“จะน่าดูหรือเปล่าใช่ว่าป้าจะเป็นคนตัดสิน ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็รีบไปซะ อย่ามาทำตัวขยะแขยงหน้าบ้านพวกเรา!”
อวี๋หมิงหลางทำท่าร่ายรำไท้เก๊ก ขู่หลุ่ยจือได้สำเร็จ
หลุ่ยจือมาอย่างรีบร้อนและจากไปอย่างรีบร้อนเช่นกัน อยากจะมาเล่นงานคนอื่นปรากฏว่าเจอของแข็งเข้า ตอนลงลิฟท์ไปเกือบสะดุดล้ม
เสี่ยวเชี่ยนมองรอยเท้าสีแดงเต็มพื้นแล้วก็ถอนหายใจ “รีบหาน้ำมันมาเครื่องเช็ดเถอะ รบกวนชาวบ้านมามากพอแล้ว”
“สมัยนี้ใครเขาใช้น้ำมันเครื่องกัน มีน้ำยาทำความสะอาดสำหรับสีที่ยังไม่แห้งดีแล้ว”
เสี่ยวเชี่ยนมองเขาด้วยความแปลกใจ “นายรู้ได้ยังไง?”
จะไม่ให้รู้ได้ไง วันๆวุ่นอยู่กับการแต่งบ้าน งานทาสีอะไรพวกนี้ก็ต้องไปซื้อมาเอง เซอร์ไพร้ส์ที่เตรียมไว้ให้เสี่ยวเชี่ยนพร้อมแล้ว~
อวี๋หมิงหลางยิ้มไม่ตอบ เขาโอบเสี่ยวเชี่ยนเดินเข้าบ้าน หลิวเหมยที่อยู่ข้างในกำลังปลอบเวยเวยที่ตกใจ เสี่ยวเชี่ยนถอนหายใจ
“วันหยุดของผมคงไม่ได้ทำอะไรแล้ว เด็กคนนี้อยู่ห่างใครไม่ได้เลย”
มือของอวี๋หมิงหลางจับใบคำร้องแต่งงานในกระเป๋าแน่น
“ช่วงนี้คุณยุ่งมากเหรอ?”
“อืม…เสี่ยวเฉียง ทำไมนายเว้นไม่กี่วันก็มาหาฉันได้? ที่ทำงานใหม่นายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เหรอ?”
ไม่ไกลจริงๆ ขับรถสิบกว่านาทีก็ถึงแล้ว
อวี๋หมิงหลางยังไม่ได้บอกเสี่ยวเชี่ยนเรื่องที่เขาย้ายมาที่เมืองนี้ เสี่ยวเชี่ยนเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบซักไซ้ เธอถามครั้งหนึ่งเขาไม่ตอบเธอก็ไม่ถามอีก
แต่ดูจากที่ช่วงนี้เขามาปรากฏตัวบ่อยเหลือเกิน น่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่
เสี่ยวเชี่ยนไม่มีทางนึกถึงว่าอวี๋หมิงหลางจะอยู่เมืองเดียวกับเธอ
“คุณคงไม่ต้องดูแลผู้ป่วยดีแบบนี้ทุกคนหรอกใช่ไหม?” อวี๋หมิงหลางพูดเสียงเบา แล้วส่งสายตามองไปในบ้าน
“แน่นอน ทำแบบนี้กับผู้ป่วยทุกคนฉันก็เหนื่อยตายสิ เวลาทำงานปกติคือวันละแปดชั่วโมง นี่เป็นกรณียกเว้น”
“ทำไมเป็นกรณียกเว้น?” ใช่ว่าอวี๋หมิงหลางจะไม่มีใจสงสาร แต่เพราะเขารู้ว่าผู้ป่วยที่เสี่ยวเชี่ยนต้องเจอมีหลายคนที่เจอกับเรื่องโหดร้ายมาก
ถ้าเธอต้องดูแลทุกคนอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ เขากลัวว่าร่างกายเธอจะรับไม่ไหว
“เพราะนั่นเป็นความตั้งใจของฉัน”
