อยู่กับต้าอีเสี่ยวเชี่ยนไม่ต้องแสร้งทำเป็นเก่ง เธอพูดไปตามความจริง “จะบอกว่าไม่กลัวเลยก็ไม่ใช่ ตอนที่ช่วยคนออกมาได้แล้วพบว่าผิดปกติ ในใจฉันก็เกิดอาการหวั่นใจ”
“ตอนเผชิญหน้ากับคนร้ายเธอยังไม่กลัว ช่วยคนได้แล้วจะกลัวอะไร?”
“ฉันกลัวว่าความพยายามของฉันจะสูญเปล่า ช่วยคนใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที แต่ฉันกลับใช้สุดความสามารถ ฉันใช้พลังทั้งหมดทำให้ตัวเองดูใจเย็น ฉันไม่อาจทนเห็นตัวเองที่ทุ่มเทขนาดนั้นต้องผิดหวัง”
“…แสดงว่าเธอก็ยังเป็นห่วงผู้หญิงคนนั้นเหรอ?” ต้าอีสรุปความหมายจากคำพูดที่วกไปวนมาของเสี่ยวเชี่ยนได้แบบนี้
“ฉันแคร์ตัวเองเท่านั้น ฉันไม่อยากให้ความพยายามของตัวเองสูญเปล่า”
ประธานเชี่ยนจริงจังกับการแก้คำพูดของต้าอีมาก เธอไม่อยากให้ตัวเองแสดงออกว่ามีความสงสารคนไข้มากเกินไป
ดูเหมือนต้าอีจะเข้าใจประธานเชี่ยนขึ้นมาหน่อยแล้ว
เป็นคนหัวดื้อไม่เบาเลยนะ เห็นๆอยู่ว่าเป็นหมอที่จิตใจดี แต่กลับทำให้ดูตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัว
ตรงข้ามกับคนบางคนโดยสิ้นเชิง บางคนเห็นชัดๆว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่กลับแสร้งทำเป็นคนใจกว้าง
“ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น?”
“ฉันสงสัยว่าเขาจะผวาจนเกิดภาพหลอนกลายเป็นโรคหลายบุคลิก แต่ก็ไม่ตัดความเป็นไปได้อื่นๆทิ้ง ส่วนรายละเอียดต้องรอแข่งเสร็จแล้วฉันจะไปดูเขาหน่อย” พอนึกถึงผู้หญิงคนนั้นดวงตาของประธานเชี่ยนก็แข็งกร้าวขึ้น
โลกนี้มันแคบจริงๆ
“งั้นให้ฉันไปแทนไหม ปกติเธองานยุ่ง เคสแบบนี้ฉันก็จัดการได้” ฟังจากที่ประธานเชี่ยนพูดต้าอีรู้สึกว่าประธานเชี่ยนไม่ได้อยากได้เงิน ปกติค่ารักษาของประธานเชี่ยนแพงมาก ต้าอีเลยอยากรับเคสที่รักษาฟรีมาทำแทน
“ดูสถานการณ์ก่อนแล้วกัน สำหรับผู้หญิงคนนั้นฉันมีสองทางเลือก ผ่านวันนี้ไปทำเป็นเหมือนไม่รู้จักกัน หรือไม่ก็พยายามรักษาเขาอย่างสุดความสามารถ”
“ทำไมเป็นสองทางที่ต่างกันลิบลับเลยล่ะ?” ต้าอีไม่เข้าใจ
เสี่ยวเชี่ยนยิ้ม “เพราะนิสัยของมนุษย์เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าไม่เป็นเทวดาก็เป็นซาตาน รอดูว่าพ่อเขาจะเลือกทางไหน”
ต้าอียิ่งไม่เข้าใจใหญ่ พูดถึงผู้หญิงเคราะห์ร้ายคนนั้นอยู่นะ พูดถึงพ่อเขาทำไมกัน
เสี่ยวเชี่ยนดวงตาเป็นประกาย มีรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า “ในตำราไช่เกินถานมีประโยคหนึ่งที่ควรค่าแก่การเก็บมาคิด คนดีจอมปลอม ยังสู้คนเลวที่ปรับปรุงตัวไม่ได้”
“เธอหมายถึง คนที่แสร้งทำตัวเป็นคนจิตใจดี ยังสู้คนเลวที่กลับตัวกลับใจไม่ได้เหรอ?”
“ประโยคนั้นแหละ”
“เอ่อ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการแข่งขันรอบต่อไปเหรอ?”
