“คุณจะด่าว่าเขายังไงก็ได้ แต่ทำไมต้องพูดว่าตัวเองเป็นลูกนอกคอกด้วย?” อวี๋หมิงหลางทนฟังต่อไปไม่ไหว นี่เมียเขามีความแค้นมากขนาดไหนกันถึงด่าได้แม้กระทั่งตัวเอง?
“ฉันบอกนายได้แค่ว่า ห้ามไปบอกเขา ห้ามติดต่อเขาด้วย มีฉันต้องไม่มีเขาเข้าใจไหม?”
“อืม เข้าใจแล้ว” เสี่ยวเฉียงผายมือในใจ นี่เขาไม่ได้ไม่ช่วยแม่ยายนะ อะไรที่เขาต้องพูดก็พูดไปหมดแล้ว นิสัยของเสี่ยวเชี่ยนพูดคำไหนคำนั้น เรื่องไหนที่เธอยื่นคำขาดแล้ว ใครมาพูดก็ไม่มีประโยชน์ เขาก็แค่ทำตามหน้าที่ที่แม่ยายมอบหมายมาแค่นั้นพอ
อย่างไรเสียในใจของเสี่ยวเฉียงก็ดูถูกอดีตพ่อตาอยู่แล้ว
ถึงพ่อเลี่ยวจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ แต่วางตัวดีมาก เสี่ยวเชี่ยนจะแต่งงานเขาก็ช่วยแม่เสี่ยวเชี่ยนจัดการทุกอย่าง และได้ใช้เงินของตัวเองช่วยเตรียมสินสอดทองหมั้นด้วย ไม่ต่างอะไรกับพ่อแท้ๆ
อวี๋หมิงหลางยอมทำดีกับพ่อเลี้ยงคนนี้ดีกว่าไปทำดีกับพ่อแท้ๆของเสี่ยวเชี่ยน ใครดีกับเสี่ยวเชี่ยนคนนั้นก็คือพ่อตาของเขา เขาไม่สนว่าพ่อของเสี่ยวเชี่ยนจะเป็นใคร คนที่ดีกับเมียเขาหรอกถึงเป็นของจริง
ครอบครัวเลี่ยวในช่วงสองวันนี้มีแต่เรื่องดีๆ ไม่ใช่แค่เรื่องลูกสาวกำลังจะแต่งงาน ยังมีเรื่องผลคะแนนสอบของเฉินจื่อหลงด้วย
พอเสี่ยวเชี่ยนไปถึงบ้าน เจี่ยซิ่วฟางก็รีบมองไปทางอวี๋หมิงหลาง เรื่องที่ให้จัดการเป็นไงบ้าง?
อวี๋หมิงหลางส่ายหน้าให้ ความหมายคือ ถ้าไม่อยากถูกด่าอย่าพูดถึงเรื่องนั้นจะดีกว่านะครับ
เจี่ยซิ่วฟางลอบถอนหายใจ ในเมื่อลูกสาวต่อต้านขนาดนี้เธอก็เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า เธอเองก็ไม่ได้จะดื้อดึงกับเรื่องนี้สักเท่าไร ปล่อยวางเรื่องอดีตสามีนานแล้ว เพียงแต่กลัวว่าลูกสาวจะถูกพวกญาติๆด่าเรื่องไม่บอกพ่อตัวเองเลยให้อวี๋หมิงหลางไปช่วยพูด
แต่เรื่องนี้ก็ต้องดูความต้องการของเสี่ยวเชี่ยนอยู่ดี ถ้าเสี่ยวเชี่ยนไม่พอใจก็ไม่ต้องพูดถึง จะได้ไม่ทำลายบรรยากาศงานมงคล
“กลับมาถึงก็ดีแล้ว หมิงหลางอยู่กินข้าวด้วยกันสิ เดี๋ยวจะได้ช่วยอาเลี่ยวเขียนบัตรเชิญแล้วคุยเรื่องงานแต่งด้วย”
“ได้ครับแม่” อวี๋หมิงหลางทำตัวเป็นลูกเขยที่ว่านอนสอนง่าย จะมาเอาตัวลูกสาวเขาไปทั้งทีก็ต้องทำตัวให้ดีๆหน่อย
“บ้านเราอยู่พร้อมหน้ากันพอดี มาประชุมคุยเรื่องสำคัญกันหน่อย” เจี่ยซิ่วฟางมีหลายเรื่องในใจที่อยากพูด
เฉินจื่อหลงที่นั่งขัดสมาธิกินแตงโมอยู่บนโซฟาพอได้ยินดังนั้นก็นั่งตัวตรงทันที
