บทที่ 1417 มาเลย! โชว์ทักษะการแสดงสิ!
หลินเชวียที่ซ่อนอยู่ในที่ลับเห็นซือเยี่ยหานจากไปเดิมทีก็คิดจะเข้าไปพูดคุยกับเขา แต่นึกไม่ถึงว่าเพิ่งเตรียมจะเข้าไป ก็เห็นเยี่ยหวันหวั่นปะทะเข้ากับซือเยี่ยหานแล้ว เขาจึงรีบร้อนเบรกเท้าและหลบซ่อนตัว จากนั้นก็ตามอยู่ข้างหลังอย่างระมัดระวัง…
ไม่นานเยี่ยหวันหวั่นก็ตามชายหนุ่มเข้าห้องหนังสือห้องหนึ่ง
หลินเชวียตามมาหลบข้างประตูใกล้กับซอกประตูติดๆ
หลังซือเยี่ยหานเข้าห้องมาก็นั่งลงบนเก้าอี้หนังแท้ตัวใหญ่หน้าโต๊ะหนังสือ จากนั้นก็ช้อนตามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ผู้นำไป๋มีธุระอะไรโปรดบอกมาตามตรง”
เยี่ยหวันหวั่นสบกับสีหน้าราบเรียบของชายหนุ่ม หัวใจผุดความรู้สึกเจ็บแปลบที่คุ้นเคยออกมาอีกครั้ง
ถ้าบอกว่าเมื่อครู่นี้คนมากเกินไปไม่สะดวก ตอนนี้เขาก็ไม่มีเหตุผลให้ยังต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเธอแล้วหรือเปล่า
เยี่ยหวันหวั่นสูดหายใจลึกทำให้ตัวเองใจเย็นลง จากนั้นจึงหัวเราะเสียงเบาแล้วเอ่ยปาก “ท่านนายแห่งอาชูร่าหน้าตาเหมือนสหายเก่าฉันคนหนึ่ง เลยทำให้ฉันแปลกใจมากจริงๆ…”
ชายหนุ่มเอ่ยปากสีหน้าไร้อารมณ์ “คนหน้าตาเหมือนกันบนโลกเดิมก็มีมากมายอยู่แล้ว”
เยี่ยหวันหวั่นได้ยินดังนั้นก็หรี่ตาเล็กน้อย “โอ้ งั้นเหรอ งั้นขอบังอาจถามนายแห่งอาชูร่าหนึ่งประโยค เมื่อกี้ในคฤหาสน์ ทำไมคุณต้องปกป้องพันธมิตรอู๋เว่ยฉันด้วย ข้อศอกเนี่ย…ใกล้เบี้ยวหักแล้วมั้ง[1]”
ชายหนุ่มเหลือบมองเธออย่างเย็นชา “ตราบใดที่ฉันบรรลุถึงเป้าหมาย ขั้นตอนก็ไม่สำคัญ รอหนี้ตระกูลเยียนจ่ายครบหมด พันธมิตรอู๋เว่ยก็ยังต้องส่งส่วยทุกเดือน”
ความหมายแท้จริงของประโยคนี้ก็คือ เป้าหมายวันนี้ของเขาก็คือมารับส่วยเก็บเงิน ขอแค่ได้เงินก็พอ
มองชายหนุ่มไม่มีพิรุธใดๆ บนสีหน้า ไฟดวงน้อยในในใจเยี่ยหวันหวั่นก็ลุกพึ่บพั่บ
ตานี่แม่งโชว์ทักษะการแสดงกับเธออยู่เหรอ
หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ นอกจากเธอตาบอดจึงจะเชื่อคำโกหกของอีกฝ่ายโอเคไหม
เยี่ยหวันหวั่นย่อมไม่เชื่อง่ายดายขนาดนั้น ได้ อยากโชว์ทักษะการแสดงนักใช่มะ
พูดถึงการโชว์ทักษะการแสดง เธอยังไม่กลัวว่าจะแพ้ใคร!
