บทที่ 235 ทำไมนายถึงน่ารำคาญขนาดนี้
เยี่ยหวันหวั่นโดนความคิดสมองกลับของพวกวิปริตบางคนทำให้ถึงกับช็อค
เธอพูดขนาดนี้แล้ว เขายังบอกว่าเฝ้ารออยู่?
แล้ว เธอจะยังพูดอะไรได้อีก…
เยี่ยหวันหวั่นไม่คาดหวังที่จะสนทนากับซือเยี่ยหานต่อแล้ว ไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าอย่างสุดซึ้งให้กับเค้กที่ถูกเธอบีบจนเละก้อนนั้น
ทำไมเธอถึงได้ทำกับของกินเช่นนี้ได้! ปวดใจ!
แต่คนที่เป็นตัวการกลับมัวแต่ร้องโวยวายจะลงรถให้ได้
สวี่อี้มองกระจกหลังด้วยความลำบากใจขอคำชี้แนะ “นายท่าน? นี่…”
ซือเยี่ยหานเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “โทรหาพี่ใหญ่ บอกว่าเย็นนี้เซี่ยเซี่ยไม่กลับบ้าน”
สวี่อี้ “ครับ!”
ซือเซี่ยได้ยินก็ขนลุกซู่ เคาะกระจกรถอย่างแรง “ซือเยี่ยหาน! นายคิดจะทำอะไรฉัน! ปล่อยฉันลงรถ! ฉันจะกลับบ้าน!”
ซือเยี่ยหานนัยน์ตาเย็นชาแฝงไปด้วยคำเตือน “วันนี้อาจารย์โทรมาบอกว่าแจกแบบฟอร์มสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาแล้ว”
“แล้วยังไง เรื่องของผม อาไม่ต้องยุ่ง!” ซือเซี่ยตอบเสียงเย็นชา
ซือเยี่ยหานไม่ได้ถือสาคำพูดของซือเซี่ย ถามต่อไปว่า “เตรียมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหน?”
“ก็บอกไปแล้วว่าอาไม่ต้องยุ่ง! ผมไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัยแล้วได้ไหม?” ซือเซี่ยพูดอย่างรำคาญ
ซือเซี่ยพยักหน้า “ได้”
ซือเซี่ยได้ยินก็หันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ “จริงเหรอ?”
ซือเยี่ยหานมองมองเด็กสาวในอ้อมแขนของเขาที่กำลังเสียใจกับเรื่องเค้ก “อย่าทำเลย กลับไปฉันจะซื้อให้เธอใหม่”
ปลอบเยี่ยหวันหวั่นแล้ว ก็พูดกับซือเซี่ยต่อ “ไม่อยากเรียนก็แต่งงาน”
“แต่ง…แต่งงาน?!” ซือเซี่ยเหมือนถูกฟ้าผ่าไม่อยากจะเชื่อ “ซือเยี่ยหาน อายังมีความเป็นคนอยู่ไหม! ผมยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยนะ! อาก็รีบร้อนอยากจะขายผมออกไปขนาดนี้แล้ว!”
การแสดงออกของซือเซี่ย ทำเหมือนกับเป็นองค์หญิงน้อยที่โดนเสด็จพ่อใจร้ายส่งไปแต่งงาน
ซือเยี่ยหานเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย “งั้นก็เรียนต่อ หากครั้งนี้สอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงไม่ได้ อีกหนึ่งเดือนให้หลัง ฉันจะจัดงานแต่งให้นาย”
ซือเซี่ยหัวร้อน F U C K!
แก้แค้น! ผู้ชายคนนี้แก้แค้นกันเห็นๆ!
เยี่ยหวันหวั่นมองซือเซี่ยผู้โชคร้าย มีความสุขที่เห็นเขาเป็นทุกข์ ใครบอกให้นายปากเสียล่ะ! ใครให้นายติดรถฟรีๆ!
