สืออวี้รู้ว่าอีกเดี๋ยวอวี๋หมิงหลางก็จะส่งคนมา ถึงตอนนั้นเธอต้องถูกเจอตัวแน่นอน เวลานี้เธอไม่ค่อยอยากเจอประธานเชี่ยน ไม่อยากเอาความเดือดร้อนไปให้ ครั้นแล้วจึงยื่นมือออกไปลองโบกรถ
วันฝนตกหนักส่วนใหญ่แท็กซี่พากันกลับบ้านไปหมดแล้ว ต่อให้มีโผล่มาสักคันสองคัน พอเห็นสืออวี้ที่ตัวเปียกชุ่มก็ไม่อยากจอดรับ เธอยืนสั่นอยู่กลางฝน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ทันใดนั้นก็มีรถคันหนึ่งจอดตรงหน้า กระจกรถถูกปรับลง มีคนโผล่หน้าออกมา
“คุณหนู?”
ผ่านไปสิบนาทีสืออวี้ก็มานั่งอยู่บนโซฟาถือแก้วชาร้อน ผู้หญิงผมสั้นดัดลอนวางผ้าขนหนูบนไหล่สืออวี้แล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรนะ?”
“ยังพอไหว ขอบคุณค่ะ” สืออวี้พอจำได้ลางๆว่าผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของผู้รับผิดชอบร้านยาที่เมืองหลิน ตอนเธอมาเรียนที่นี่พ่อเธอเคยเลี้ยงข้าวผู้หญิงคนนี้
ความสัมพันธ์ของสองครอบครัวไม่นับเป็นคู่ค้าทางธุรกิจด้วยซ้ำ กิจการบ้านสืออวี้ใหญ่โต ถึงสามีของผู้หญิงคนนี้จะก้าวหน้าถึงขนาดมีร้านขายยาหลายแห่งในเมืองหลิน แต่มากสุดก็เป็นแค่พี่ใหญ่ในเมืองหลิน เทียบกับตระกูลสือไม่ได้
สาเหตุที่พ่อสืออวี้เลี้ยงข้าวผู้หญิงคนนี้มีอยู่หนึ่งเหตุผลที่สำคัญคือ เมื่อหลายปีก่อนตอนที่พ่อสืออวี้ยังทำงานอยู่ในโรงงานผลิตยาของรัฐบาลที่เมืองQ สามีของผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนร่วมงานของเขา ตอนนั้นสนิทกันพอควร ดังนั้นพ่อสืออวี้จึงได้ไหว้วานเพื่อนหลายคนให้ช่วยดูแลสืออวี้
“น้าหวาง ขอบคุณนะคะ” สืออวี้ดื่มชาร้อนลงท้อง รู้สึกดีขึ้นมาก
“คุณหนู ทำไมไปยืนตากฝนอยู่คนเดียวล่ะคะ? ฉันเห็นแล้วดูคล้ายๆคุณ แต่ก็ยังไม่กล้าทักเท่าไร”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ…หนูมาหาเพื่อนแต่หาไม่เจอ ดังนั้น—เอาเป็นว่า ขอบคุณนะคะ”
“น้าได้ยินเรื่องทางบ้านคุณหนูแล้ว เห้อ โลกนี้ไม่แน่นอนเลยจริงๆ คุณก็อย่าคิดมากเลยนะคะ” น้าหวางส่งชาร้อนให้อีกแก้ว แต่สืออวี้ส่ายหน้า
คนในวงการยาจะได้ยินข่าวนี้ก็ไม่แปลก ร้านยาของน้าหวางเป็นร้านยาขนาดเล็กมาก ดังนั้นสืออวี้จึงไม่ได้ลิสต์ไว้ในรายชื่อคนที่เธอสามารถขอความช่วยเหลือได้
ตอนนี้เธอเองก็ไม่มีที่ไป จึงนั่งเหม่ออยู่ที่นี่ได้พอดี สมองนึกถึงเรื่องราวสารพัดที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันนี้ หัวใจรู้สึกหนักอึ้ง
โทรศัพท์มือถือเปียกน้ำใช้ไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ประธานเชี่ยนกำลังตามหาเธอหรือเปล่า?
