เสี่ยวเชี่ยนไม่ลังเลอีกต่อไป รีบโทรหาอวี๋หมิงหลางทันที
หวังว่าตอนนี้เสี่ยวเฉียงจะอยู่ในห้องทำงาน…
ถ้าเสี่ยวเฉียงอยู่ในค่ายทหารจะเปิดมือถือเฉพาะตอนอยู่ในห้องทำงานเท่านั้น
“เสียวเหม่ยมีอะไรเหรอ?”
“นายหาคนสืบให้ฉันหน่อย ดูว่าตอนนี้สืออวี้อยู่ที่ไหน แล้วก็เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคนในบ้านเขาหรือตัวเขาหรือเปล่า”
“ผมจะให้คนช่วยสืบเดี๋ยวนี้แหละ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อคืนเขาโทรหาฉันด้วย”
“เมื่อเช้าผมคุยกับเฉียวเจิ้นก็ไม่เห็นได้ยินว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เฉียวเจิ้นต้องเลื่อนงานแต่งเพราะเรื่องงาน สืออวี้จะโกรธเพราะเรื่องนี้หรือเปล่า?”
“ก็เป็นไปได้ เอาเป็นว่าหาเจ้าตัวให้เจอก่อนค่อยว่ากัน”
เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เธอสังหรณ์ใจว่าอาจไม่ใช่การงอนเล็กๆน้อยๆแน่นอน
ถ้าเป็นสืออวี้เมื่อไม่กี่ปีก่อนก็อาจจะทำตัวงอนแล้วหนีออกจากบ้านแบบนี้ก็ได้ แต่เสี่ยวเชี่ยนรู้จักสืออวี้ในตอนนี้ดี ไม่ใช่เด็กที่ไม่มีเหตุผลแน่นอน
แล้วตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
เสี่ยวเชี่ยนยืนคิดอยู่หน้าศูนย์บริการระบบโทรศัพท์สักพัก ยังคิดไม่ออก ทำได้แค่รอฟังข่าวจากเสี่ยวเฉียง
“หมอเฉิน?”
เสี่ยวเชี่ยนหันไปแล้วก็เห็นผู้ชายวัยกลางคนยืนหิ้วถุงผลไม้ยืนอยู่ ผลไม้เปียกน้ำฝนชุ่มฉ่ำ
“อ้าวคุณนี่เอง ฝนตกหนักขนาดนี้ยังออกมาอีกเหรอคะ?”
ผู้ชายคนนี้คือลูกกตัญญูที่เสี่ยวเชี่ยนเจอตอนหลบศาสตราจารย์ชีในโรงพยาบาลกลาง พ่อของเขาเป็นโรคที่รักษาไม่หายต้องได้รับการบำบัดจิตใจ เสี่ยวเชี่ยนไปรักษาให้อยู่หลายครั้ง
“พ่อผมอยากกินผลไม้ก็เลยออกมาซื้อให้แกน่ะครับ เห้อ สงสัยคงอีกไม่นานแล้วล่ะครับ ช่วงหลายวันนี้แกกินเก่งนอนเก่ง”
“น่าเสียดายนะคะ…”
“ห้ามพูดแบบนั้นเด็ดขาดครับ! ถ้าไม่ได้หมอเฉินรักษาให้พวกเราฟรีมาตลอด พ่อผมคงอยู่ไม่ถึงตอนนี้แน่นอน แม้แต่หมอยังบอกว่าปาฏิหาริย์เลยครับ เชื้อลามไปหมดทั้งตัวแล้วแบบนั้นยังอยู่ได้นานขนาดนี้ ลูกชายผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จแล้ว คาดว่าคะแนนคงออกมาไม่เลว น่าจะติดมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ พอเขาได้ฟังเรื่องราวของหมอเฉินก็ประทับใจมากเลยครับ บอกว่าอยากเรียนสาขาเดียวกับหมอเฉินด้วย”
พ่อของผู้ชายคนนี้ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ความหวังเดียวของชายชราก็คือได้เห็นหลานสอบติดมหาวิทยาลัย ก่อนหน้านี้คิดว่าจะอยู่ไม่ทันเสียแล้ว แต่ก็อยู่มาได้เพราะการรักษาของเสี่ยวเชี่ยน ถือว่าความปรารถนาได้เป็นจริงแล้ว ดังนั้นครอบครัวนี้พอเจอเสี่ยวเชี่ยนก็เหมือนกับได้พบผู้มีพระคุณอีกครั้ง อยากจะคุยกับเสี่ยวเชี่ยนให้ได้ แถมยังพยายามยัดท้อลูกใหญ่ใส่มือเธอด้วย
เสี่ยวเชี่ยนกำลูกท้อไว้ แต่สมองกลับนึกถึงตอนสืออวี้ทำน้ำผลไม้ปั่นให้เธอกิน สืออวี้ เธอไปอยู่ที่ไหนกันแน่นะ!