“เรื่องแรกเป็นเรื่องงานแต่งของเสี่ยวเชี่ยน เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องพูดมาก ทางบ้านอวี๋หมิงหลางเมื่อเช้าโทรมาเช็คปัญหาเรื่องวันงาน อาเลี่ยวจดไว้หมดแล้ว เดี๋ยวเชี่ยนเอ๋อกับหมิงหลางค่อยดูตอนกินข้าวแล้วกันนะ ตามธรรมเนียมของที่นี่ วันแรกให้จัดที่บ้านฝ่ายหญิง วันรุ่งขี้นไปจัดที่บ้านฝ่ายชาย พวกเสื้อผ้าของใช้ต่างๆจะมาส่งพรุ่งนี้ เราสองคนก็ลองใส่ดูว่าพอดีตัวหรือเปล่า เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร”
ใช่ๆๆ ต้าหลงพยักหน้ารัวๆ เรื่องพี่สาวเขาจะแต่งงานมีการเตรียมตัวนานแล้ว ไม่มีอะไรต้องพูดเยอะ มีตระกูลอวี๋อยู่จัดการเรื่องต่างๆได้อย่างเรียบร้อย ไม่เห็นเหรอว่าคู่บ่าวสาวเล่นกลับมาบ้านตอนใกล้จะถึงวันงานแล้ว แทบไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรเลย มีผู้ใหญ่เก่งๆคอยช่วยก็สบายไปเยอะ
รีบเข้าประเด็นสำคัญสิแม่~ ต้าหลงส่งสายตาอย่างเฝ้ารอไปหาแม่ แถมยังแกล้งไอเพื่อดึงดูดความสนใจ
เจี่ยซิ่วฟางหันไปมองลูกชายแล้วพูดต่อ
“เรื่องงานแต่งของเชี่ยนเอ๋อพูดจบแล้ว ต่อไปเรามาพูดเรื่องฟู่กุ้ย เด็กสองคนนี้นี่จริงๆลย…”
เจี่ยซิ่วฟางส่ายหน้า
ต้าหลงทำหน้ามุ่ย นี่มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ!
“พี่ฟู่กุ้ยไปจดทะเบียนแล้วไม่ใช่เหรอ? ยังจะมีเรื่องอะไรอีก?” เสี่ยวเชี่ยนจำได้ว่าเมื่อหลายวันก่อนหลิวเหมยโทรมาบอกว่าจดทะเบียนสมรสกับฟู่กุ้ยแล้ว หลังจากที่เกิดเรื่องเมื่อคราวก่อนไป สองคนนี้ก็มั่นใจในกันและกัน พากันไปจดทะเบียน ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป
“จดน่ะจดไปแล้ว แต่ดูทำตัวเข้า บอกว่าจะไม่จัดงานแต่ง จะไปเที่ยวแทน แบบนี้เพื่อนบ้านได้ยินเข้าเขาจะคิดยังไง?”
เจี่ยซิ่วฟางรู้สึกว่าหากคนสองคนตกลงปลงใจกันแล้วก็ควรจะจัดงานแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราว เชิญสองครอบครัวมาร่วมฉลองแสดงความยินดี เรื่องท่องเที่ยวแทนจัดงานแต่งงานแบบนี้ไม่เพียงแต่จะฟังดูเหมือนตัวเองไม่มีฐานะ หากคนอื่นรู้เข้าเดี๋ยวจะหาว่าเธอไม่ลงรอยกับลูกเลี้ยง
ในสายตาของคนแก่ งานแต่งที่ไม่จัดงานให้ถูกต้องล้วนไม่ใช่การแต่งงาน
“เรื่องนี้ให้เด็กๆตัดสินใจก็พอแล้ว” พ่อเลี่ยวพูดอย่างใจดี
คนหนุ่มสาวย่อมมีความคิดแปลกใหม่ คนที่อยากไปเที่ยวแทนจัดงานแต่งคือหลิวเหมย เธอกลัวความยุ่งยาก แล้วช่วงนี้คนกำลังฮิตเรื่องท่องเที่ยวแทนจัดงานแต่ง เธอเลยตื๊อให้ฟู่กุ้ยเอาแบบนี้บ้าง ถึงฟู่กุ้ยจะแอบอยากจัดงานแต่ง แต่ก็ทนหลิวเหมยอ้อนไม่ไหว แค่กๆ ก็ตกลงกันบนเตียงนี่นะ ถ้าลงจากเตียงแล้วจะมากลับคำคงไม่ค่อยเหมาะ
