เสี่ยวเชี่ยนเปิดสมุดโน้ตเล่มเล็กของตัวเอง ขณะที่กำลังนั่งดูรูปโต๊ะไม้ขนาดเล็กอยู่นั้นโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
“เชี่ยนเอ๋อ”
“มีอะไรเหรอแม่?”
“ช่วงนี้ยุ่งหรือเปล่า?”
“ก็พอได้อยู่ ต้าหลงใกล้สอบแล้วไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวหนูว่าจะกลับไปดูหน่อย”
“ดีเลย แม่กำลังจะคุยเรื่องนี้พอดี แกรีบกลับมาเลยนะ เรื่องน้องชายแกก็เรื่องหนึ่ง แต่ยังมีอีกเรื่อง แกดูดวงให้คนอื่นได้ไม่ใช่เหรอ? มีเรื่องจะให้แกทำหน่อย”
ดูดวง…เสี่ยวเชี่ยนมุมปากกระตุก
นี่แม่เธอคิดว่าเธอเป็นหมอดูจริงๆเหรอเนี่ย?
“ว่ามาบ้านไหนเกิดเรื่องอีก จะให้หนูรักษาเด็กที่ไม่กินข้าวหรือจะให้ดูว่าสามีบ้านไหนไปมีเมียน้อยหรือเปล่า? อันที่จริงแม่น่าไปหาฟู่กุ้ยนะ ฟู่กุ้ยดูชอบเรื่องพวกนี้ เขาก็รักษาได้”
นี่ล้วนเป็นงานขี้หมูราขี้หมาแห้งที่ช่วงสองปีมานี้แม่เธอหามาให้ไม่หยุดหย่อน เป็นเพื่อนแม่ทั้งนั้นเธอจะปฏิเสธก็ไม่ได้
ยังดีที่หลังจากแม่แต่งกับอาเลี่ยวไปแล้ว เลี่ยวฟู่กุ้ยก็มารับหน้าที่ ‘แม่พระของสังคม’ นี่ต่อ หน้าที่ปลอบประโลมคนแก่กับบรรดาเพื่อนประหลาดของแม่เธอฟู่กุ้ยรับไปเต็มๆ
บางครั้งเสี่ยวเชี่ยนก็มีความคิดพิเรนทร์ เธอคิดว่าถ้าหากเปิดเผยออกไปว่าฟู่กุ้ยเป็นนักนิติจิตวิทยา ให้บรรดาพวกคนที่อยากมารักษาฟรีรู้ว่าจริงๆแล้วฟู่กุ้ยรับวินิจฉัยคนบ้าที่ทำผิดในคดีอาญา ลุงๆป้าๆพวกนั้นจะโมโหไหม?
แม่เสี่ยวเชี่ยนเองก็รู้ว่าถ้าบอกหน้าที่การงานของฟู่กุ้ยจะต้องมีคนตกใจแน่ ดังนั้นเวลาแนะนำจึงบอกแค่ว่ามีลูกเลี้ยงจบดอกเตอร์ ส่วนสาขาอะไรนั้นพูดยาก พูดไปก็ไม่มีใครเข้าใจ
พอนึกถึงผลลัพธ์จากการเปิดเผยตัวตนของพี่ฟู้กุ้ยก็คือเธอต้องกลับมารับหน้าที่นี้เหมือนเดิม เสี่ยวเชี่ยนจึงเก็บความพิเรนทร์เอาไว้ก่อน ตอนนี้เธอชินกับการโยนเคราะห์ให้คนอื่นแล้ว
พูดถึงฟู่กุ้ยเจี่ยซิ่วฟางก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“พี่ฟู่กุ้ยของแกไปเที่ยวกับเหมยจื่อแล้ว สองคนนี้ก้าวหน้าไปไวมาก เหมยจื่อเองก็ใช้ได้ ฉันดูๆแล้วนะ เป็นเด็กที่พูดจาตรงไปตรงมาไม่มีพิษไม่มีภัย ฉันชอบผู้หญิงแบบนี้นี่แหละ คราวก่อนที่มาบ้านเราซัดซี่โครงไปครึ่งหม้อแน่ะ ฉันเห็นแล้วถูกชะตาทันที ไม่เสแสร้ง”
“เขาชอบกินเป็นปกติอยู่แล้ว จะเสแสร้งอะไรล่ะ…เดี๋ยวนะ แม่ว่าสองคนนั้นไปไหนนะ?”
