เสียงของเสี่ยวเชี่ยนลอยมาจากที่สูง
“เลิกพูดมาก รีบจัดการพวกนั้นซะ ฉันหิวแล้ว”
มองขึ้นไปตามเสียงถึงได้เห็นเสี่ยวเชี่ยนนั่งมองเหตุการณ์อยู่บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่ยังไม่ถูกรื้อ
เธอหาที่นั่งดูเก่งจริงๆ นั่งอยู่ในที่ๆมองเห็นอวี๋หมิงหลางปั่นหัวสามคนนั้นได้อย่างชัดๆ แถมไม่มีทางโดนลูกหลงแน่นอน
“รับทราบ เมียฉันบอกว่าหิวแล้ว งั้นฉันก็จะเลิกเล่นกับพวกนายแล้ว” อวี๋หมิงหลางส่งจูบให้เสี่ยวเชี่ยน
ศักดิ์ศรีของนักเลงถูกเหยียบย่ำถึงเพียงนี้ มันชักจะมากเกินไปแล้ว
“ลุย อัดมัน” ลูกพี่ใหญ่หอบไปสั่งไป จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปรุม
อย่าว่าแต่เรี่ยวแรงเหลือแค่นี้เลย ต่อให้เป็นตอนปกติคนพวกนี้อยากรุมอวี๋หมิงหลางก็ยังห่างชั้นกันนัก
อวี๋หมิงหลางใช้เวลาไม่ถึงสามนาทีก็จบสงครามครั้งนี้ได้ เขาเหยียบเอวคนที่เป็นหัวโจกไว้ ส่วนอีกสองคนลุกขึ้นมาไม่ไหวแล้ว
นอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น ตอนนี้ขยับตัวทำอะไรก็ยาก เป็นนักเลงก็ยังเสี่ยงขนาดนี้
เสี่ยวเชี่ยนปีนลงมาจากหลังคาแล้วเดินเข้าไปหาสามคนนั้นที่มีสภาพน่าเวทนา เธอทำเสียง หึ ออกมา
“พวกขยะ มีมือมีเท้าไม่รู้จักทำมาหากินดีๆ กลับคิดทำเรื่องต่ำช้าแบบนี้”
“เจ๊ พวกเราผิดไปแล้ว พวกเราทำเพื่อความอยู่รอด ปล่อยพวกเราไปเถอะนะครับ”
นักเลงหัวโจกที่ถูกอวี๋หมิงหลางเหยียบอยู่ร้องอ้อนวอน
เสี่ยวเชี่ยนไม่สงสารคนพวกนี้เลยสักนิด หันไปยื่นคำขาดกับอวี๋หมิงหลาง
“แจ้งตำรวจ ฉันต้องการสืบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด”
ไม่ว่าจ้าวต้าเผ้าจะมีเบื้องหลังยังไงก็ต้องจับคนพวกนี้มาให้ยอมสยบให้ได้
“แจ้งตำรวจ…เห้อ”
อวี๋หมิงหลางส่ายหน้า
พอตำรวจมาพาคนร้ายไปก็ต้องตามไปลงบันทึกประจำวันทำนู่นนี่นั่นอีก ยุ่งยากจะตาย
แล้วจะได้ไปกินข้าวไหม?
อวี๋หมิงหลางกลอกตาไปมา ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นในหัว
นักเลงสามคนนี้เห็นอวี๋หมิงหลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
มัน คิดจะทำอะไรน่ะ?
“เมียจ๋า หันไปก่อนนะ ภาพต่อไปที่จะเกิดขึ้นไม่เหมาะกับผู้หญิง” อวี๋หมิงหลางพูดกับเสี่ยวเชี่ยน
ไม่กี่นาทีต่อมาอวี๋หมิงหลางก็พาสาวสวยของเขาเดินฮัมเพลงขึ้นรถขับออกไปกินข้าวกันอย่างสบายใจ
ภายในหมู่บ้านกลางเมืองที่ถูกรื้อจนเละเทะนั้น ผู้ชายสามคนที่ถูกถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่กางเกงในถูกจับมัดหันหลังชนกัน เชือกเส้นเดียวมัดพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา ส่วนเชือกอีกเส้นมัดพวกเขาไว้กับต้นไม้
ส่วนปากก็ถูกอุดด้วยถุงเท้าของพวกเขา ส่วนบนร่างกายมีข้อความที่ถูกเขียนด้วยปากกาเจล
น้องสาว มาเล่นกับพี่ไหมจ๊ะ?
