บทที่ 867 จุดสมดุลในโลกของซือเยี่ยหาน
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก
เอาเถอะ…
“ถ้าอย่างนั้น ความหมายคุณคือสภาพเขากลับมาเป็นปกติแล้ว?”
โม่เสวี่ยนแบมือ “ตอนนี้ก็ดูเป็นอย่างนั้น”
โม่เสวียนพูดจบก็หยุดชะงัก เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นกรณีที่มีคุณอยู่ข้างๆ คอยช่วยก่อน สำหรับซือเยี่ยหานแล้ว คุณคือจุดสมดุลในโลกของเขา เมื่อไรที่ฝั่งคุณเกิดปัญหา สมดุลก็จะพังทลาย จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไม่มีใครกล้ารับประกัน
เมื่อก่อนช่วงนั้นที่คุณเกลียดเขา ปฏิเสธเขา ตัวเขามีสภาพแบบไหน…คุณก็รู้ดี…เขาขาดการตัดสินใจตามหลักเหตุผลที่คนปกติควรมีและไม่มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ เป็นแค่สัตว์ป่าที่เสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง พูดตามตรงนะ เขาเปลี่ยนกลับมาเหมือนคนได้ เมื่อก่อนผมไม่เคยจินตนาการเลยสักนิดเดียว…”
เยี่ยหวันหวั่นพึมพำอย่างหมดคำพูดอยู่บ้าง “เปลี่ยนกลับมาเหมือนคนอะไรกัน เขาก็เป็นคนอยู่แล้วนะ!”
โม่เสวียนหัวเราะเบาๆ ขณะมองเธอ “คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกสวี่อี้ สืออี แล้วก็คนรับใช้ทั้งหมดของบ้านใหญ่ทำเครื่องรางคุ้มภัยพกไว้กับตัวกันหมด”
“ฮะ? เครื่องรางคุ้มภัยอะไร” เยี่ยหวันหวั่นไม่เข้าใจ
โม่เสวียนตอบ “บนเครื่องรางคุ้มภัยเขียนว่า ขอให้คุณหนูหวันหวั่นกับคุณชายเก้ารักกันหวานชื่นสงบราบรื่น!”
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก “เอ่อ…”
โม่เสวียนเอ่ยต่อ “พวกคุณสองคนปลอดภัยมีสุข พวกผมก็สบาย! เพราะฉะนั้นนะ คุณหนูหวันหวั่น ชีวิตน้อยๆ ของพวกเราทุกคนอยู่ในกำมือของคุณแล้ว!”
เยี่ยหวันหวั่นนิ่งไป
น่ากลัวขนาดนี้เชียวเหรอ…
โม่เสวียนถอนหายใจเบาๆ “คุณหนูเยี่ย ผมไม่ได้พูดเกินจริงนะ ตั้งแต่คุณชายเก้าขอให้ผมช่วยสะกดจิตเขา ผมก็เห็นสภาพเขากับตามาตลอด ถึงผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงยึดติดกับคุณขนาดนั้น แต่ผมว่าคนคนหนึ่งใส่ใจอีกคนจนถึงขั้นมีอาการป่วย เขาต้องรักคนคนนั้นสุดหัวใจแน่ๆ…
คุณหนูเยี่ย คุณเคยลืมอะไรไปหรือเปล่า…” คำถามนี้ ความจริงโม่เสวียนอยากถามนานแล้ว
ถ้าเมื่อก่อนเยี่ยหวันหวั่นกับซือเยี่ยหานไม่เคยเกี่ยวข้องกัน ท่าทีที่ซือเยี่ยหานมีต่อเยี่ยหวันหวั่นก็ไม่ค่อยสมเหตุผลจริงๆ
เยี่ยหวันหวั่นได้ยินดังนั้นก็พึมพำ “ลืมอะไร? ไม่น่ามีนะคะ…คนแบบซือเยี่ยหาน ถ้าเมื่อก่อนฉันเคยข้องเกี่ยวกับเขาจริง ฉันก็ไม่น่ามีทางลืม…”
“ก็จริง…” โม่เสวียนตกอยู่ในภวังค์ความคิด ไม่รู้ว่าคิดอะไร แต่ไม่ได้เอ่ยปากอีก
…
หลังผ่านช่วงที่ยากเย็นที่สุดของการเริ่มต้นธุรกิจไป ในที่สุดเยี่ยหวันหวั่นก็เริ่มมีเวลาว่าง
งานทั่วไปตอนนี้มีเยี่ยมู่ฝานช่วยดูแล เฟ่ยหยางรับผิดชอบเป็นผู้อำนวยการฝ่ายผู้ดูแลศิลปิน ทุกอย่างเดินไปตามทางที่ควรจะเป็น ชีวิตมั่นคงร่ำรวย เป็นอะไรที่ชาติก่อนเธอไม่กล้าแม้แต่จะคิด…
จิ่นหยวน ในห้องคุยงาน
ทุกเดือนทางตระกูลจะจัดการประชุมหนึ่งครั้ง ผู้อาวุโสทุกคนในตระกูลซือล้วนอยู่ครบ ซือเยี่ยหานนั่งอยู่กลางโซฟา เยี่ยหวันหวั่นนั่งฝั่งซ้ายของเขา ซึ่งเป็นตำแหน่งนายหญิงของบ้าน