ณ สวนจิ่นหยวน
เป็นเช่นนี้เอง เดิมทีซือเซี่ยคิดจะติดรถมาแกล้งซือเยี่ยหานให้ขยะแขยงเล่น กลับโดนบังคับพากลับบ้านมาด้วย แถมยังโดนบังคับให้กรอกแบบฟอร์มสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีก
บนโต๊ะหนังสือ เยี่ยหวันหวั่นและซือเซี่ยต่างฟุบอยู่คนละด้าน มีซือเยี่ยหานคอยดูอยู่ข้างๆ เหมือนกับเป็นอาจารย์คุมสอบ
ซือเซี่ยโดนซือเยี่ยหานบังคับให้กรอกมหาวิทยาลัยเมืองหลวง
เยี่ยหวันหวั่นเห็นจุดจบของซือเซี่ยแล้ว ก็เกิดความรู้สึกหัวอกเดียวกัน พลันเอ่ยถามด้วยความประหม่า “ถ้างั้น ฉันอยากสอบเข้าคณะนิเทศน์ศาสตร์สาขาประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง ได้ไหมคะ?”
“ไกลเกินไป” ซือเยี่ยหานปฏิเสธอย่างที่คาดไว้
เยี่ยหวันหวั่นทำหน้าอยากจะร้องไห้พลางกล่าว “ก็ไม่ได้ไกลขนาดนั้น อย่างไรแล้วก็อยู่ในตัวเมือง ห่างจากสวนจิ่นหยวนไปแค่สองสามชั่วโมงไม่ใช่เหรอ?”
เห็นซือเยี่ยหานไม่มีท่าทีจะเปลี่ยนความคิดเลยสักนิด เยี่ยหวันหวั่นก็พูดอย่างตื่นเต้น “คุณไม่ได้อยากเห็นฉันกลายเป็นหญิงที่ทรงอิทธิพลเหรอคะ? คุณทำแบบนี้ไม่ยอมให้ฉันทำอันนี้ ไม่ยอมให้ฉันทำอันนั้น แล้วเมื่อไรฉันจะโตสักที? ตอนนี้แค่เข้ามหาวิทยาลัย แล้วต่อไปฉันจะทำงาน ฝึกงานจะทำอย่างไร? คุณก็จะไม่ยอมให้ฉันไปเหรอ? แล้วแบบนี้เมื่อไรฉันจะสามารถทำในสิ่งที่ต้องการกับคุณทุกคืนได้ล่ะ!”
ซือเซี่ยบอก “ผมไปได้หรือยัง?”
ซือเยี่ยหานมองเธอคราหนึ่ง “ไม่ต้องเป็นผู้ทรงอิทธิพล ตอนนี้เธอก็ทำได้”
ซือเซี่ยถาม “สรุปว่าพวกอาได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า?”
เยี่ยหวันหวั่นโมโหคว้ามือของซือเยี่ยหานขึ้นมากัด “ทำไมคุณถึงน่ารำคาญขนาดนี้เนี่ย!”
…………………………………
บทที่ 236 คนเขาชอบคุณที่สุดแล้ว
ภายใต้ความโมโหระคนเศร้าใจที่กลับบ้านไม่ได้ ซือเซี่ยตัดสินใจทำเรื่องบางอย่าง เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยหวันหวั่น รีบพยักหน้าสนับสนุน “ถูกต้องๆ! เธอเห็นแล้วใช่ไหม! เขาก็น่ารำคาญแบบนี้! นี่ก็ไม่ให้ทำ นั่นก็ไม่ให้ทำ! ไม่มีใครน่ารำคาญเท่ากับเขาอีกแล้ว!”