พวกเขาพยายามส่งเสียงขอความช่วยเหลือ อากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้ถุงเท้าในปากที่เดิมทีก็เหม็นอยู่แล้วมีกลิ่นเหมือนขึ้นรา น่าสะอิดสะเอียนที่สุด
จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็มีเมียคนงานก่อสร้างที่เพิ่งกินข้าวเสร็จเดินถือกล่องข้าวเตร็ดเตร่มาทางนี้ คาดคะเนจากสายตาน่าจะหนักเจ็ดสิบกิโลได้
“ว้าย ช่วยด้วยจ้า ตรงนี้มีคนบ้าแก้ผ้า”
ฮือๆๆ พวกเราเป็นแค่นักเลง ไม่ใช่คนบ้าสักหน่อย
คำอธิบายทั้งหมดถูกอุดด้วยถุงเท้าเหม็นๆ คนงานที่ร่างกายกำยำสองสามคนพอได้ยินเสียงก็เดินเข้ามา พอเห็นสามคนนั้นคนที่บึกบึนที่สุดก็ถลึงตาใส่
“เห็นเมียข่อยสวยเลยคิดจะรังแกงั้นรึ?”
เห้ย เมียเอ็งอย่างน้อยๆก็เจ็ดสิบโลแล้ว รังแกกับผีดิ ฉันเป็นนักเลงที่มีรสนิยมนะโว้ย น่าเสียดายที่นักเลงที่มีรสนิยมถูกอุดปากเสียสนิท พูดอะไรก็ไม่มีใครได้ยิน
สิ่งที่ต้อนรับพวกเขาในเวลาต่อมาก็คือหมัดพิฆาตของคนงานที่มีหัวใจเพื่อปกป้องเมีย ท่ามกลางการรัวทั้งหมัดทั้งถีบ สามารถสรุปเหตุการณ์นี้ออกมาได้สองข้อ
ข้อหนึ่ง การปกป้องเมียไม่มีแบ่งอาชีพ
ข้อสอง แรงงานรากหญ้านั้นมีความเป็นพวกพ้องสูง พอคนหนึ่งลำบาก คนอื่นๆก็มาช่วยกัน…รุม
ขณะที่อยู่บนรถเสี่ยวเฉียงก็ถามเสียวเหม่ย
“จบแค่นี้เหรอ?”
“ตำรวจจะลงโทษจ้าวต้าเผ้าเรื่องที่จ้างคนมาทำร้าย คนที่บงการเขาก็คงไม่ปล่อยที่เขาทำพลาดแน่ จ้าวต้าเผ้าไม่น่าเปิดเผยคนที่อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นพวกเราไปโรงพักก็ไม่มีประโยชน์ ไว้ฉันค่อยไปคิดบัญชีกับคนที่อยู่เบื้องหลัง”
เสี่ยวเชี่ยนมีแค้นต้องชำระ ไม่เคยมีคำว่าให้อภัย
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาเบอร์แปลกที่เคยโทรหาเธอ ทิ้งเบอร์ศาสตราจารย์หลิวไว้พร้อมข้อความ
บอกชื่อฉันไปแล้วให้เขาช่วยรักษาโรคลักเล็กขโมยน้อยของลูกสาวคุณให้
เสี่ยวเฉียงยิ้ม นี่แหละเมียเขา มีนิสัยอยู่อย่าง ถ้าใครให้อะไรเธอ เธอก็จะจดจำไว้ในใจ แยกแยะชัดเจนเรื่องความแค้นหรือบุญคุณ
“พี่ใหญ่ ผมเอง…อะไรนะ จ้าวต้าเผ้าออกนอกประเทศไปแล้ว?” เสี่ยวเฉียงรับสายจากพี่ใหญ่
เสี่ยวเชี่ยนหันไปมอง ยิ้มมุมปาก เหมือนที่เธอคิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ
พอสามคนนั้นถูกจับไปจะต้องบอกว่าจ้าวต้าเผ้าเป็นคนบงการแน่นอน เขาหนีไปไวตามคาด