ซือหมิงหลี่กับเฝิงอี้ผิงหน้าตึงตั้งแต่ต้นยันจบ แต่เพราะครั้งก่อนถูกเยี่ยหวันหวั่นเล่นงานไม่เบา ครั้งนี้จึงสงบลงไม่น้อย ไม่กล้าหาเรื่องเธออีก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีซือเยี่ยหานคุมอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้น ได้แต่มองตำแหน่งของเยี่ยหวันหวั่นมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าในใจพวกเขาคงแค้นเธอเข้ากระดูกดำแล้ว
คุณนายใหญ่มองเยี่ยหวันหวั่นด้วยแววตามีเมตตา พูดด้วยว่า “หวันหวั่น เดือนหน้าไปต้อนรับคุณมู่ ถึงตอนนั้นหนูไปด้วยกันกับอาจิ่วนะ!”
เยี่ยหวันหวั่นตอบอย่างเชื่อฟัง “ค่ะ คุณย่า!”
ซือหมิงหลี่สีหน้าเปลี่ยนไป ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว “แขกคนสำคัญอย่างนี้ ทำไมถึงให้เธอไปกับหัวหน้าตระกูลล่ะครับ เด็กผู้หญิงอย่างเธอไม่เข้าใจอะไร ถ้าทำตระกูลซือขายหน้าล่ะ!”
——————————————————–
บทที่ 868 อยากไปเหรอ
เฝิงอี้เผิงก็รีบเอ่ยสมทบ “คุณนายใหญ่ ตระกูลมู่เป็นคู่ค้าคนสำคัญมากของซือกรุ๊ป ควรจะหาคู่หูผู้หญิงที่เจนประสบการณ์ไปกับหัวหน้าตระกูลถึงจะถูก!”
ถึงเฝิงอี้เผิงไม่ได้อธิบาย แต่ความนัยในคำพูดของเขาย่อมหมายถึงฉินรั่วซี
คุณนายใหญ่ชำเลืองมองทั้งสองคน “ปีที่แล้วอาจิ่วไปคนเดียว ก็ไม่เห็นเป็นไร”
เมื่อก่อนไม่มีก็แล้วไป แต่ตอนนี้ในเมื่อมีแล้ว จะเหมือนเก่าได้อย่างไร?
โอกาสอย่างนี้ คู่หูผู้หญิงที่ซือเยี่ยหานพาไป ความหมายนั้นจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ซือหมิงหลี่รีบเอ่ย “พี่สะใภ้ เมื่อก่อนหัวหน้าตระกูลไปคนเดียวไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ผมกลัวว่าจะมีคนไม่รู้มารยาท เสียมารยาทกับแขกคนสำคัญ! อีกอย่างถึงคุณหนูเยี่ยกำลังคบหากับหัวหน้าตระกูล ก็เป็นแค่แฟนเท่านั้น เกรงว่ายังไม่มีคุณสมบัติที่จะไปต้อนรับแขกคนสำคัญอย่างนี้กับหัวหน้าตระกูล…”
คุณนายใหญ่ไหนเลยจะไม่รู้ความคิดของเฝิงอี้เผิงกับซือหมิงหลี่ แต่เวลาที่ผ่านมานี้ เธอมองดูเยี่ยหวันหวั่นดูแลอาจิ่วสุดสามารถกับตาตัวเอง ทั้งเรียนดีทั้งก้าวหน้า ทำงานก็น่าเชื่อถือขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงคิดจะช่วยสักหน่อย
คุณนายใหญ่มองหลานชายบนโซฟา “อาจิ่ว หลานคิดว่ายังไง”
ซือเยี่ยหานที่กำลังหลับตาพักเหนื่อยลืมตาขึ้น ไม่ได้ตอบคำถาม แต่หันไปมองหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง “อยากไปไหม”
เยี่ยหวันหวั่นอึกอัก “เอ่อ…”
น้ำเสียงที่เหมือนถามเธอว่าอยากไปเที่ยวเล่นไหม ถ้าเธออยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปนี่มันอะไรกัน…
อย่างที่คาดไว้ ทันทีที่ซือหมิงหลี่กับเฝิงอี้เผิงเห็นท่าทีของซือเยี่ยหาน ก็โกรธจนใบหน้าแก่ๆ บิดเบี้ยว
คุณนายใหญ่ส่ายหัวมองหลานชายตัวเองอย่างจนปัญญา จากนั้นก็พูดกับพวกซือหมิงหลี่โดยตรง “พอแล้วๆ ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกนาน หวันหวั่นไม่เข้าใจมารยาทตรงไหนก็ไปเรียนได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เรื่องนี้เอาตามนี้แหละ!”
