หลังจากที่ได้รู้สถานการณ์คร่าวๆแล้ว เสี่ยวเชี่ยนก็พอจะเข้าใจถึงสิ่งที่พี่สะใภ้เจอมา
เสี่ยวเชี่ยนทำการทดสอบเธออย่างง่ายๆและก็พบว่าเนื่องจากเธอขาดความรักในวัยเด็กจึงทำให้เกิดความรู้สึกอยากถูกเติมเต็ม ต่อมาก็เป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดอีก
ตอนนี้พี่สะใภ้กำลังอยู่ในช่วงวิกฤติ
ในใจเธอมีความรักของแม่ที่มีต่อลูกสาว แต่ขณะเดียวกันเธอก็รำคาญเด็กคนนี้ที่ติดคนโดยที่เธอไม่รู้ตัว เด็กคนนี้ได้ดูดเอาพลังของเธอไปทั้งหมด แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่น ความรักที่เธอมีให้ลูกสาวนั้นเป็นรักแท้ จนยอมแบกรับความกดดันเรื่องหย่าจากสามี แต่เวลาที่เธอเกลียดเด็กก็เกลียดจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่เด็กงอแงกับตอนทะเลาะกับสามี เธอเกลียดเข้าไส้
เธอต้องเสียสละไปมากเพื่อลูกคนนี้ แต่การเสียสละของเธอนั้นกลับดูเหมือนไม่ได้รับการตอบแทน บางครั้งเธอก็เผลอคิดไปว่า ถ้าไม่มีลูกคนนี้เธอยังจะต้องกลุ้มใจเรื่องการใช้ชีวิตแบบนี้ไหม?
ความคิดแบบนี้เกิดขึ้นแค่ตอนที่ทะเลาะกับสามีกับตอนที่ลูกติดเธอมากเกินไป หลังจากที่ความรู้สึกเกลียดเด็กผ่านพ้นไปเธอก็จะเข้าสู้ห้วงตำหนิตัวเอง เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี เสียทีที่เป็นแม่คน
ถึงขนาดที่บอกสามีว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ปกติ เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมบางครั้งถึงได้เกลียดเด็กขนาดนั้น
เรื่องพวกนี้เธอพูดไปก็ร้องไห้ไป
“พี่อยากเอาใจใส่ลูกให้มากกว่านี้นะ แต่เวลาที่เขาติดพี่มากๆ อีกทั้งพี่เหนื่อยจากงานมาทั้งวัน พอเห็นเขาเป็นแบบนั้นพี่ก็จะโมโหมาก เกลียดเขามาก เกลียดที่ทำไมเขาไม่เห็นใจพี่ พี่อุตส่าห์พยายามหาเงินเพื่อเป็นค่าผ่าตัดให้เขา ทำไมยังมาทำกับพี่แบบนี้? แต่พออารมณ์เย็นลงพี่ก็คิด เขาเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง เป็นแค่เด็กที่ไร้เดียงสา พี่ไปเกลียดเขาแบบนั้นก็เห็นแก่ตัวเกินไป พี่สับสนจัง ไม่รู้จะทำไง…”
พี่สะใภ้เอามือปิดหน้าร้องไห้ เสี่ยวเชี่ยนนั่งมองเธอร้องไห้อย่างเงียบๆ
จาการที่นั่งมองผู้หญิงที่อับจนหนทางคนนี้ เสี่ยวเชี่ยนเหมือนได้เห็นผู้หญิงอีกนับพันนับหมื่นที่เป็นเหมือนพี่สะใภ้
ชีวิตพวกเธอเรียบง่ายเหมือนคนเดินถนนทั่วไป พวกเธออยากทำอะไรให้ได้มากกว่านี้ เหมือนกับแม่ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่วรรณกรรมนับพันนับหมื่น แต่ความคิดกลับตามไม่ทันกำลังตัวเอง การเปรียบเทียบที่ชัดเจนแบบนี้ทำให้ผู้หญิงพวกนี้เกิดการปฏิเสธตัวเอง
ลักษณะพิเศษต่างๆหลายอย่างดูขัดแย้งในตัวมารวมอยู่ด้วยกัน ความรักกับความเกลียดชัง การพึ่งพากับการยืนหยัดด้วยตัวเอง อยากหย่าแต่ก็ต้องทนอยู่ในครอบครัวเพื่อลูก นี่คือชีวิตผู้หญิงในปัจจุบันส่วนใหญ่ที่อยู่ในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้
“อันที่จริง การเกลียดเด็กก็เป็นเรื่องปกตินะคะ”
“อะไรนะ?” พี่สะใภ้ที่กำลังร้องไห้เงยหน้ามองเสี่ยวเชี่ยน เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินอะไรแบบนี้
“ฉันจะบอกให้นะคะ ถ้านักจิตวิทยาวิจัยสีหน้า ความรู้สึกเกลียดเด็กสิถึงจะเป็นเรื่องปกติ พี่เชื่อไหมคะ?”
