“เป็นอะไรไป?” เสี่ยวเชี่ยนถามสืออวี้
“ไม่เป็นไร…ประธานเชี่ยน ฉัน—” สืออวี้มองเสี่ยวเชี่ยนเหมือนต้องการความช่วยเหลือ เธออยากบอกประธานเชี่ยนว่า ตอนนี้เธอรู้สึกประหลาดมาก สมองมักคิดแต่เรื่องประหลาด ต้องใช้ความเจ็บปวดเท่านั้นเพื่อแลกกับสติสัมปชัญญะให้กลับมา เมื่อกี้เธอเกือบพูดเรื่องขอยืมเงินไปแล้ว แต่เธอใช้เล็บจิกตัวเองถึงควบคุมสติได้
นี่เธอเป็นอะไรกันแน่…
ระหว่างทางมาร้านอาหารเธอคิดได้แล้วว่า ไม่ว่าจะยากเย็นสักแค่ไหนก็ห้ามยืมเงินประธานเชี่ยน แต่ทำไมพออยู่ข้างๆประธานเชี่ยนเธอกลับเหมือนมีปีศาจเข้าสิง?
สายตานี้ทำให้ประธานเชี่ยนร้อนใจ สืออวี้ต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังจะถามพี่ใหญ่ก็โทรมาพอดี
สืบได้เรื่องมาแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนเหลือบมองสืออวี้ จะรับโทรศัพท์สายนี้ต่อหน้าเธอไม่ได้ “สืออวี้ รอฉันเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันกลับมา”
เสี่ยวเชี่ยนลุกออกไปรับโทรศัพท์
ภายในห้องอาหารมีเพียงเสี่ยวเฉียงกับสืออวี้ บรรยากาศกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เสี่ยวเฉียงหาข้ออ้างลุกไปห้องน้ำแล้วจะได้ไปจ่ายเงินด้วย พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนยืนคุยโทรศัพท์อยู่ด้านนอกเขาจึงเข้าไปหา
“อะไรนะ? แน่ใจนะพี่ใหญ่ว่าข่าวไม่ผิด?” เสี่ยวเชี่ยนฟังข่าวจากพี่ใหญ่แล้วก็ตกใจมาก
“ไม่ผิด เรื่องมันรุนแรงมาก ตอนนี้พ่อเขาติดหนี้ธนาคารห้าสิบกว่าล้าน ถ้าไม่จ่ายตามกำหนดอาจต้องเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้อง และตอนนี้พ่อเขาก็หายตัวไปไหนแล้วไม่รู้” พี่ใหญ่ต้องใช้เวลามากหน่อยกว่าจะสืบเรื่องได้อย่างชัดเจน
“โรงงานผลิตยาใหญ่ขนาดนั้นจะไม่มีเงินหมุนเวียนถึงห้าสิบล้านได้ยังไง!”
เสี่ยวเชี่ยนพยายามนึก เมื่อชาติก่อนกิจการผลิตยาของบ้านสืออวี้ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ หลังจากนี้ไม่กี่ปีครอบครัวได้พาสืออวี้ไปรักษากับเธอ ตอนนั้นกิจการบ้านสืออวี้ถือเป็นยักษ์ใหญ่ ไม่เคยได้ยินเรื่องกิจการจะล้มละลายเลยนะ
แล้วปัญหาเกิดจากตรงไหนกันแน่?
ทำไมทุกอย่างไม่เป็นเหมือนเมื่อชาติก่อน?
“เรื่องนี้คงพูดได้แค่ว่าพ่อเขาตัดสินใจพลาดไป ทำอะไรเกินตัวจนปัญหามันลุกลามไปใหญ่โต อยากกินคำใหญ่แต่กลับกินเข้าไปแล้วติดคอ”
พอปัญหาทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ เงินแค่นิดเดียวก็บีบคนให้ตายได้
เงินจำนวนเท่านี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับตระกูลสือ แต่ที่ผ่านมามีการใช้เงินจำนวนมากไปเรื่อยๆ พ่อสืออวี้เองก็เอะใจช้าไป จนตอนนี้ปัญหามาจุกอยู่ที่คอแล้ว
“พี่ใหญ่คะ พี่ช่วยได้ไหม?” ในที่สุดเสี่ยวเชี่ยนก็รู้แล้วว่าทำไมสืออวี้ดูแปลกไป เด็กคนนี้ที่บ้านเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกเธอสักคำ?