ดวงตาของซือเยี่ยหานประกายความหนาวเย็นของโลกใต้บาดาลมองไปทางซือเซี่ย
“เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว…” ซือเซี่ยจ้องสายตานั้นแล้วพูดต่อ ทว่าน้ำเสียงกลับเบาลงเรื่อยๆ
ซือเยี่ยหานไม่ได้สนใจเขาอีก หางตาเหล่มองรอยกัดบนหลังมือ จากนั้นยกหนังตาขึ้น สายตาค่อยๆ ทอดมองไปบนร่างกายของเยี่ยหวันหวั่น
บรรยากาศเงียบสงัดอย่างประหลาด
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดซือเยี่ยหานก็เอ่ยขึ้น “ฉันปล่อยเธอไปได้ เริ่มตั้งแต่วันนี้ก็ยังได้ ปล่อยให้เธอทำในสิ่งที่เธออยากทำ ไม่จำกัดอิสระภาพใดๆ ของเธอ ไม่ยุ่งเรื่องใดๆ ของเธอ เว้นแต่…”
เยี่ยหวันหวั่นได้ฟังก็ยิ่งไม่อยากจะเชื่อ เมื่อฟังมาถึงสองคำท้ายสุด ยิ่งบีบนิ้วมืออย่างตื่นเต้น “เว้นแต่อะไร?”
ซือเยี่ยหาน “ข้อแรก เธอมาขอร้องฉันเอง”
เยี่ยหวันหวั่นครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ทักขึ้นมาเสียงเบา “งั้นคุณจะรับประกันได้ไหมว่าจะไม่ตุกติก?”
ซือเยี่ยหานชำเลืองตามองเธอ สีหน้าแบบนั้นแสดงออกชัดเจนว่าไม่มีทางเล่นตุกติก “ฉันรับประกัน”
เยี่ยหวันหวั่นมองซือเยี่ยหานด้วยความสงสัยไม่หยุด ในเมื่อซือเยี่ยหานรับปากแบบนี้แล้ว ก็คงไม่หลอกเธอแน่
แต่นี่เขาหมายความว่าอะไร?
ดูถูกเธอเหรอ? คิดว่าเธอพึ่งตัวเองจะต้องล้มเหลวไม่เป็นท่าแล้วซมซานกลับมาขอร้องเขางั้นเหรอ?
“ข้อสองล่ะ?” เยี่ยหวันหวั่นกลั้นใจถามต่อ
ซือเยี่่ยหาน “ข้อสอง บาดเจ็บ”
ได้ยินคำตอบนี้ เยี่ยหวันหวั่นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องนี้…ระดับของการบาดเจ็บคืออะไร?”
สำหรับซือเยี่ยหานแล้ว เธอก็คือทุกอย่างที่เขาสนใจที่สุด แน่นอนว่าไม่มีทางอนุญาตให้เธอบาดเจ็บเสียหายใดๆ เลย
ซือเยี่ยหานตอบหน้าตาเฉย “ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของฉัน”
เยี่ยหวันหวั่นไม่มีคำจะพูด “ความเห็นเฉพาะตนเกินไปแล้ว…ไม่ใช่ว่าทุกอย่างต้องให้คุณเป็นคนตัดสินใจ…หรือว่าฉันแค่ผิวแตก หนังถลอก โดนแมลงกัดต่อยก็นับว่าบาดเจ็บงั้นเหรอ?”
โว้ย นายเป็นพระเจ้าหรือไง ถึงได้ขึ้นอยู่กับคำพูดของนาย…
เยี่ยหวันหวั่นพยายามกดความรู้สึกตื่นเต้น สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วพูดว่า “ขอเพียงฉันพิสูจน์ว่าฉันมีความสามารถจัดการทุกอย่างได้ และมีความสามารถปกป้องตัวเองได้ก็ใช้ได้แล้วใช่ไหม?”
ซือเยี่ยหานสายตาเย็นเยียบจ้องมองเธอ “หากเธอทำไมได้ เช่นนั้นทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เธอไม่มีโอกาสครั้งที่สอง”
เยี่ยหวันหวั่นกัดฟัน “ได้! คำไหนคำนั้น!”
สักวันเธอจะต้องพลิกบทมาเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเองให้ได้!
