บทที่ 1343 มีประโยชน์อะไร
ผู้อาวุโสจินมองเยี่ยหวันหวั่นอย่างพิจารณา จากนั้นก็ยิ้มบอกว่า “หัวหน้าไป๋ต้องจำได้อยู่แล้ว ปีนั้น หัวหน้าไป๋นำทัพพันธมิตรอู๋เว่ยไปร่วมในแผนการกำจัดอาชูร่า ถือเป็นกำลังหลักเลยทีเดียว”
เยี่ยหวันหวั่นเงียบไม่พูดอะไร เรื่องที่ตาเฒ่าคนนี้พูดเป็นเรื่องจริง
“หัวหน้าไป๋น่าจะรู้แล้วว่าตอนนี้อาชูร่าได้ฟื้นคืนชีพแล้ว ได้ยินมาว่านายแห่งอาชูร่ากลับมาแล้ว ผมคิดว่าหัวหน้าไป๋ฉวยโอกาสตอนนี้ที่อาชูร่ากำลังอ่อนแอ โจมตีซ้ำให้ราบคาบในครั้งเดียว” ผู้อาวุโสจินมองเยี่ยหวันหวั่น แล้วบอก
“หึๆ…ผู้อาวุโสจิน วันนี้อุตส่าห์มาถึงที่นี่คงไม่ใช่เพราะเรื่องอาวุธปืนอย่างเดียว เป้าหมายหลักคงเป็นอาชูร่าสินะ” เยี่ยหวันหวั่นแค่นยิ้ม
ผู้อาวุโสจินกลับไม่คัดค้านอะไร
“หัวหน้าไป๋ คุณน่าจะรู้ว่าตอนนั้นคุณเป็นแกนนำในการโจมตีอาชูร่า ตอนนี้นายแห่งอาชูร่ากลับมา อาชูร่าฟื้นคืนชีพแล้ว พวกเขาคงไม่ได้รู้สึกดีกับหัวหน้าไป๋และพันธมิตรอู๋เว่ยนัก…หัวหน้าไป๋ควรตัดสินใจให้เร็วที่สุดจะดีกว่า” ผู้อาวุโสจินบอก
ได้ยินผู้อาวุโสจินพูดอย่างนั้น เยี่ยหวันหวั่นก็ลอบด่าเขาในใจว่าจิ้งจอกเฒ่า
สมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์ในฐานะหน่วยงานรัฐของรัฐอิสระ อาชูร่าไม่ได้กรทำผิดกฎของอาชูร่า ฉะนั้น แม้จะเป็นสมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์ก็ไม่มีสิทธิ์กำจัดอาชูร่า
เพียงแต่อำนาจของอาชูร่ายิ่งใหญ่เกินไป นายแห่งอาชูร่าก็ไม่ใช่คนที่จะควบคุมได้ง่ายๆ เขาไม่เคยเห็นสมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์อยู่ในสายตา จึงทำให้สมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์ไม่พอใจ
สมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์ไม่ลงมือกำจัดอาชูร่าเอง แต่กลับยุแยงให้กลุ่มอำนาจอื่นทำแทน…
เยี่ยหวันหวั่นได้หาข้อมูลเรื่องความแค้นระหว่างอาชูร่ากับพันธมิตรอู๋เว่ยมาบ้างแล้ว
ปีนั้นที่อาชูร่ากำลังรุ่งเรือง มีกลุ่มอำนาจหลายกลุ่มในรัฐอิสระที่ต้องส่งส่วยทุกเดือน แม้แต่พันธมิตรอู๋เว่ยก็ไม่เว้น
แต่จู่ๆ แบดเจอร์กลับบันดาลโทสะฆ่าคนของอาชูร่าที่มาเก็บส่วย นับตั้งแต่นั้น ทั้งสองฝ่ายก็ได้เปิดฉากเป็นศัตรูกัน
ด้วยเหตุนี้ ในปีนั้นที่สมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์ดำเนินแผนการกำจัดอาชูร่า พันธมิตรอู๋เว่ยถึงได้ยอมร่วมมือทันทีอย่างไม่ลังเล เพียงแต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างเยี่ยหวันหวั่นไม่รู้เลย
“ทำไมฉันต้องรับปากคุณด้วย เรื่องนี้มีประโยชน์อะไรต่อฉัน แล้วก็พันธมิตรอู๋เว่ย” เยี่ยหวันหวั่นยิ้มจางๆ แล้วมองหน้าผู้อาวุโสจิน
“สมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์จะส่งคนมาช่วยพันธมิตรอู๋เว่ยกับหัวหน้าไป๋” ผู้อาวุโสจินกล่าว
“แค่นี้เหรอ?” เยี่ยหวันหวั่นยิ้มเย็น “ตอนแรกสมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์ของพวกคุณเป็นฝ่ายอยากกำจัดอาชูร่าเอง พวกคุณลงทุนทั้งกำลังคนกำลังเงินก็ถือเป็นเรื่องสมควร ฉะนั้นไม่นับ”