“คุณนายใหญ่…”
ซือหมิงหลี่ยังอยากพูดต่อ แต่จนปัญญากับท่าทีของคุณนายใหญ่กับซือเยี่ยหาน ไม่มีช่องว่างให้เขาได้พูดสักนิดเดียว
ซือหมิงหลี่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าอึมครึม ใบหน้าซูบผอมกระตุกเป็นพักๆ
บัดซบ! ตั้งนานขนาดนี้แล้ว! เจ้าเด็กบ้านี่ทำไมยังไม่ตายอีก!
ไหนว่าเขาอยู่ไม่ถึงครึ่งปีแน่นอนไง ตอนนี้จวนจะผ่านครึ่งปีไปแล้ว!
ตั้งแต่ได้รับข่าวว่าซือเยี่ยหานใกล้จะตาย เขาก็ฝืนอดทน รอคอยอยู่ในทุกๆ วัน รอวันที่ซือเยี่ยหานตาย ใครจะรู้ว่าซือเยี่ยหานไม่เพียงไม่ป่วยระยะสุดท้าย สภาพร่างกายยังดีขึ้นทุกวันอย่างเห็นได้ด้วยตา…
ตราบใดที่ยังมีเจ้าเด็กเวรนี่อยู่ วันๆ เขาก็ต้องอยู่อย่างต่ำต้อยในตระกูลซือไม่ต่างกับหมาตัวหนึ่ง!
ยังมีเยี่ยหวันหวั่นนางสารเลวสมควรตายอีกคน แค้นที่ทำลายขาข้างหนึ่งของลูกชายเขายังไม่ได้ชำระ เขากลับได้แต่ต้องทน แตะต้องไม่ได้แม้แต่ผมเส้นเดียวของฝ่ายตรงข้าม…
คุณนายใหญ่เอ่ยกับซือเยี่ยหาน “อาจิ่ว ทางเยี่ยหวันหวั่นไว้กลับไปย่าจะจัดครูสอนมารยาทมาสอนเธอหน่อยนะ?”
ซือเยี่ยหานเอ่ย “ไม่จำเป็นครับ”
คุณนายใหญ่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่เป็นเรื่องจำเป็นนะ เรียนเยอะหน่อยจะดีกับตัวหวันหวั่นเขา หลังจากนี้เธอต้องได้ใช้ทั้งนั้น”
ซือเยี่ยหานบอก “ไม่ต้องเชิญครูสอน ผมจะสอนเองครับ”
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก แม้แต่คุณนายใหญ่ก็ยัดอาหารหมาให้เหรอ พอได้แล้วไหม!
“เด็กคนนี้นี่…”
นายยิ่งใหญ่หลุดหัวเราะอย่างจนใจ เห็นเด็กสองคนไปด้วยกันดีขนาดนี้ ก็พลันรู้สึกเบาใจ
ถ้าร่างกายอาจิ่วดีขึ้นมาได้ละก็…
“แยกย้ายกันเถอะ”
หลังจากหารือเรื่องราวกันเสร็จ ซือเยี่ยหานมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือก่อนจะประกาศให้แยกย้าย
ซือเยี่ยหานฟังคุณนายใหญ่พูดพลางลุกขึ้นยืน แต่ชั่ววินาทีที่ลุกขึ้นจากโซฟา เขาหน้าซีด ร่างกายก็พลันแข็งทื่อ
“อาจิ่ว เป็นอะไรไป” คุณนายใหญ่กับเยี่ยหวันหวั่นมองซือเยี่ยหานหลังเห็นอาการผิดปกติของเขา
ซือเยี่ยหานยกมือเหมือนอยากบอกว่าไม่เป็นไร แต่พริบตาที่เขาเปิดปากกลับกระอักเลือด ใบหน้าซีดเผือด จากนั้นก็ล้มหงายไปด้านหลังเสียงดัง…
“อาจิ่ว”
“หัวหน้าตระกูล!”
ม่านตาของเยี่ยหวันหวั่นหดตัวลงในฉับพลัน คุณนายใหญ่กับพวกผู้อาวุโสตรงนั้นต่างตกใจหน้าซีด โกลาหลกันหมด…
………………………
Related