็ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้ตามอำเภอใจ อีกทั้งตอนนี้เยี่ยหวันหวั่นก็ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนั้นจริง
เยี่ยหวันหวั่นเหลือบมองหยวนเซิงด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยด้วยสีหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ “กฎ? ถ้าฉันไม่ได้หูฝาด เมื่อกี้นายเป็นคนเรียกฉันมาเอง ส่วนฉันก็แค่ทำตามความต้องการของนายเท่านั้น ถ้าจะทำผิดกฎ คนที่ผิดกฎไม่ควรเป็นนายหรือไง”
หยวนเซิงตอบกลับทันที “ผมพูดเมื่อไรที่ให้คุณ…”
ปรากฏว่าพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเงียบลงทันที
ดูเหมือนเขา…จะพูดคำพูดนี้จริง…
บ้าเอ๊ย เมื่อกี้อยากจะจี้ใจดำสืออี เขาก็แค่เผลอพูดออกไปเท่านั้นเอง ปรากฏว่ากลับโดนผู้หญิงคนนี้เอามาเป็นข้ออ้างเสียได้
บอดี้การ์ดด้านล่างได้ยินก็อึ้งไป อดมองหน้ากันไม่ได้ คำพูดผู้หญิงคนนี้ถึงแม้ว่าจะเถียงอย่างไม่มีเหตุผล แต่ก็ไม่สามารถโต้กลับได้
เยี่ยหวันหวั่นให้เจ้าติดอ่างประคองสืออีลงสังเวียนไป ก้นบึ้งนัยน์ตาเย็นเยือก พูดเข้าประเด็นไม่เยิ่นเย้ออีก “ลุยมาเลย!”
หยวนเซิงหัวเราะเสียงต่ำเบาๆ “หึ กระผมไม่กล้า ถ้าคุณบาดเจ็บขึ้นมา ให้ตายเป็นหมื่นครั้งผมยังไม่พ้นโทษเลย! ไม่กล้าหรอก!”
ใบหน้าเยี่ยหวันหวั่นไม่แสดงอารมณ์อะไรทั้งสิ้น “ถ้าไม่กล้า ก็ไสหัวลงไปจากสังเวียนซะ!”
“คุณ…”
หยวนเซิงโมโหขึ้นมาทันที จากนั้นสีหน้าก็เต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและดูถูก
ผู้หญิงคนนี้ไม่มีสมองแบบนี้เลย หาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ แม้แต่คำพูดโง่ๆ น่าขำยังกล้าพูดออกมา
ช่างเหมือนสืออีจริงๆ โดนจี้ใจดำหน่อยก็เสียสติแล้ว
ไม่ผิดคาด เป็นขยะแบบไหนก็สั่งสอนขยะออกมาได้แบบนั้น
พวกบอดี้การ์ดด้านล่างสังเวียนได้ยินคำพูดโง่เขลาและจองหองของเยี่ยหวันหวั่น ก็พากันทำสีหน้ารังเกียจและดูถูก
“ผู้หญิงคนนี้สมองเพี้ยนไปแล้วหรือไง? ครั้งที่แล้วที่บาร์ ทุกคนก็แค่ยอมถอยให้เธอเท่านั้น เธอยังคิดว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์ขั้นเทพ สู้ชนะทุกคนแพ้ราบคาบเหรอ? ทั้งรับลูกศิษย์ ทั้งเลือกหัวหน้าใหญ่บอดี้การ์ดลับต่อหน้าทุกคน! ใครให้ความกล้าเธอมาเนี่ย?”
“โดนยอจนแยกแยะทิศเหนือใต้ไม่ออกแล้วมั้ง! มิน่าถึงได้สอนสืออีออกมาเป็นเศษสวะแบบนี้!”
“วุ่นวายไร้เหตุผลจริงๆ! ผู้หญิงประเภทนี้จะเอามาเทียบกับคุณหนูรั่วซีได้ยังไง”
…..
หยวนเซิงถอนหายใจ มองไปทางสวี่อี้อีกด้านด้วยสีหน้าลำบากใจ “พ่อบ้านสวี่ คุณหนูเยี่ยทำแบบนี้ ผมลำบากใจมากจริงๆ ยังไงให้คุณเป็นคนตัดสินดีกว่า!”
สีหน้าสวี่อี้มืดดำเหมือนก้นหม้อ เวลานี้ก็ปวดหัวไม่น้อยเหมือนกัน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำได้เพียงส่งสายตาขอร้องไปทางเยี่ยหวันหวั่น
……………………………………………………….