“หนีไปเลย อยากรู้ว่าจะหนีไปได้สักกี่น้ำ ธุรกิจของมันยังอยู่ไม่ใช่เหรอ? ต้องทำไงคงไม่ต้องให้ผมบอกนะ พี่จัดการไปเลย ใช้ธุรกิจจัดการมันก็ได้…อืม ถ้าจ้าวต้าเผ้าเข้าประเทศมาเมื่อไรรีบจับมันไว้เลยนะ ผมไม่เชื่อหรอกว่ามันจะไม่ยอมบอกว่าใครอยู่เบื้องหลัง”
เสี่ยวเชี่ยนนั่งฟังเขาสั่งอย่างเงียบๆ ถึงจะจัดการจ้าวต้าเผ้าลูกน้องกระจอกได้ แต่ตัวการที่อยู่เบื้องหลังก็ยังลอยนวล
หากเสี่ยวเฉียงเอาจริงเอาจังขึ้นมาจะเท่ห์มาก พอวางสายก็กลับไปทำตัวต๊องเหมือนเดิม
“แรงงานของเรามีพลัง แรงงานของเรามีพลัง”
“ร้องเพลงอะไรน่ะ ไม่เข้าสถานการณ์เลย” เสี่ยวเชี่ยนพูดตรงๆ
“งั้นร้องให้พี่ฟังหน่อย”
อาจเพราะเมื่อครู่เสี่ยวเชี่ยนประทับใจในความเท่ห์ของเขา ร้องก็ร้องสิ กลัวที่ไหน
“ขอฉันหาก่อนนะมีเพลงอะไรสนุกๆบ้าง” เสี่ยวเชี่ยนหาแผ่นซีดีในรถ เธอหยิบแผ่นซีดีเพลงต่างประเทศ สนุกไปกับจังหวะเสียงกลองแล้วแสร้งทำเป็นขอเสียงประหนึ่งเป็นดีเจ
“ล้าลาลา ตุ่มๆโป๊ะ ตุ่มๆโป๊ะ แต๊แนแหน่ว แต๊แนแหน่ว แท่มทะแด๊น ดู๊ดูดู เอ้า วันทูทรีโฟร์~” ปกติประธานเชี่ยนจะไม่ตะโกนขอเสียง แต่ถ้าเล่นทีก็มีอึ้ง อวี๋หมิงหลางที่เมื่อครู่ประหนึ่งมีวิญญาณบอสหนุ่มจอมเผด็จการเข้าสิง ตอนนี้เจอเสี่ยวเชี่ยนเข้าไปก็ถึงกับอึ้ง นี่มันวัยรุ่นคึกคะนองชัดๆ
เขาตกใจกับท่าทางของเธอจนมือที่จับพวงมาลัยถึงกับสั่น เกือบขับไปชนเกาะกลางถนน
เสี่ยวเชี่ยนหยุดร้องแล้วหันไปมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ขับดีๆหน่อยไม่ได้หรือไง?”
เสี่ยวเฉียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “เมียจ๋า คุณ…คุณคงไม่ได้แอบผมไปดิสโก้เทคใช่ไหม?”
ท่าทางแบบนี้มันน่าตกใจจริงๆนะ
เสี่ยวเชี่ยน หึ ออกมา ดิสโก้บ้าบออะไร ในสายตาเธอของแบบนั้นมันล้าหลังไปแล้ว
“เมียจ๋า ต่อสิ อย่าหยุด”
ยังฟังไม่พอเลย
เสี่ยวเชี่ยนเหล่มองเขา อวี๋หมิงหลางนายก็มีวันนี้เหรอ?
ไอ้คนหน้าด้าน นายมีตอนที่ตะโกนว่าอย่าหยุดด้วย?
เขาเป็นคนที่ชอบเบรกกะทันหันสุดๆ แล้วก็ให้เธอพูดเพราะๆกับเขา ถ้าไม่พูดก็จะทำหน้าประท้วงอย่างหน้าด้านๆ ตอนนี้ประธานเชี่ยนเห็นสีหน้าอารมณ์สะดุดของเขาแล้วรู้สึกสะใจไม่เบา
เพื่อความสะใจนี้ ประธานเชี่ยนจะไม่พูดอะไรไปตลอดทาง ร้องแค่ขึ้นต้นไม่ร้องต่อให้จบ จะทำไมล่ะ