ซือเยี่ยหานเห็นนัยน์ตาของหญิงสาวเปล่งประกายระยิบระยับดั่งดวงดารา “ยังมีข้อสาม”
“ยังมีข้อกำหนดอะไรอีก?” เยี่ยหวันหวั่นถามอย่างระวังตัว
เธอรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ง่ายขนาดนี้!
ซือเยี่ยหาน “ห้ามยั่วยวนเพศตรงข้าม”
เยี่ยหวันหวั่น “…”
นายช่วยดูหน้าฉันก่อนแล้วค่อยพูดอีกครั้ง?
นี่มันยากเกินไปหน่อยแล้ว!
ซือเยี่นหาน “ข้อสี่ ห้ามทะเลาะวิวาท”
เยี่ยหวันหวั่น “…”
กรุณาดูใบหน้าอ่อนแอของฉันแล้วพูดใหม่อีกครั้ง? ฉันดูเหมือนคนที่ชอบทะเลาะวิวาทเหรอ?
ซือเยี่ยหาน “ข้อสุดท้าย ห้ามดื่มเหล้า”
เยี่ยหวันหวั่น “…”
ทำไมถึงยกเรื่องห้ามกินเหล้าออกมาเป็นข้อสุดท้ายด้วย?
ชาติก่อนเวลาเธออารมณ์ไม่ดีก็จะดื่มเป็นประจำ เพียงแต่ทุกครั้งดื่มเมาก็จะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง หรือว่าเธอคอไม่แข็ง?
สุดท้าย ก็พูดมาประโยคหนึ่ง “เงื่อนไขที่ฉันรับปากเธอมาทั้งหมดข้างต้น ดูที่อารมณ์ของฉัน”
ดู…ดูที่อารมณ์?!
เยี่ยหวันหวั่นพูดอะไรไม่ออกทั้งนั้น ดังนั้นความหมายก็คือ ฝ่าบาทหากว่าพระองค์อารมณ์ไม่ดี เรื่องที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็เป็นศูนย์เหรอเพคะ?
มีเหตุผลกันไหมเนี่ย?
ฉันหงายไพ่สุดท้ายก็มีอย่างเดียว…จุ๊บๆ…
เยี่ยหวันหวั่นโผเข้าไปจุ๊บซือเยี่ยหานทีหนึ่ง “ได้ค่ะๆ ! คุณพูดอะไรก็ได้ทั้งหมด! รู้อยู่แล้วว่าคุณเป็นคนดีที่สุด! คนเขาชอบคุณที่สุดเลยล่ะ! คนเขาจะเป็นเด็กดีไม่ดื่มเหล้าไม่ทะเลาะวิวาท คนเขาจะยั่วก็มีแต่จะยั่วคุณน่ะสิ! อีกอย่างคนเขาจะกวนโมโหคุณทำให้คุณอารมณ์เสียได้อย่างไรกัน?”
เยี่ยหวันหวั่นคนที่เพิ่งกัดมือเขาพูดว่าเขาน่ารำคาญเมื่อครู่พลันเปลี่ยนท่าทางไปหนึ่งร้อยแปดสิบองศา
แม้เงื่อนไขของซือเยี่ยหานจะพิศดารมากเกินไป แต่เมื่อเทียบกับการที่ในที่สุดก็มีความกล้าไปทำสิ่งที่อยากทำ เรื่องทุกอย่างก็ไม่ใช่ปัญหา
เดิมทีเธอเตรียมจะหนึ่งร้องไห้ สองโวยวาย สามผูกคอตายแล้ว ตอนนี้เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรแล้วการประจบของเธอ ไม่สิต้องพูดว่าสกิลโอนอ่อนคล้อยตามไม่ได้โม้เลยจริงๆ
ซือเซี่ยที่ปลุกปั่นอยู่ด้านข้างล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงถึงกับตะลึงพูดไม่ออก
ทำไม…
ทำไมผลลัพธ์ถึงได้กลายเป็นแบบนี้!
…………………………………