“หัวหน้าไป๋ คุณเคยมีเรื่องบาดหมางกับหมาจรจัดใช่ไหม” จู่ๆ ผู้อาวุโสจินก็เปลี่ยนเรื่อง แล้วถามอย่างมีความหมายแฝง “หมาจรจัดเป็นตัวอันตรายขนาดไหน ผมเชื่อว่าหัวหน้าไป๋คงรู้ดี แม้แต่ตระกูลเก่าแก่ก็ยังพากันกลัวเขา ในสายตาของหมาจรจัด พันธมิตรอู๋เว่ยไม่คู่ควรให้พูดถึงด้วยซ้ำ…ถ้าหากหัวหน้าไป๋รับปาก สมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์ของเราก็จะเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ย ไม่ให้หมาจรจัดมาทำให้หัวหน้าไป๋ลำบากใจอีก”
เยี่ยหวันหวั่นยังไม่ทันพูดอะไร เป่ยโต่วกลับหัวเราะหยัน “ขี้โม้รึเปล่า ถ้าหากมีความสามารถขนาดนั้นจริง ก็ให้หมาจรจัดออกหน้าเองเลนสิ ถึงแม้จะเป็นอาชูร่าในยุครุ่งเรืองที่สุดก็ไม่แน่ว่าจะกล้ามีเรื่องกับหมาจรจัด คุณจะมาหาพวกเราอีกทำไม”
หมาจรจัดคนเดียวสามารถสู้กับคนเป็นพันได้ นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนในรัฐอิสระรู้ ไม่มีใครในรัฐอิสระที่เป็นคู่ต่อสู้ของหมาจรจัดได้
————————————————————————————-
บทที่ 1344 โลภมาก
แน่นอนว่าหากใช้แค่คำว่ารัฐอิสระอาจจะยังไม่เพียงพอ เหมือนที่เจ้าหมาจรจัดเคยพูดไว้ บนโลกนี้ยังไม่มีใครเก่งพอที่จะอยู่ในสายตาเขาได้
ในฐานะหน่วยงานรัฐ ถ้าหากทำให้เจ้าหมาจรจัดขุ่นเคือง แม้จะเป็นสมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์ก็เกรงว่าจะต้องพบกับหายนะไม่ต่างกัน
“หึๆ…เรื่องนี้หัวหน้าไป๋ไม่ต้องห่วง สมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์ของเรามีวิธีอยู่แล้ว” ผู้อาวุโสจินกล่าว
“ผู้อาวุโสจิน เกรงว่าคุณจะเข้าใจผิดไปเรื่องหนึ่ง…พันธมิตรอู๋เว่ยของเราไม่เคยกลัวใครหน้าไหน รวมถึงเจ้าหมาจรจัดด้วย แล้วฉายาของเจ้าหมาจรจัดเป็นที่รู้จักและโด่งดังไปทั่วรัฐอิสระได้ยังไง ฉันคิดว่าผู้อาวุโสจินก็น่าจะรู้ดี” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยอย่างดูถูก
ถ้าหากหัวหน้าพันธมิตรอู๋เว่ยกลัวเจ้าหมาจรจัดจริง จะประกาศชื่อของเจ้าหมาจรจัดไปทั่ว ทำให้ตอนนี้ในรัฐอิสระไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเจ้าหมาจรจัด เอาแต่เรียกเขาว่าเจ้าหมาจรจัด
“หัวหน้าไป๋…พวกคนนอกที่คุณรับมานั่น คุณคิดว่าสมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์ของเราจะไม่รู้เรื่องจริงเหรอ” จู่ๆ ผู้อาวุโสจินก็แค่นยิ้ม “กฎของรัฐอิสระ ไม่ใช่แค่สมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์ของเราเท่านั้นที่ตั้งขึ้นมา แต่ยังรวมไปถึงสี่ตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจที่ไม่แสดงตนบางกลุ่ม ถ้าหากหัวหน้าไป๋ทำลายกฎนี้ เกรงว่าคงไม่ใช่แค่ตัวเองเท่านั้นที่จะเดือดร้อน แต่จะทำให้พวกพ้องต้องโชคร้ายไปด้วย”
ผู้อาวุโสจินยิ้มบอก “แน่นอน ถ้าหากหัวหน้าไป๋ยอมรับปาก เรื่องนี้สมาคมสหพันธ์วิยทยายุทธของเราจะจัดการให้เอง พวกเราจะทำบัตรผ่านเข้ารัฐอิสระให้พวกนั้น แล้วทำให้พวกเขากลายเป็นคนของรัฐอิสระเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมด เป็นยังไง?”