“คุณบอกว่าครั้งนี้มาหาเพื่อนเหรอคะ?” เดิมน้าหวางคิดว่าสืออวี้จะร้องไห้ฟูมฟายเรื่องที่บ้าน ซึ่งเธอเองก็คิดคำพูดไว้แล้วว่าจะตอบยังไง
เมื่อก่อนตอนเจอสืออวี้รู้สึกว่าเด็กคนนี้พูดมาก แต่ก็ดูไม่มีพิษภัยอะไร ตอนนี้เห็นสภาพแล้วกลับดูนิ่งมาก ไม่ถามก่อนก็ไม่ยอมพูดเรื่องที่บ้านให้ฟัง
“น้าว่าอะไรนะคะ?” สืออวี้ที่เพิ่งได้สติถามขึ้น
“น้าถามว่า คุณจะมาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเหรอคะ? ได้ยินว่ารูมเมทสองคนสมัยเรียนของคุณมีภูมิหลังไม่ธรรมดา พวกเขาคงช่วยคุณได้ใช่ไหมคะ?” น้าหวางเห็นสืออวี้ไม่พูดจึงถามก่อน
“เรื่องที่บ้านหนู พวกเขาจะมายุ่งได้ไงคะ”
ไม่สิ มันแปลกๆพิกล
ถึงสืออวี้จะกำลังอยู่ในห้วงความทุกข์ แต่สมองเธอก็ยังไม่ฝ่อ เธอรู้สึกว่าคำพูดของน้าหวางมีพิรุธชอบกล แต่มันตรงไหนกัน…
สืออวี้นั่งนึกคำพูดที่เพิ่งคุยกันเมื่อครู่ เดี๋ยวนะ เธอพูดเหรอว่าจะมาขอความช่วยเหลือจากเพื่อน? เธอบอกแค่ว่าจะมาหาเพื่อน แต่น้าหวางกลับพูดเรื่องของประธานเชี่ยนกับเธอ
ลูกสาวเศรษฐีคนนี้อาจจะเคยไร้เดียงสา แต่ไม่โง่แน่นอน แม้แต่เสี่ยวเชี่ยนยังนับถือในความจำของเธอ สืออวี้รู้สึกได้ถึงความผิดปกติทันที
น้าหวางแอบคิดว่าเด็กสาวตรงหน้ายังคงเป็นสาวน้อยที่ชอบพูดเหมือนเมื่อไม่กี่ปีก่อน เธอจึงพูดต่อ
“อันที่จริงถ้าให้น้าพูด คุณหนูก็อย่าไปหวังอะไรมากกับเพื่อนมหาลัยพวกนี้เลยค่ะ ความรู้สึกในมหาลัยมันก็เรื่องหนึ่ง พอออกนอกมหาลัยใครยังจะรู้จักกันอีกล่ะคะ โดยเฉพาะครอบครัวอย่างตระกูลอวี๋ เห็นแก่ตัวจะตาย น้าไม่กลัวคุณหนูจะไม่พอใจหรอกนะคะ เคยได้ยินคำพูดที่ว่า ความสำเร็จของนายพลแลกมาด้วยชีวิตนับหมื่น? คนที่มาจากครอบครัวแบบนั้นจะมาหวังดีกับคุณหนูได้ไงล่ะคะ?”
คำพูดของน้าหวางคล้ายกับทับซ้อนเสียงที่ชอบแวบเข้ามาในสมองของสืออวี้ ความรู้สึกประหลาดนั้นกลับมาอีกแล้ว
ไม่ใช่ มันมีตรงไหนที่แปลกๆ! สืออวี้กัดลิ้นตัวเองให้เจ็บปวดเพื่อเรียกสติ แต่ปากกลับพูดจาเห็นด้วยกับน้าหวาง
“นั่นสิคะ คนพวกนี้ปกติพูดจาเหมือนหนูเป็นพี่น้อง พอเกิดเรื่องก็หายเงียบกันไปหมด โดยเฉพาะเฉินเสี่ยวเชี่ยน ปกติเอาหนูเป็นลูกน้อง ข่มเหงสารพัด ไม่ได้เห็นหนูเป็นเพื่อนเลยด้วยซ้ำ ครั้งนี้บ้านหนูเกิดเรื่องเขาหนีไปไวกว่าใคร ไม่ให้หนูยืมเงินสักบาท”
พอได้ฟังสืออวี้พูดแบบนั้นน้าหวางก็ดวงตาเป็นประกาย มุมปากเผยอขึ้น ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ใช่ไหมล่ะ คุณหนูคิดได้ก็ดีแล้ว มิตรภาพสมัยเรียนก็อย่างนี้แหละค่ะ ยุคนี้เอะอะก็ผลประโยชน์ มีใครบ้างไม่เห็นแก่ตัว? ยกตัวอย่างเหตุการณ์บ้านคุณหนูก็แล้วกัน อยู่ๆก็ต้องการเงินมากมายขนาดนั้น ตระกูลอวี๋มีเหรอจะยื่นมือเข้ามาช่วย?”