เสี่ยวเชี่ยนเอะใจบางอย่าง
“ไปเที่ยวไง คราวก่อนที่ฟู่กุ้ยไปหาแก ไม่รู้สองคนนี้ไปตกลงกันอีท่าไหนออกไปเที่ยวด้วยกันซะงั้น ที่ทำงานของฟู่กุ้ยให้หยุดพอดีด้วย เขาโทรมาบอกพวกเราแล้วถึงไปเที่ยวกัน”
ไม่ถูกสิ เรื่องนี้มันแปลกๆ
เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
หลิวเหมยกับฟู่กุ้ยไม่ใช่วัยรุ่นที่นึกอยากจะไปเที่ยวก็ไป สองคนนี้ใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริง วันนั้นที่กินข้าวแม่อวี๋ให้โทรไปชวนก่อนแล้ว งานแบบนี้สองคนนั้นมีเหรออยากจะพลาด?
แถมไม่บอกด้วยว่าไปไหน…
เสี่ยวเชี่ยนหรี่ตา มันไม่ชอบมาพากล
“พรุ่งนี้แกกลับมาได้หรือเปล่า?” เจี่ยซิ่วฟางถามต่อ
“พรุ่งนี้บ่ายกลับ จริงสิแม่ แล้วคนที่แม่อยากให้หนูไปดูคือใครเหรอ?”
“ยังจำน้าสามญาติห่างๆได้หรือเปล่า?”
“น้ามีตั้งหลายคนแม่พูดถึงคนไหนล่ะ?”
“เด็กคนนี้นี่ทำไมไม่รู้จักจำ? เรียนมากจนเพี้ยน ก็เพื่อนบ้านของยายสาม แม่ของเขากับยายแกเป็น…”
“หยุด พอ ไม่ต้องพูดเรื่องความสัมพันธ์ยั้วเยี้ยนี่” เสี่ยวเชี่ยนพอได้ยินลำดับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนพวกนี้ก็ปวดหัว
อวี๋หมิงหลางกลับมาก็เห็นเสี่ยวเชี่ยนนั่งขัดสมาธิกำลังใช้สำเนียงบ้านเกิดตัวเองคุยโทรศัพท์อยู่ สีหน้าหลากอารมณ์แบบนั้น คนที่ทำให้เธอระบายอารมณ์ออกมาได้ขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าเป็นคนที่บ้านโทรมา
อวี๋หมิงหลางเปลี่ยนรองเท้าแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างเธอ เสี่ยวเชี่ยนเอามือลูบหัวเขา ผมสั้นตัดเกรียนแบบนี้ลูบแล้วมันดี เป็นความรู้สึกที่ยิ่งทำยิ่งติด
“เรียนถึงปริญญาโทแล้วเรื่องความสัมพันธ์พวกนี้แกยังไม่เข้าใจอีก เรียนเสียเปล่าจริงๆ” ทุกครั้งที่เจี่ยซิ่วฟางพาลูกสาวออกไปด้วยล้วนตั้งใจแนะนำให้รู้จักญาติๆ ไม่อย่างนั้นเสี่ยวเชี่ยนจะไม่เข้าใจ
“หนูจะรู้เรื่องพวกนี้ไปทำไมล่ะแม่ คำเรียกพวกนั้นมันก็แค่เป็นคำแทนบุคคล”
รู้สึกได้ว่าต่อให้เรียนถึงดอกเตอร์ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้เลยด้วยซ้ำ พวกผู้ใหญ่พอพูดถึงเรื่องแบบนี้สามารถบรรยายได้ถึงระดับนักวิจัยหลังปริญญาเอกเลยด้วยซ้ำ
“แบบนั้นมันไม่ถูก จะพูดแบบนั้นไม่ได้ ตอนนี้บ้านเรามีเงินแล้ว แถมแกยังแต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์ เวลาเจอญาติข้างนอกก็ต้องเข้าไปทักทายก่อน ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาไปนินทาได้ว่าพวกเราพอมีเงินแล้วทำหยิ่ง”
ตระกูลสูงศักดิ์? อวี๋หมิงหลางชี้หน้าตัวเอง เงินเดือนของเขาอันน้อยนิด แถมยังได้ค่าขนมตามเวลา ถือว่าตระกูลสูงศักดิ์เหรอ?