“แต่ใครๆก็พูดกันว่าแม่ควรเป็นผู้ให้ ควรเสียสละทุกอย่างให้ลูก”
“ใช่ค่ะ พูดกันแบบนั้น เวลาที่ผู้หญิงคนหนึ่งพูดว่าเกลียดเด็ก ทุกคนก็จะรุมประณาม ถึงขนาดที่บอกว่าไม่สมควรเป็นคน แต่พอผู้ชายพูดว่าเกลียดเด็กบ้าง หลายคนกลับมองว่าเป็นเรื่องปกติ มุมมองที่เรามีต่อสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆนี้ก็คือ ร้องไห้เก่ง ชอบงอแง พูดไม่ฟังไม่เข้าใจ วันๆเอาแต่เรียกร้องความสนใจ โดยเฉพาะเด็กที่เพิ่งเกิด มันเป็นความเกลียดแบบที่ไม่รู้จะพูดยังไงเลยล่ะค่ะ”
เด็กบางคนร้องไห้เก่งมาก เพิ่งเกิดก็งอแงได้ข้ามวันข้ามคืน ถ้าเจอพ่อที่มีความคิดผู้ชายเป็นใหญ่ คิดว่าเรื่องเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของแม่ แบบนั้นยิ่งน่าสลด
ทุกคืนต้องลุกขึ้นมาให้นมลูกหลายครั้ง เปลี่ยนผ้าอ้อม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนไม่สบายหรือตอนหลับฝันดี หากเสียงร้องไห้ดังขึ้นมายังไงก็ต้องลุกขึ้นไปดูแลลูกอย่างแทบไม่ต้องคิด
นับตั้งแต่มีลูกคนนี้ ชีวิตก็เปลี่ยนไปทันตา
ไม่เพียงแต่ร่างกายจะเหนื่อยล้า ยังแอบมีความคับอกคับใจที่ชีวิตเดิมๆต้องมาเปลี่ยนไป
ก่อนมีลูก ยังมีเวลาได้ออกไปเที่ยวเล่นบ้าง ทำในสิ่งที่ชอบ ได้ใช้ชีวิตของตัวเอง
แต่พอมีลูก ทุกอย่างก็ต้องเสียสละเพื่อลูก
‘ความเป็นตัวของตัวเอง’สิ่งนี้หลังจากที่เป็นแม่คนดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะตอนที่ลูกยังเป็นทารก จำเป็นต้องเสียสละทุกอย่างเพื่อดูแลสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย หากไม่ระวังเพียงแค่เล็กน้อยก็อาจตกเป็นขี้ปากสังคมได้
“กลัวที่สุดก็คือลูกป่วย พอลูกป่วย เจอคนที่ไม่เข้าใจเรื่องราวประโยคแรกที่ถามก็คือ ดูแลลูกยังไง? ผู้หญิงหลายคนครึ่งปีแรกหลังจากคลอดลูกจะมีอาการไม่ชอบเด็ก ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติมาก โดยเฉพาะคนที่มีสามีไม่เข้าใจ ไม่ช่วยเหลือ ลูกของพี่ขาดความรักของพ่อ เมื่อพ่อให้ความรักได้ไม่เพียงพอ ลูกก็ย่อมต้องการความรักจากแม่มากกว่าเดิม เมื่อถึงเวลานั้นแม่ก็จะยิ่งเหนื่อย อย่าคิดว่าผู้ชายแค่ทำงานหาเงินก็พอแล้ว อย่างน้อยๆก็ต้องมีความรักให้ภรรยากับลูก หากขาดสิ่งนี้ไปแม่ก็จะซึมเศร้า ลูกก็จะวิตกกังวล”
เสี่ยวเชี่ยนพูดไปเยอะขนาดนี้ก็แค่อยากจะบอกพี่สะใภ้ว่า การเกลียดเด็กไม่ใช่พฤติกรรมที่ไม่อาจให้อภัย เพราะหลังคลอดผู้หญิงส่วนใหญ่ต่างเกิดความรู้สึกนี้ทั้งนั้นไม่มากก็น้อย
“แต่คนรอบตัวพี่ชอบเด็กกันทั้งนั้น คุยอะไรกันก็มีแต่เรื่องลูก มีแค่พี่…”
“ถ้าฉันบอกว่า ที่ผู้หญิงหลายคนบอกว่าชอบเด็กเป็นเรื่องเสแสร้งทั้งนั้นพี่จะเชื่อไหมคะ?”