“ไม่ได้ เรื่องนี้ฉันมอบให้เชี่ยนเอ๋อแล้วกัน เชี่ยนเอ๋อ แกไปเกลี้ยกล่อมหลิวเหมยเลยนะ เราสองครอบครัวเป็นครอบครัวที่ปฏิบัติตามธรรมเนียม แล้วจะแอบไปเที่ยวกันแทนจัดงานแต่งงานได้ยังไง?” เจี่ยซิ่วฟางรู้สึกว่าลูกสาวตัวเองจัดงานแต่งเสียใหญ่โตแล้ว ถ้าลูกเลี้ยงจะ ‘แอบ’ แต่งงานกันแบบนี้ ข่าวแพร่ออกไปมันจะเหมือนกับว่าเธอมีปัญหากับลูกเลี้ยง
“ท่องเที่ยวแทนแต่งงานมันจะเรียกแอบได้ยังไง? มันก็ดูดีออกไม่ใช่เหรอ?” ถ้าเสี่ยวเชี่ยนไม่เห็นแก่ที่ตระกูลอวี๋มีหน้ามีตา เธอก็ไม่อยากยุ่งยากแบบนี้หรอก
แต่โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ใครจะไปคิดว่าไม่อยากจัดงานแต่สุดท้ายกลับจัดเสียใหญ่โต เตรียมตัวกันมาตั้งนาน ถ้าวันงานเกิดมีปัญหาจะทำไง
เจี่ยซิ่วฟางกำลังพูดเรื่องงานแต่งกับเสี่ยวเชี่ยน แต่ต้าหลงไม่เอาด้วยแล้ว
“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นมีอะไรน่าพูดเลย แค่พี่ผมออกหน้ามีเหรอจะแก้ปัญหาไม่ได้? เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ปล่อยพี่ไปจัดการนั่นแหละ”
เจี่ยซิ่วฟางคิดๆแล้วก็เห็นด้วย
“งั้นเรื่องไปคุยกับหลิวเหมยก็ให้เชี่ยนเอ๋อจัดการ ตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เราสองคนเดินทางกันมาไกลคงจะเหนื่อย ไปอาบน้ำกินแตงโมหน่อยแล้วรอกินข้าวนะ”
ถูกมองข้ามตั้งแต่ต้นจนจบ ในที่สุดต้าหลงก็ทนไม่ไหว
“แม่! ยังไม่ได้พูดเรื่องสำคัญเลย!”
“เรื่องสำคัญอะไร?”
“เรื่องเรียนผมไง คะแนนสอบของผมอ้ะ!”
“อ้อ! จริงด้วย ยังมีเรื่องนี้อีก!” เจี่ยซิ่วฟางเอามือตีหัวตัวเอง เธอนึกออกแล้ว
“คนอื่นเขามีแต่รักลูกชายมากกว่าลูกสาว ผมก็ไม่ได้หวังจะแย่งชิงตำแหน่งลูกรักจากพี่หรอกนะ แต่จะมองข้ามผมแบบนี้ไม่ได้นะ…” ต้าหลงบ่นพึมพำ ทุกครั้งที่ถึงเวลาแบบนี้ต้าหลงจะแสร้งทำเป็นนิ่งเงียบไว้
เพราะช่วงเวลาถัดมาเขาจะถูกเอาไปเปรียบเทียบกับพี่สาว
“ยังจะมีหน้ามาพูดอีกเหรอ แกทำเรื่องอะไรที่พอจะสู้พี่แกได้บ้างเหรอ ถึงโบราณจะบอกว่าลูกเขยก็เหมือนลูกชายครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าแบ่งครึ่งหมิงหลาง ก็ยังดีกว่าแกที่ไม่เอาไหนเยอะ แกน่ะมากสุดก็เป็นได้แค่หนึ่งในห้าส่วนของพี่สาวแก”
เปรี้ยง! ต้าหลงเหมือนถูกฟ้าผ่า
“แม่ อย่าพูดแบบนั้นสิครับ อันที่จริงต้าหลงก็มีดี” อวี๋หมิงหลางช่วยกู้สถานการณ์
ครั้งนี้เจี่ยซิ่วฟางไม่ได้ว่าลูกชายไม่ดีอย่างแต่ก่อน แอบมีสีหน้าดีใจนิดหน่อยด้วยซ้ำ
“ผลสอบครั้งนี้ของต้าหลงพอใช้ได้ คะแนนดีกว่าคะแนนที่คาดการณ์ไว้สามสิบกว่าคะแนน พอที่จะเข้ามหาวิทยาลัยอันดับล่างๆได้”
เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางเลิ่กคิ้วพร้อมกัน โอ๊ะโอ ใช้ได้นี่