ถึงเวลาแล้ว ต้าอีไม่ได้ถามอะไรอีก เสี่ยวเชี่ยนเดินออกไปเผชิญหน้ากับการแข่งขันรอบสุดท้าย
ผ่านระเบียงทางเดินไปยังห้องกระจกเล็กๆแบบปิด
ภายในห้องขนาดเล็กที่มีพื้นที่ไม่ถึงห้าตารางเมตร มีโต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้สองตัว บนโต๊ะมีประวัติคนไข้กับแบบทดสอบ บนเก้าอี้มีเสื้อกาวน์หมอวางพาดอยู่
หากไม่มีบานกระจกรวมถึงกล้องที่ใช้ถ่ายทอดตั้งอยู่ ที่นี่ก็เหมือนกับห้องบำบัดจิตใจที่อยู่ในศูนย์บำบัดผู้มีอาการทางประสาท
เสี่ยวเชี่ยนเดินเข้าไปแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ เธอไม่ได้หยิบเสื้อกาวน์หมอขึ้นมาใส่แต่หยิบแบบทดสอบขึ้นมาดูอย่างละเอียดก่อน
เนื่องจากเป็นคนไข้สมมติ ซึ่งก็คือไม่ได้ป่วยแต่แสร้งทำเป็นป่วย เพื่อให้หมอวินิจฉัยได้ง่ายขึ้นจึงมีการปลอมแบบทดสอบไว้ล่วงหน้า ประวัติคนไข้ว่างเปล่า หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนดูเสร็จเธอก็เขียนข้อความในแฟ้มประวัติ ช่างภาพขึ้นข้อความให้เธอ
ลายมือของเธอสวยงามหนักแน่น ไม่หวัดเหมือนหมอทั่วไป
เสี่ยวเชี่ยนเขียนเสร็จก็เอาเสื้อกาวน์หมอพับเก็บใส่ลิ้นชัก
ท่าทางของเสี่ยวเชี่ยนทำให้แม่อวี๋ที่กำลังชมถ่ายทอดสดอยู่ถามขึ้น
“ทำไมเสี่ยวเชี่ยนไม่ใส่เสื้อกาวน์ล่ะ?”
“เหมือนประธานเชี่ยนเคยอธิบายกับหนูว่า เวลาเธอรักษาคนไข้จะดูตามสถานการณ์เอาค่ะ บางโรคเธอจะใส่เสื้อกาวน์เพื่อให้คนไข้เกิดความไว้วางใจ แต่คนไข้บางคนมีอาการวิตกกังวล ต่อต้านจิตแพทย์กับหมอประสาท ถ้าเจอคนไข้แบบนี้ประธานเชี่ยนก็จะไม่ใส่เสื้อกาวน์ค่ะ แต่งตัวธรรมดาเหมือนพูดคุยกันปกติเพื่อลดความกังวลของคนไข้”
ต้าอีอธิบายให้แม่อวี๋ฟัง แม่อวี๋อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย
ดูท่าทางเสี่ยวเชี่ยนจะเห็นอะไรจากแบบทดสอบนั่นถึงได้ทำแบบนี้
คณะกรรมการที่อยู่ด้านนอกไม่รู้จุดประสงค์ในการทำแบบนี้ของเสี่ยวเชี่ยน บางคนได้กดหักคะแนนเสี่ยวเชี่ยนไปแล้ว แต่หลังจากแข่งเสร็จพอประธานเชี่ยนอธิบายถึงเหตุผลที่เธอไม่ใส่เสื้อกาวน์หมอ คณะกรรมการที่เคยหักคะแนนก็รู้สึกเสียดาย
สำหรับประธานเชี่ยนแล้วนี่เป็นสองคะแนนที่เล็กน้อยมาก ไม่ได้ส่งผลต่อคะแนนรวมของเธอเลยสักนิด
แต่คณะกรรมการเหล่านั้นกลับแสดงถึงความไม่เป็นมืออาชีพของตัวเองออกมา แต่นี่ก็เป็นเรื่องในภายหลัง
หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนเตรียมตัวเสร็จแล้วเธอก็กดกริ่ง
ความไวนี้เร็วที่สุดในบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด
คนอื่นๆยังนั่งวิเคราะห์แบบทดสอบกันอยู่ว่าควรรักษาอย่างไร หรือบางคนกำลังสวมเสื้อกาวน์อยู่ก็มี…อ้วนเกินไป ติดกระดุมไม่ได้เลยเสียเวลาไปหลายนาที
เสี่ยวเชี่ยนใช้เวลาไม่นานก็กดกริ่งทำให้ผู้ชมต่างตกใจ นี่เธอมีแผนรักษาในใจแล้วหรือคิดจะยอมแพ้กันแน่ ยังไม่ทันจะได้ดูอะไรก็เรียกคนไข้มาแล้วเหรอ?