เยี่ยหวันหวั่นเดินทีละก้าวเข้าใกล้โต๊ะทำงานช้าๆ “งั้น…ถ้าฉันไม่มีเงิน จะไม่ส่งล่ะ”
วินาทีที่สิ้นเสียง เยี่ยหวันหวั่นเดินไปถึงตรงหน้าโต๊ะแล้ว สองมือค้ำโต๊ะกดตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
ซือเยี่ยหานช้อนสายตา มองหญิงสาวที่อยู่ห่างแค่ช่วงแขน ขอแค่เขายื่นมืออกไปก็สามารถกอดเธอได้แล้ว…
“ผู้นำไป๋ลองดูได้” ชายหนุ่มเอ่ยปากเสียงเย็น
ได้ยินน้ำเสียงข่มขู่เตือนของอีกฝ่าย เยี่ยหวันหวั่นก้มหน้า นิ้วจิกแน่นเล็กน้อย วินาทีถัดมาหญิงสาวกลับช้อนตาขึ้น ในดวงตาคู่กระจ่างงดงามเต็มไปด้วยรอยยิ้มน่าหลงใหล น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยเอื้อนเอ่ยออกมาทีละคำ “งั้นเหรอ”
พริบตาที่เยี่ยหวันหวั่นพูดจบก็โน้มเข้าใกล้ข้างหูของชายหนุ่ม ทั้งสองพลันห่างกันแค่คืบลืมหายใจ
เสียงของหญิงสาวดังขึ้นข้างหูเขาพร้อมกับลมหายใจอบอุ่นอ่อนโยน “ท่านนายแห่งอาชูร่า เงินนี่น่ะไม่มีแน่นอน…ไม่สู้…ให้ฉันมอบร่างกายให้คุณล่ะ”
ชั่ววินาทีที่สิ้นเสียง แผ่นหลังของชายหนุ่มพลันแข็งตึงถึงขีดสุด ก้นบึ้งของดวงตามืดทึมไร้แสง
หลินเชวียที่หลบอยู่ที่ประตูเห็นฉากนี้เกือบร้องอุทาน รีบปิดปากของตัวเองไว้
เชี่ยๆๆ! เด็กสาวนี่หน้าซื่อใจเสือ หน้าซื่อใจเสือเกินไปแล้ว!
ใช้กระบวนท่านี้!
ก็ไม่รู้ว่าพี่เก้าจะทนไหวหรือเปล่า…
ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ก็เห็นใจพี่เก้าจัง…
เยี่ยหวันหวั่นหัวเราะเสียงเบา มองชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มแย้มแฝงความยั่วยุนี้
เธอจะบีบให้เขาเผยพิรุธให้ได้!
———————————————————————————————
บทที่ 1418 หน้าตาดีแล้วดีเลิศนักเหรอ!
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยียวนของหญิงสาวก็เหมือนกับยาพิษ กัดกร่อนกำแพงชั้นนอกของหัวใจเขา แทบพริบตานั้นเกือบทำเอาเขาพ่ายแพ้หมดรูป
หัวใจซือเยี่ยหานพลันเกิดอาการชา ไม่รู้ว่าตัวเองทนความต้องการกอดจูบหญิงสาวได้ยังไงกันแน่…
ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วินาทีเหมือนผ่านไปหลายศตวรรษ…
“ว่ายังไง” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยปาก
สายตาของซือเยี่ยหานเย็นชาและสงบนิ่ง มองหญิงสาวอย่างไม่เร็วไม่ช้า “ฉันไม่เคยทำการค้าขาดทุน”
เยี่ยหวันหวั่นได้ยินประโยคนี้ก็ตะลึงสามวินาทีก่อนจะไม่อยากเชื่อแม้แต่น้อย
เชี่ย!
เธอเอาตัวเข้าแลก ตานี่กลับบอกว่าเขาขาดทุนกว่า!
ต่อให้…ต่อให้คุณหน้าตาดี…ต่อให้เธอก็รู้สึกว่าตัวเองได้กำไร แต่หน้าตาดีแล้วดีเลิศนักเหรอ!