สืออวี้ฟื้นเพราะกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ พอลืมตาเธอก็เห็นเพดานสีขาวสะอาด
นี่เธอ…อยู่ที่ไหนกัน?
“ฟื้นแล้วเหรอ” เสียงนุ่มๆลอยมา สืออวี้หันไปตามเสียง มีผู้ชายประหลาดคนหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง
ที่บอกว่าเขาประหลาดอันที่จริงไม่ใช่เพราะเขารูปร่างหน้าตาขี้เหร่ ตรงกันข้าม เขาดูสุขุมนุ่มนวล คล้ายกับคุณชายผู้งามสง่าที่หลุดออกมาจากละครย้อนยุคข้ามกาลเวลามา เพียงแต่การแต่งกายของเขาไม่เหมือนคนทั่วไป ผู้ชายคนนี้สวมชุดขาวตัวยาว ผมที่ค่อนข้างยาว ถูกมัดไว้อย่างเซอร์ๆ รูปร่างสูง ดูท่าทางจะหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง ถ้าไม่เห็นว่ามีลูกกระเดือกก็ยากที่จะเดาว่าเพศอะไร
“คุณคือ…?” สืออวี้จำได้ว่าตัวเองรอเสี่ยวเชี่ยนอยู่ท่ามกลางสายฝน รอจนเหนื่อยล้าทั้งกายและใจจนสลบไป
“คุณเรียกผมว่าฮวาหลีก็ได้”
“แมวหลีฮวาอะเหรอ?”
“…ฮวาหลี”
ชื่อประหลาดจัง
สืออวี้หยิกตัวเอง เธอไม่ได้กำลังฝัน และก็ไม่ได้ย้อนไปสมัยโบราณ ดูก็รู้ว่าที่นี่โรงพยาบาลไหมล่ะ!
“คุณเป็นหมอเหรอ?”
“ใช่ครับ ผมเป็นหมอประสาท”
“ฉันไม่ได้เป็นโรคประสาท แล้วทำไมฉันมาอยู่ที่นี่?” สืออวี้นอกจากนึกออกว่าตัวเองร่างกายอ่อนล้าแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรอีก
“คุณสลบไป มีคนส่งคุณมา”
“อ่อ ค่ารักษาเท่าไร เดี๋ยวฉันจ่าย” สืออวี้ก็ยังไม่เข้าใจ ตัวเองสลบไปแล้วทำไมหมอประสาทมาอยู่ที่นี่?”
“ไม่ต้องครับมีคนจ่ายให้คุณแล้ว”
“ใครคะ?” ทำไมพอฟื้นขึ้นมาสมองก็มึนๆ เหมือนอะไรขาดหายไป?
หรือตอนเธอสลบหัวไปฟาดกับอะไรเข้า?
“อะไรที่ไม่ควรถามก็ไม่ต้องถาม” น้ำเสียงของฮวาหลีนุ่มนวลมาก แต่ก็ไม่ถึงกับให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่เป็นแบบที่ทำให้สืออวี้รู้สึกเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน มันเหมือนกับว่าน้ำเสียงให้ความรู้สึกอ่อนโยนแต่ตัวเขากลับเย็นชา อืม ทำไมคุ้นเคยจัง?
นึกออกแล้ว!
ประธานเชี่ยน!
เวลาที่ประธานเชี่ยนสะกดจิตให้คนอื่นก็ใช้น้ำเสียงโทนนี้นี่แหละ!