คนที่ปกติไม่เคยมีเรื่องอะไรเก็บไว้ในใจ พอเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกลับเก็บไว้เงียบๆ
“เชี่ยนเอ๋อ…ไม่ใช่ว่าพี่ใหญ่ไม่อยากช่วย เพียงแต่ครอบครัวเราทำอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องมีเงินไว้หมุนเวียน ยิ่งไปกว่านั้น—”
“เอาล่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”
เสี่ยวเชี่ยนพูดออกไปแล้วก็เสียใจ เธอบุ่มบ่ามเกินไป
เรื่องนี้จะโทษพี่ใหญ่ไม่ได้ ผู้บริหารระดับพี่ใหญ่ก็ต้องคิดเยอะเหมือนกัน เรื่องความสัมพันธ์ก็เรื่องหนึ่ง ธุรกิจก็เรื่องหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะลากครอบครัวตัวเองเข้าไปพัวพันกับเรื่องเพื่อนของเธอ
“พี่เอาเงินส่วนตัวช่วยแก้ไขสถานการณ์ไปก่อนก็ได้ แต่สำหรับครอบครัวเขาแล้วอาจเป็นเงินที่ช่วยอะไรไม่ได้มาก มีคำพูดหนึ่งที่พี่ต้องบอก เรื่องธุรกิจก็ต้องคุยในแบบธุรกิจ เธอน่าจะเข้าใจดีกว่าพี่นะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ หนูขอคิดก่อนแล้วจะติดต่อไปนะคะ” เสี่ยวเชี่ยนวางสายด้วยความร้อนใจ จากนั้นก็เห็นเสี่ยวเฉียงยืนอยู่ข้างหลัง “ได้ยินหมดแล้ว?”
“อืม”
เรื่องนี้อวี๋หมิงหลางเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน
สืออวี้เป็นแฟนของเฉียวเจิ้น แถมยังเป็นหนึ่งในเพื่อนที่สนิทที่สุดของเสี่ยวเชี่ยน เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้มิน่าเมื่อกี้ตอนกินข้าวถึงได้เงียบผิดปกติ
“ให้ผมหาเพื่อนช่วยไหม?” เสี่ยวเฉียงถาม
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า “พวกเรารวมเงินกันก็ไม่มีทางพอ ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ใช่ว่าเงินจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้”
การบริหารงานของตระกูลสือเกิดปัญหา ถ้าไม่จัดการที่ต้นตอมันก็เหมือนแก้วน้ำที่รั่ว
เพื่อนที่ให้ยืมเงินในช่วงวิกฤตินับเป็นเพื่อนดี แต่จะปล่อยให้เงินของเพื่อนคนอื่นๆหายไปกับสายน้ำเพียงเพราะเพื่อนคนเดียวไม่ได้
“กลับบ้าน ฉันจะถามเขาด้วยตัวเอง” เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วนมาก ต้องหารือวิธีแก้ปัญหากับสืออวี้
แต่เมื่อทั้งสองคนกลับไปที่ห้องอาหารก็เหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่เหลือใครอยู่ในนั้นสักคน พอถามพนักงานถึงได้รู้ว่าสืออวี้ออกไปทางประตูหลังตอนที่เธอออกไปคุยโทรศัพท์
ฝนที่หยุดไปสักพักเริ่มตกอีกแล้ว พายุฝนปกคลุมไปทั่วเมือง สืออวี้เดินอยู่ท่ามกลางสายฝน ปล่อยให้น้ำฝนชะล้างตัวเธอ
เมื่อครู่หลังจากประธานเชี่ยนออกไปแล้วแม่เธอก็โทรมาบอกว่าพนักงานรวมตัวกันมาขอเบิกเงินเดือน ล้อมกันอยู่หน้าบ้าน แม่เธอบอกว่าอย่าเพิ่งกลับไปตอนนี้ อยู่บ้านเพื่อนไปก่อน
ฝนยังคงตกต่อเนื่อง เธอเดินไปอย่างไร้จุดหมาย
คนที่เดินผ่านไปมามองเธอด้วยสายตาประหลาด แต่สืออวี้ก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงมีคนเรียกชื่อเธอ เธอรีบหลบเข้าไปอยู่หลังต้นสนขนาดใหญ่ภายในสวนแถวนั้น เสียงนั้นค่อยๆใกล้เข้ามา
“สืออวี้ เธออยู่ไหน?”