เสี่ยวเชี่ยนชี้ไปที่รูปร่างของเขา ความหมายคือ บ้านนายตัวสูงกันทุกคน นั่นแหละหมายความแบบนั้น
“หนูไม่เห็นจะอยากคุยด้วยเลย มีแค่คนที่คิดว่าตัวเองต่ำต้อยเท่านั้นถึงแคร์เรื่องแบบนี้ คนข้างนอกตั้งเยอะแยะหนูจะไปไล่ทักทายหมดทุกคนได้ยังไง?”
“เฉินเสี่ยวเชี่ยน ตอนนี้พอรวยแล้วทำยโสเหรอ? อย่าคิดว่าได้แชมป์มาแล้วฉันจะไม่กล้าว่าแกนะ แกได้แชมป์แล้วไม่ใช่ฉันหรอกเหรอที่ไล่โทรบอกทีละบ้านน่ะ?”
เสี่ยวเชี่ยนมองบน “แม่ ไปอวดคนอื่นแบบนั้นได้ไง คนเขาไม่หมั่นไส้เหรอ?”
มิน่าล่ะพวกญาติที่ไม่ได้ติดต่อกันมาตั้งนานกลับมาขอให้แม่ช่วย ที่แท้ก็ป้าวัยทองคนนี้ที่เที่ยวไปอวดชาวบ้าน แบบนี้ไม่เรียกว่าอยู่เฉยๆหาเรื่องใส่ตัวเหรอ?
“หนูบอกแม่ตั้งกี่ครั้งแล้ว เวลาเศร้าอย่าไปบอกคนอื่น คนรอสมน้ำหน้ามีเยอะแยะ เวลาดีใจก็อย่าเที่ยวไปโออวด คนอื่นถ้าไม่อิจฉาก็หวังจะฉวยโอกาส ทำไมยังทำไม่ได้อีก?” เสี่ยวเชี่ยนกลุ้มกับนิสัยนี้ของแม่ตัวเองจริงๆ
พอร่ำรวยขึ้นมาญาติที่ห่างจนไม่รู้จะห่างยังไงแทบไม่เคยติดต่อกันก็ติดต่อมา หลายปีก่อนตอนที่เจี่ยซิ่วฟางถูกเฉินหลินตบตี บ้านเธอจำเป็นต้องขอยืมเงินสร้างบ้าน ทำไมตามหาตัวไม่เจอ?
“ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ ลูกสาวฉันมีอนาคต ฉันก็ต้องอวดสิ ลูกสาวที่ฉันเลี้ยงมาเชิดหน้าชูตาให้ฉัน ฉันก็ต้องป่าวประกาศคนพวกนั้นสิ ให้มันรู้บ้างว่าครอบครัวเราลืมตาอ้าปากได้แล้ว”
นิสัยคนบ้านนอกที่พอมีก็ชอบโอ้อวดแบบนี้ เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าแม่ตัวเองคงเลิกไม่ได้แล้ว
ต่อให้ตอนนี้เป็นถึงเมียผู้พิพากษาก็ยังคงมีนิสัยแบบนี้อยู่
“เชี่ยนเอ๋อ ฉันจะบอกแกให้นะ รวยแล้วห้ามลืมตัว นึกถึงสมัยก่อนซิ ครอบครัวเรา…”
แย่ละๆ
เสี่ยวเชี่ยนทำหน้ากลุ้ม หากแม่เธอขึ้นต้นว่า นึกถึงสมัยก่อน นั่นก็แสดงว่าอย่างน้อยๆต้องพร่ำพรรณนาเกินสิบนาที
แม่เธอจะเริ่มจากเล่าถึงความรันทดของชีวิต คนที่สามารถทนฟังได้ตั้งแต่ต้นจนจบโดยสีหน้ายังมีรอยยิ้มก็มีแค่สองพ่อลูกแซ่เลี่ยวนั่นเท่านั้น
“แม่ๆๆๆ หมิงหลางกลับมาแล้ว แม่ช่วยปรับทัศนคติเขาหน่อย ช่วงนี้เขาชักจะทำตัวเอาใหญ่ เครื่องเกมราคาเป็นพันก็ซื้อได้ แถมยังซื้อหนังสือการ์ตูนไร้สาระมาเต็มไปหมด แม่สั่งสอนหน่อยเร็ว”