ได้ยินผู้อาวุโสจินพูดอย่างงั้น เยี่ยหวันหวั่นก็ได้แต่นึกอิจฉาในใจ บัตรผ่านเข้ารัฐอิสระ…เธอก็อยากได้เหมือนกัน!
ถ้าเธอมีบัตรผ่านเข้ารัฐอิสระ ก็คงไม่ต้องสวมรอยเป็นหัวหน้าพันธมิตรอู๋เว่ยแบบนี้…ต้องคอยหวาดระแวงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่ทุกวัน
“หึๆ…ผู้อาวุโสจิน ฉันรับปากคุณก็ได้ แต่ที่ฉันยอมไม่ใช่เพราะคุณขู่หรอกนะ แต่เพราะพวกฉันมีความแค้นกับอาชูร่าจริงๆ…ถ้าอย่างงั้น นอกจากเงื่อนไขที่ว่าไปแล้ว สมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์ของพวกคุณต้องลงทุนกำลังคนและเงินสามเท่า และให้ความช่วยเหลือในเวลาที่พวกฉันต้องการ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างเป็นอันโมฆะ” เยี่ยหวันหวั่นกล่าว
“อะไรนะ กำลังคนและเงินสามเท่า?!”
พวกเจ้าหน้าที่สมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังผู้อาวุโสจินต่างมองหน้ากัน มีข่าวลือว่าหัวหน้าพันธมิตรอู๋เว่ยโลภมากจนเป็นนิสัย ขาดเงินเมื่อไหร่เป็นต้องแย่ง กระทั่งตระกูลเสิ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ และร่ำรวยที่สุดก็ยังเคยโดนเธอแย่งเงินมาแล้ว…ดูท่าจะเป็นจริงอย่างที่ลือกัน…
“สามเท่า…หัวหน้าไป๋ช่างโลภมากจริงๆ” ผู้อาวุโสจินมองหน้าเยี่ยหวันหวั่นอย่างไตร่ตรอง
แผนการกำจัดอาชูร่าในครั้งนี้ เขาไปหาแนวร่วมมาหลายที่แล้ว แต่พันธมิตรอู๋เว่ยกลับเป็นกลุ่มที่เจรจายากที่สุด แล้วก็เจ้าเล่ห์ที่สุด
ยังไม่เคยมีกลุ่มอำนาจไหนกล้าต่อรองกับสมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์อย่างนี้
“ก็ได้ ผมรับปากหัวหน้าไป๋ เพิ่มเงินและกำลังคนให้สามเท่า” สุดท้าย ผู้อาวุโสจินก็พยักหน้าบอก
“อื่ม เร็วหน่อยล่ะ เรื่องกำลังคนไม่รีบ ส่งเงินมาให้ฉันก่อน จำไว้ให้ดี หากขาดไปแม้แต่แดงเดียว เรื่องนี้เป็นอันโมฆะ” เยี่ยหวันหวั่นกล่าว
“หึๆ…” ผู้อาวุโสจินยิ้มเล็กน้อย “หัวหน้าไป๋วางใจ ในเมื่อพวกเรารับปากหัวหน้าไป๋แล้วย่อมไม่ผิดคำพูด นี่ก็เสร็จธุระแล้ว งั้นผมขอตัวก่อนก็แล้วกัน”
พูดจบ ผู้อาวุโสจินก็สาวเท้าก้าวใหญ่ๆ เดินนำเจ้าหน้าที่สมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์พวกนั้นออกไป
หลังจากผู้อาวุโสกลับไป เป่ยโต่วก็หันมามองเยี่ยหวันหวั่นอย่างประหลาดใจ “พี่เฟิ่ง…พี่กลับมาคราวนี้ผมรู้สึกว่าพี่ห้าวกว่าเมื่อก่อนอีก…เมื่อก่อนพี่เคยเรียกร้องเงินจากสมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์ อย่างมากก็แค่สองเท่า แต่ครั้งนนี้กลับเรียกตั้งสามเท่า…”
เยี่ยหวันหวั่นเหลือบมองเป่ยโต่ว “เดี๋ยวนี้ของแพงขึ้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า ฉันคิดเพิ่มแค่เท่าเดียวเองเหอะ”