“คุณ…” เยี่ยหวันหวั่นตาโต เกือบจะระเบิดความโกรธแล้ว ‘คุณ’ อยู่ครึ่งค่อนวันก็พูดต่อไม่ออก
ผ่านไปเนิ่นนานจึงค่อยยืดตัวตรง เอ่ยรอดไรฟัน “ก็จริง ท่านนายแห่งอาชูร่าหน้าตาเลิศล้ำ ดูยังไงก็เป็นฉันที่ได้กำไรกว่า…”
หลินเชวียที่ประตูกลืนน้ำลายอย่างทึ่งใจ
ยังนึกว่าจะจบเห่แล้วแน่ะ การควบคุมตัวเองของพี่เก้า เขานับว่านับถือแล้ว…
เยี่ยหวันหวั่นคิดยังไงก็ไม่เข้าใจว่านายแห่งอาชูร่ากับซือเยี่ยหานหน้าตาเหมือนกัน เห็นชัดว่าเป็นคนเดียวกัน แต่ทำไมกลับไม่สนใจตัวเอง…แล้วก็ไม่มีท่าทีรู้จักเธอ นี่ทำให้เธอรับไม่ได้จริงๆ
ที่ทำให้เธอสงสัยเหมือนกันคือ ถ้าซือเยี่ยหานเป็นนายแห่งอาชูร่าจริงๆ ครองอำนาจน่ากลัวแบบนี้ที่รัฐอิสระ ทำไมต้องกลับประเทศจีนเป็นผู้นำตระกูลซือคนนั้นกัน
เหมือนจะไม่มีเหตุผลเหรอเอาซะเลย…
อีกอย่างหลังซือเยี่ยหานกลับรัฐอิสระ หรือว่าเหตุร้ายไม่แน่ชัดที่ตระกูลซือนั้นเขาก็จะปล่อยไว้แบบนั้นเหรอ…
ความจริงต่อให้เป็นตอนที่เธอค้นพบเรื่องทุกอย่าง ต่อให้เป็นตอนที่เขาจากไปเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ในใจเธอตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังคงเหลือความคิดหนึ่ง เธออยากเชื่อใจเขา
แต่เวลานี้ความเย็นชาของชายหนุ่ม สายตาที่ราวกับมองคนแปลกหน้าของชายหนุ่มกลับทำให้หัวใจที่หลงเหือความหวังมาเนิ่นนานหนาวเหน็บถึงขั้วกระดูก
ในที่สุดความโกรธของเยี่ยหวันหวั่นก็สั่งสมถึงขีดสุด ไม่อยากอ้อมค้อมอีกต่อไปแล้ว เธอชี้ชายหนุ่มพร้อมเอ่ยปากโดยตรง “ซือเยี่ยหาน ตอนนั้นทำไมคุณไปจากประเทศจีนไม่บอกกล่าวสักคำ วันนี้หลังเห็นฉันแล้วยังแกล้งทำเป็นไม่รู้จักฉันอีก”
บนใบหน้าชายหนุ่มราวกับสวมหน้ากากแข็งแรงทนทาน เขาเอ่ยปากเรียบๆ “ผู้นำไป๋ ฉันไม่ค่อยเข้าใจคำที่คุณพูด”
“ไม่เข้าใจ?” เยี่ยหวันหวั่นยิ้มเย็นเอ่ย “ซือเยี่ยหาน ต่อหน้าฉันจะหลอกลวงอะไรได้ คุณกล้าพูดว่าคุณไม่ใช่ซือเยี่ยหาน?”
ซือเยี่ยหานส่ายหน้า ใบหน้ากลับคืนความเรียบนิ่ง “เข้าใจแล้ว”
“คุณเข้าใจอะไรแล้ว” เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย
ชายหนุ่มพยักหน้า “ผู้นำไป๋จำฉันผิดเป็นสหายคนนั้นของคุณ แต่…ฉันเติบโตที่รัฐอิสระตั้งแต่ยังเด็ก ไม่เคยไปประเทศจีนมาก่อน แต่มีสหายหลายคนทำธุรกิจที่ประเทศจีน เกรงว่าผู้นำไป๋คงจำคนผิดแล้ว”
“คุณไม่เคยไปประเทศจีนมาก่อน?” เยี่ยหวันหวั่นมองดวงตาของซือเยี่ยหาน อยากจะหาพิรุธจากในสายตาของชายหนุ่ม
แต่ดวงตาคู่ลึกล้ำของซือเยี่ยหานกลับยังคงไร้คลื่นกระเพื่อม ประหนึ่งผิวทะเลสาบเงียบสงบไร้คลื่น
“ใช่” ซือเยี่ยหานเอ่ย
“งั้นก็บังเอิญจริง บนโลกนี้ถึงกับยังมีคนที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ แถมที่น่าบังเอิญกว่าก็คือสหายคนนั้นของฉัน ตอนนี้ก็อยู่ที่รัฐอิสระ”
…………………………………
[1] มากจากสำนวน หันข้อศอกออกนอก หมายถึง การช่วยคนนอกมากกว่า แทนที่จะช่วยคนใน