ผู้ชายวัยกลางคนๆหนึ่งเดินเข้ามา เสี่ยวเชี่ยนยิ้มให้เขา
ผู้ชายคนนั้นมัวแต่คิดว่าจะก่อกวนเสี่ยวเชี่ยนอย่างไร ไม่ให้ความร่วมมือตามที่คนจ้างบอก จากนั้นพอรักษาเสร็จก็ให้คะแนนต่ำ
ตอนที่เขาเห็นหน้าเสี่ยวเชี่ยนก็ทำสีหน้าตกใจใหญ่ ทำไม ทำไมเป็นผู้หญิงคนนี้?
นี่มันนักจิตวิทยาที่ช่วยตัวประกันเมื่อวานไม่ใช่เหรอ?
ทำไม ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ล่ะ?
ผู้ชายคนนี้ยังจำภาพที่นักจิตวิทยาคนนี้ช่วยลูกสาวเขาไว้ได้แม่นยำ เธอทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ให้เขาด้วย ยังอยู่ในกระเป๋าอยู่เลย
ถึงลูกสาวของเขาอาการจะคงที่แล้ว แต่ก็ยังต้องอยู่รอดูอาการที่โรงพยาบาล ตอนที่อาการไม่กำเริบหมอก็ยากที่จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร โดยเฉพาะการวินิจฉัยโรคจิตเวชยากยิ่งกว่าโรคทั่วไป ตอนนี้ทำได้แค่ให้ยาบำรุงผ่านทางน้ำเกลือ ลูกของเขายังอยู่ในอาการตกใจกลัว ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน
ถูกต้อง ผู้ชายคนนี้ก็คือพ่อของสาววัยรุ่นที่ถูกคนร้ายจับเป็นตัวประกันแต่ไม่ถูกทำร้ายที่เสี่ยวเชี่ยนช่วยออกมาได้ในเวลาต่อมา
พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนเขาก็ตกใจมาก
ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนเห็นรูปเขาบนจอก็ตกใจเหมือนกัน แต่เธอก็เก็บอาการได้ไว ตอนนี้พอมาเจอตัวจริงก็ไม่ได้มีอาการตกใจอะไร
ผู้ชายคนนี้พอเข้ามาในห้องแล้วก็ยืนตัวแข็ง เสี่ยวเชี่ยนทำมือให้เขานั่ง
“นั่งสิคะ”
“คุณ…” แววตาของผู้ชายคนนั้นดูเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
คนที่นายจ้างต้องการให้เขามากลั่นแกล้งเป็นผู้มีพระคุณของลูกสาวเขา
ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนดี แต่เขาก็ไม่ถึงกับไม่แยกแยะ สถานการณ์เมื่อวานถ้าไม่ได้เสี่ยวเชี่ยนช่วยไว้ก็ยังไม่รู้เลยว่าลูกสาวเขาจะเป็นอย่างไร
คนพวกนั้นจะให้เขากลั่นแกล้งผู้มีพระคุณงั้นเหรอ?
“ฉันเป็นนักจิตวิทยาบำบัดชื่อเฉินเสี่ยวเชี่ยนค่ะ คุณจะยอมคุยกับฉันสักหน่อยได้ไหมคะ?” เสี่ยวเชี่ยนพยายามเน้นเสียงเล็กน้อยเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นมีสมาธิอยู่ตรงหน้า
เขาพยักหน้าแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ไม่พูดอะไร
ที่ด้านนอก จ้าวต้าเผ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ผ่านการถ่ายทอดสด เขาไม่รู้เรื่องเมื่อวานว่าเสี่ยวเชี่ยนกับผู้ชายคนนี้เจออะไรมา ข่าวที่โทรทัศน์แพร่ภาพออกไปไม่มีผู้ชายคนนี้ ดังนั้นจ้าวต้าเผ้าจึงไม่รู้เรื่องราวของสองคนนี้ เขาเห็นแค่ผู้ชายคนนั้นพอเข้าห้องไปแล้วก็นั่งลง ท่าทางไม่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ จ้าวต้าเผ้าแอบยิ้มเยาะ
ดี แบบนั้นนั่นแหละ ต่อให้เฉินเสี่ยวเชี่ยนจะเก่งสักแค่ไหน ถ้าคนไข้ไม่พูดสักอย่างก็ไม่มีทางทำอะไรได้หรอก