เมื่อฟังจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์พบเจอสิ่งต่างๆมามากมาย ภรรยาของจู้จื่อรู้สึกช็อคอีกรอบ เสแสร้งเหรอ?
“ก็เพราะว่าสังคมส่วนใหญ่กำหนดบทบาทของแม่เอาไว้ตายตัว ดังนั้นจิตใต้สำนึกของผู้หญิงหลายคนต่างบอกตัวเองว่า ถ้าเกลียดเด็กสังคมก็จะไม่ให้อภัย พวกเขาเลยต้องแสดงเป็นว่ารักเด็กมากต่อหน้าคนอื่น ยิ่งอวดลูกตัวเองมากเท่าไรก็จะยิ่งแสลงใจมากเท่านั้น มีคำพูดหนึ่งที่พูดเอาไว้ดีมาก ยิ่งชอบอวดอะไรก็ยิ่งขาดสิ่งนั้น แต่จะบอกว่าการกระทำของผู้หญิงเหล่านี้เป็นสิ่งผิดก็ไม่ถูก หลังจากที่สถานะของตัวเองเปลี่ยนไป ผู้หญิงหลายคนต่างใช้วิธีต่างๆสะกดจิตตัวเอง ต้องรักลูก ต้องทุ่มเทให้ลูก”
“เธอทำให้พี่มองบทบาทความเป็นแม่เปลี่ยนไป…แสดงว่าไม่ใช่แม่ทุกคนจะรักเด็กงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่แน่นอนค่ะ ที่ฉันพูดฉันหมายถึงสภาวะจิตใจของคนที่เพิ่งเริ่มเป็นแม่คน เพราะตอนเพิ่งเริ่มทำหน้าที่แม่นั้น จะยังปรับสภาพอารมณ์ไม่ได้ จะค่อยๆเกิดความรู้สึกเกลียดเด็กขึ้นมาทีละนิดจากความเหนื่อยล้าหรือปัจจัยอื่นๆ ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเลี้ยงลูกนานวันเข้า คนเป็นแม่99.9%ก็จะหลงรักลูกตัวเอง ยอมเสียสละทั้งชีวิต ฉันยอมรับความรักอันยิ่งใหญ่ของแม่นะคะ แต่ไม่คิดว่าความรักของแม่นั้นมีมาแต่กำเนิด ในความเป็นจริงสายใยระหว่างแม่กับลูกล้วนค่อยๆเกิดขึ้นในระหว่างที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน รอยยิ้มที่สดใสของเขา สายตาออดอ้อนของเขา เหมือนเป็นมนต์สะกดให้พวกเราพร้อมจะเสียสละได้เพื่อเขา จากนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่ผูกมัดเราไปตลอดชีวิต”
ความรักของแม่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
แต่หากพูดตามหลักความเป็นจริงเรื่องสภาพอารมณ์ของมนุษย์ เด็กแรกเกิดสร้างปัญหาให้แม่มากกว่าความสุข ถ้ามีคนคอยช่วยเหลือแบ่งเบาภาระก็ดีหน่อย แต่ถ้าเจอสามีที่ไม่เอาไหน คิดว่าแค่ให้เงินใช้ก็ถือเป็นความรับผิดชอบแล้ว กลับถึงบ้านนอนดูโทรทัศน์ เล่นเกมหรืออะไรก็แล้วแต่ ความลำบากของแม่ใครจะรู้ได้?