ประธานเชี่ยน!
สืออวี้เอามือปิดปาก มองประธานเชี่ยนกางร่มลุยน้ำวิ่งมาทางเธอ ปากก็ตะโกนชื่อเธอไม่หยุด
อาจเพราะรู้สึกว่าร่มเกะกะสายตา เสี่ยวเชี่ยนจึงเก็บร่ม เธอกับอวี๋หมิงหลางแยกกันหา แต่เมฆที่ครึ้มทำให้ฟ้ามืดเร็ว ไฟข้างทางแถวนี้ก็เสีย ทำให้มองเห็นไม่ชัด
“สืออวี้ ออกมานะ! อย่ามาหลบฉันเหมือนเต่าหดหัว! มีอะไรที่บอกฉันไม่ได้ เธอบอกว่าฉันเผด็จการไม่ใช่เหรอ? สืออวี้ เธอมันบ้า!”
เสี่ยวเชี่ยนวิ่งหาจนหมดแรง เธอจึงนั่งลงข้างทางแล้วด่าด้วยความโมโห
สืออวี้เอามือปิดปากพลางร้องไห้ไม่หยุด
ประธานเชี่ยนเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์มาก การที่เธอถึงกับทรุดตัวนั่งด่าข้างทางได้แบบนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าประธานเชี่ยนถูกเรื่องของเธอทรมานจนถึงขีดสุดแล้ว
อวี๋หมิงหลางที่ไปหาอีกด้านหาไม่เจอ พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนนั่งตากฝนเขาจึงรีบวิ่งมากางร่มให้
“ไปเถอะ พวกเราหาแบบนี้เจอยาก เดี๋ยวผมโทรเรียกคนมาช่วยหา ต้องเจอแน่นอน คุณร้อนใจไปก็เท่านั้น”
สภาพอากาศเลวร้าย ฟ้าก็มืดสนิท ไม่รู้ว่าสืออวี้เรียกรถนั่งไปไกลแล้วหรือเปล่า วิ่งหาแบบนี้ไม่มีประโยชน์ เสี่ยวเฉียงตัดสินใจใช้ยุทธวิธีการรบแบบเน้นกำลังคน จะต้องพลิกแผ่นดินหาสืออวี้ให้ได้
“ยัยตัวแสบ! น่าโมโหที่สุด!” เสื้อผ้าผมเผ้าของเสี่ยวเชี่ยนเปียกอีกรอบแล้ว ใบหน้าก็มีแต่หยดน้ำ แต่เซ้นส์ของเสี่ยวเฉียงบอกเขาว่าเสี่ยวเชี่ยนกำลังร้องไห้
“ไม่เป็นไรนะ เขาไม่เป็นอะไรหรอก คุณวางใจเถอะ มีผมอยู่ทั้งคน” เขาโอบเสี่ยวเชี่ยนมาไว้ในอ้อมกอด คนที่ทำให้เมียเขาที่แสนใจเย็นร้องไห้ได้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเพื่อนคนนี้สำคัญต่อเสี่ยวเชี่ยนมากแค่ไหน
“ยัยบ้า รอเจอตัวก่อนเถอะฉันจะตบให้หน้าหันเลยคอยดู ไป รีบไปเรียกคนมาแล้วพลิกแผ่นดินหายัยตัวแสบให้เจอ!”
หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าที่บ้านของสืออวี้เกิดเรื่องเธอก็ไม่สบายใจมาก กลัวว่าเพื่อนคนนี้จะคิดสั้น อย่างไรเสียเมื่อชาติก่อนสืออวี้ก็เคยเจอปัญหาสะเทือนใจขั้นรุนแรง ขออย่าให้เป็นแบบนั้นอีกเลย
อีกอย่างหญิงสาวหน้าตาดีอยู่ข้างนอกตามลำพัง ไม่มีเงินไม่มีบัตรประชาชน มันไม่ปลอดภัย
พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนเดินออกไปอย่างทุลักทุเลสืออวี้ถึงออกมาจากหลังต้นไม้ เธอกอดตัวเองอย่างไร้เรี่ยวแรง โลกใบนี้ออกจะกว้างใหญ่ แต่เธอกลับไร้ที่ไป