เสี่ยวเชี่ยนมีความรู้สึกที่ซับซ้อนต่อเด็กคนนี้ เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตัวเองจะสามารถช่วยเด็กคนนี้จากเงื้อมมือยมทูตได้ ไม่ใช่แค่เพราะเด็กคนนี้มีชื่อและอายุพอๆกับลูกสาวเธอ แต่เสียงที่ดังข้างหูเธอตอนรับโทรศัพท์นั้นยังก้องอยู่ในหัว
ตอนนั้นเธอช่วยลูกสาวจากเงื้อมมือยมทูตไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้เธอหวังว่าจะช่วยเวยเวยได้
“อย่างนั้นเหรอ…” อวี๋หมิงหลางปล่อยมือที่กำใบยื่นคำร้องแต่งงาน แล้วเอามือแตะคิ้วที่ขมวดกันของเสี่ยวเชี่ยนเบาๆ
“ช่วยคนน่ะได้ อย่าให้ถึงกับตัวเองต้องลำบาก ดูคุณสิ หน้านิ่วคิ้วขมวด เกิดมีรอยเ**่ยวย่นขึ้นมาทำไง?” ถึงเขาจะไม่รู้สาเหตุ แต่อวี๋หมิงหลางรู้ว่าท่าทีที่เสี่ยวเชี่ยนมีต่อคนไข้คนนี้ไม่เหมือนคนอื่น
เรื่องแต่งงานช้าออกไปอีกหน่อยแล้วกัน ตอนนี้หัวใจเธอทุ่มเทไปที่การช่วยคนหมดแล้ว ทุกคนกำลังรอให้คนเลวได้รับการลงโทษ ถ้าเขาพูดเรื่องแต่งงานตอนนี้คงไม่เหมาะ
ความตั้งใจของเธอก็คือสิ่งที่เขาควรจะปกป้อง
หลังจากที่ปลอบเวยเวยจนหลับแล้ว เสี่ยวเชี่ยนก็ชงชาให้อวี๋หมิงหลางกับอวี๋หลิวเหมยดื่ม
“พี่สะใภ้ ทำไมคนที่เป็นโรคซึมเศร้าถึงจิตใจดีจังล่ะ?” คำถามนี้อวี๋หลิวเหมยเก็บไว้ในใจมานาน
จากที่เธอได้สัมผัสกับเวยเวย เด็กคนนี้ตอนที่อาการไม่กำเริบจิตใจดีมาก ส่วนเสี่ยวเชี่ยนก็ได้หาหนังสือที่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามาให้เธออ่าน เพื่อช่วยให้ดูแลเวยเวยได้ดียิ่งขึ้น
คำถามนี้ถามได้ดีมาก เสี่ยวเชี่ยนวางถ้วยชาลง แล้วอธิบายอย่างผู้เชี่ยวชาญ “เธอถามคำถามที่คนในแวดวงวิชาการก็เคยสงสัยเหมือนกัน ผู้ป่วยโรคจิตเวชอย่างโรคซึมเศร้ากับโรควิตกกังวลส่วนมากจะเป็นคนที่มีจิตใจดี พี่เกลียดพวกแนวคิดจรรโลงจิตใจที่ไม่ได้มีการรับรองทางวิทยาศาสตร์ที่สุด”
“คุณหมายถึงคำแนะนำที่ในนิตยสารจรรโลงจิตใจบางเล่มเขียนว่าให้ปล่อยวางกับทุกเรื่อง ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเป็นคนใจแคบเหรอ?” หลังจากที่อวี๋หมิงหลางรู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนกำลังรักษาคนไข้เคสนี้ เขาก็ไปหาข้อมูลมาบ้าง
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า “คนบางคนไม่รู้เรื่องอะไรเลยแต่กลับทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำคนอื่น บอกว่าโรคซึมเศร้ามีแค่คนที่ใจแคบเจอปัญหาแล้วคิดไม่ตกเท่านั้นถึงจะเป็น พอฉันเห็นแบบนี้แทบอยากจะเข้าไปตบบ้องหูสัก2-3ที พูดจาเพ้อเจ้อ! ใช้ความคิดผิวเผินเรื่องใจแคบใจกว้างมาตัดสินคนเป็นโรคจิตเวชมันน่าลากไปยิงทิ้งจริงๆ!”
นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่คนทั่วไปเข้าใจผิด คนที่ไม่เข้าใจเรื่องโรคจิตเวชมักจะตัดสินว่าเป็นเพราะใจแคบ คิดมาก ไม่รู้จักปล่อยวางถึงได้เป็นโรคจิตเวช ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องคิดกันไปเองทั้งนั้น
คนที่เป็นโรคซึมเศร้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนอ่อนโยน มองโลกในแง่ดี ชอบคิดแทนคนอื่น ก็เหมือนกับดาราชายที่ป่วยโรคซึมเศร้าแล้วกระโดดตึกตาย ตอนมีชีวิตอยู่ใครๆก็บอกว่าเป็นคนดี
“งั้นตกลงมันเป็นเพราะอะไรถึงทำให้คนเป็นโรคซึมเศร้าล่ะคะ?” หลิวเหมยถาม
เสี่ยวเชี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม “สาเหตุของโรคซึมเศร้ามีเยอะมาก สภาพร่างกายที่ต่างกันก็มีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป แต่ถ้าดูจากอาการของเวยเวย แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องสภาพแวดล้อมของครอบครัว”
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆนะ ไหนว่าคนดีจะมีชีวิตที่สงบสุขไง?”
ช่วงหลายวันมานี้หลิวเหมยเก็บความโกรธอัดอั้นไว้ในใจ พอเห็นเวยเวยที่น่าสงสารแล้วดูคนเลวที่ยังอยู่ในช่วงสอบสวนเธอก็รู้สึกโกรธมาก!
ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันอยู่นั้น ฉิวฉิวก็มาจากด้านนอกด้วยท่าทางโมโห พอเข้าบ้านมาก็พูดกับอวี๋หมิงหลางและหลิวเหมย
“พรรคพวก ฉันทนไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ฉันอยากจะไปอัดไอ้คนชั่วนั่นกับเมียมันให้ขี้แตก!”
“ฉิวฉิวใจเย็นก่อน เกิดอะไรขึ้น?”
เสี่ยวเชี่ยนถามฉิวฉิว
“ฉันมีเพื่อนทำงานอยู่ในทีมตำรวจ วันนี้ฉันได้ยินข่าวที่สุดยอดมา ดูเหมือนไอ้บ้านั่นจะขอพักการสอบสวน!” เรื่องนี้ทำให้ฉิวฉิวโมโหสุดๆ
“พักการสอบสวน?” อวี๋หมิงหลางหน้านิ่ว “เหตุผลล่ะ?”
“บอกว่าเป็นโรคหัวใจ ตอแหล!” ฉิวฉิวทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
หลุ่ยจือทำงานเป็นเซลล์ขายอุปกรณ์การแพทย์ รู้จักคนที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาล การจะให้ออกใบรับรองแพทย์นั้นใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เดิมหาหลักฐานเอาผิดให้คนชั่วโดนลงโทษนานหน่อยไม่ได้ก็น่าเซ็งแล้ว นี่ยังได้ยินเรื่องที่พักการสอบสวนอีก ฉิวฉิวแทบจะระงับความโกรธไม่อยู่แล้ว
หลิวเหมยพอได้ยินแบบนั้นก็โมโห พับแขนเสื้อขึ้นกวาดตามองไปรอบๆแล้วก็เห็นหุ่นใส่ชุดเกราะเหล็กของเสี่ยวเชี่ยนจึงเดินไปดึงอาวุธออกมา
“ไป! จัดการมันให้สิ้นซาก!”
“เอาให้ขี้แตก!”
คนหนึ่งจบพละ อีกคนเป็นวิชาการต่อสู้ อารมณ์กำลังเดือดขั้นสุด สมองเต็มไปด้วยความคิดที่จะพิทักษ์ความยุติธรรม
เสี่ยวเชี่ยนพอเห็นสองคนนั้นจะไปเอาเรื่องก็รีบพูดกับอวี๋หมิงหลาง
“ไปจับสองคนนั้นไว้!”
เธอว่ายังไงอวี๋หมิงหลางก็ทำอย่างนั้น เขาพุ่งไปขวางประตูไว้
“พี่หลางหลบไป!”
“ใจเย็นก่อน” อวี๋หมิงหลางพูด
“ใจเย็นกับผีสิ! ยังหวังว่ากฎหมายจะให้ความยุติธรรมกับเวยเวยได้อีกเหรอ นี่มันขอพักการสอบสวนแล้วนะ!” มันเหลืออดแล้วจริงๆ!