“แล้วน้าหวางจะยอมให้อาหวางเอาเงินให้หนูยืมไหมคะ?” สืออวี๋พูดเหมือนไร้เดียงสา แต่เธอรู้สึกได้ถึงรสชาติเลือดในปาก
กัดลิ้นจนเลือดออกเธอถึงได้ไม่เล่นไปตามเกมเสียงในสมองนั่น
“เห้อ ใช่ว่าน้าจะไม่อยากช่วยนะ แต่ร้านยาเล็กๆของน้าเอาเงินออกมาได้ไม่เท่าไรหรอก ต่อให้พวกเรายอมช่วยก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาในบ้านคุณหนู แต่น้าหวางรู้จักเถ้าแก่ใหญ่อยู่คนหนึ่ง เขารวยมาก บางทีเขาอาจร่วมหุ้นค้ำประกันให้พ่อคุณหนูได้ ช่วยกู้วิกฤตินี้ให้ผ่านพ้นไป”
“เถ้าแก่คนไหนคะใจดีขนาดนั้น? พูดตามตรงนะคะน้าหวาง คนที่ขอความช่วยเหลือได้ช่วงหลายวันนี้หนูก็ไปหามาหมดแล้ว แต่น้ำใจคนเบาบางเหมือนกระดาษ ไม่มีใครยอมช่วยหนูเลย เอาแค่เพื่อนสนิทหนูทั้งสองคน ปกติเห็นดีกับหนู ตอนนี้ล่ะหนีไปอย่างไว ฝนตกหนักก็ไล่หนูออกมา ถ้าไม่เจอน้าหวางนะคะ ไม่แน่หนูอาจเป็นปอดบวมตายไปแล้ว”
“เถ้าแก่คนนี้เก่งทีเดียว แต่ว่า…คุณหนูเองก็รู้ บนโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เงินจำนวนมากขนาดนั้น จะให้เขาช่วยฟรีๆก็ไม่ใช่ถูกไหมคะ?”
“น้าหวางหมายความว่า ถ้าเขาขออะไร หากหนูทำได้ก็คุยกันง่ายเหรอคะ?”
“เรื่องนี้ก็ไม่ได้ยากสำหรับคุณหนูหรอกค่ะ คุณหนูสนิทกับเฉินเสี่ยวเชี่ยนนั่นมากใช่ไหมล่ะคะ? คุณหนูคงรู้เรื่องเกี่ยวกับเขามากใช่ไหม?”
ตามคาด เกี่ยวกับประธานเชี่ยน
“แน่นอนค่ะ ตอนเรียนพวกเราเป็นรูมเมทกัน ต่อมาย้ายไปอยู่ข้างนอกก็ยังอยู่ด้วยกัน บางครั้งเราสองคนยังนอนเตียงเดียวกันด้วย”
เวลาที่เธอนอนไม่หลับ ประธานเชี่ยนกับเธอก็จะนอนเตียงเดียวกันพลางคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้
ช่วงเวลาดีๆเหล่านั้นพอมานึกดูตอนนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตจริงๆ
“น้าหวางพูดความจริงกับคุณหนูเลยแล้วกัน เถ้าแก่คนนี้เนี่ยเคยมีเรื่องกับเพื่อนคุณหนูมาก่อน ขอแค่คุณหนูช่วยหาจุดอ่อนของเฉินเสี่ยวเชี่ยนมาให้เขาได้ เรื่องที่บ้านคุณหนูก็อาจจะมีทางรอด”
“บ้านหนูต้องการเงินไม่ใช่น้อยๆ เถ้าแก่คนนี้เป็นใครกัน เขามีเงินเยอะพอให้หนูได้จริงๆเหรอคะ?”
“เขาเป็นใครน้าบอกไม่ได้ แต่คนๆนี้มีความสามารถพอตัว พ่อคุณหนูรู้จักกับน้าหวางมาตั้งหลายปี พวกเราเองก็ไม่อยากเห็นครอบครัวคุณหนูต้องมาล้มไปแบบนี้ เด็กน้อย ลองนึกถึงโรงงานยาที่พ่อคุณหนูสร้างด้วยหยาดเหงื่อแรงกายตัวเองสิคะ คุณหนูจะทนเห็นกิจการต้องเจ๊งลงไปได้เหรอ?”
นึกถึงสภาพแม่ที่นอนอยู่บนเตียง ไหนจะพ่อที่ไม่รู้ตอนนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไร สืออวี้ก็เริ่มน้ำตาคลอ นั่นสิ สู้มาตั้งหลายปี แล้วจะปล่อยให้กิจการของพ่อล้มลงได้ยังไง
แต่ถ้ายอมขายประธานเชี่ยน แบบนั้นยังมีความเป็นคนอยู่อีกเหรอ?