“คุณรักษาโรคประสาทเหรอคะ?” สืออวี้ถามอีก
ฮวาหลีส่ายหน้า “ผมเรียนแพทย์คลินิกด้านประสาทมาจากเมืองนอก ก็เหมือนกับจิตแพทย์ของทางเอเชีย เพียงแต่ที่นั่นเรียกรวมอยู่ในสาขาประสาท ผมมีสิทธิ์สั่งยาได้ และก็สามารถทำการรักษาอย่างจิตแพทย์ในประเทศพวกคุณได้”
พวกคุณ
สืออวี้เดาว่าตานี่อาจเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่ถือสัญชาติเมืองนอกหรือไม่ก็เป็นลูกหลานชาวจีนในเอเชีย ถึงเขาจะพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ถ้าฟังดูดีๆกลับให้ความรู้สึกสำเนียงแปร่งๆ แต่ก็ไม่น่ารำคาญ
สืออวี้อยากไปจากที่นี่ ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์นอนอยู่บนเตียง และก็ไม่มีเวลามานั่งคิดว่าทำไมผู้ชายประหลาดคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย เธอกำลังมีเรื่องทุกข์ใจ
พอออกไปนอกห้องผู้ป่วยเธอก็เห็นเสี่ยวเชี่ยนกับต้าอีที่เดินมาพอดี เสี่ยวเชี่ยนเนื้อตัวเปียกปอน ผมเปียกชื้นลีบติดหน้า ประธานเชี่ยนที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์มาเป็นอันดับหนึ่งรีบมาที่นี่แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่คิดจะเปลี่ยน
“สืออวี้!” พอเสี่ยวเชี่ยนเห็นสืออวี้ก็ดีใจรีบวิ่งเข้าไป สืออวี้เองก็อยากวิ่งแต่รู้สึกมึนหัว
“ช้าๆ!” เสี่ยวเชี่ยนพยุงสืออวี้ พอได้เห็นเพื่อนรักก้อนหินที่ลอยเคว้งอยู่ในใจก็ได้ตกสู่พื้น
“เธอนี่จริงๆเลย ทำไมไม่รอฉันอยู่ในรถ? ยืนตากฝนจนสลบไป จริงๆเลยนะ! โชคดีที่ยามประจำหมู่บ้านโทรไปแจ้งเสี่ยวเฉียง ไม่อย่างนั้นไม่รู้อีกนานเท่าไรกว่าพวกเราจะหาเธอเจอ”
จนกระทั่งวินาทีที่ได้เห็นสืออวี้เสี่ยวเชี่ยนถึงได้หมดห่วง
สาวน้อยที่สวยขนาดนี้อยู่ๆก็หายตัวไปย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ โชคดีที่เจอตัวแล้ว
“นั่นสิ ตอนที่ประธานเชี่ยนโทรบอกฉัน ฉันร้อนใจจะแย่”
ต้าอีพอได้ยินว่าสืออวี้หายไปก็ไม่สนคำสั่งของพี่รองให้พักอยู่บ้าน เธอรีบตามมาสมทบกับประธานเชี่ยนทันที
“ประธานเชี่ยนโทรหาเธอก็ติดเลยเหรอ?” สืออวี้มองเพื่อนรักทั้งสองคน ไม่เพียงแต่เธอจะไม่รู้สึกยินดี ยังแอบเคืองหน่อยๆด้วยซ้ำ
เวลานี้ในใจของสืออวี้รู้สึกว่า ยังไงประธานเชี่ยนกับต้าอีก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ความสัมพันธ์ดีขนาดนี้ โทรหาทีเดียวก็ติด ส่วนเธอ เมื่อคืนโทรหาทั้งสองคนตั้งนาน แต่ไม่ติดสักครั้ง!
สืออวี้รู้สึกไม่โอเคมาก เธอเอามือพยุงศีรษะด้วยความสงสัย
เอ๋? ทำไมเธอถึงได้รู้สึกประหลาดอะไรแบบนี้?
รู้สึกตัวเองดูแปลกๆพิกล? เมื่อก่อนเธอขี้น้อยใจขนาดนี้เลยเหรอ?
“ไม่สบายเพราะตากฝนหรือเปล่า?”
เสี่ยวเชี่ยนเห็นสืออวี้เอามือแตะศีรษะก็คิดว่าเพื่อนเป็นหวัดเข้าแล้ว
“นอนรอดูอาการที่โรงพยาบาลก่อนไหม หรือไม่ก็ให้น้ำเกลือ?”
“นั่นสิ นอนรอดูอาการเถอะ เป็นแบบนี้พวกเราไม่วางใจนะ” ต้าอีพูดเสริม
“พวกเธอ? เห็นฉันเป็นอะไร?” เอ๊ะ? สืออวี้เอามือปิดปาก เธอพูดอะไรออกไปเนี่ย?