ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งนำถ้วยชาของนางไปจ่อที่ปากของนางและกำลังจิบชา เมื่อได้ยินคำพูดของบ่าวรับใช้ ชาที่จิบก็เข้าไปถูกพ่นออกมาทันทีทำให้นางเกือบหายใจไม่ออก
“องค์ชายเก้า ? พระองค์มาทำอะไร ? ” องค์ชายเก้ามาเยี่ยม ลิ้นของทุกคนในตระกูลเฟิงก็เริ่มแข็ง พวกเขาเริ่มพูดติดอ่าง
แม้แต่คังอี้ก็กังวลเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เฟิงหยูเฮงคิดกับตัวเองว่าไม่น่าแปลกใจที่นางสงบสติก่อน มันเป็นความสงบก่อนพายุจะมา !
“ท่านฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ” เมื่อเห็นว่าทุกคนในห้องประหลาดใจ ไม่ตอบสนอง บ่าวรับใช้จึงวิตกกังวลรีบเตือนทุกคน “องค์ชายองค์ที่เก้ากำลังรออยู่ที่ลานหน้าบ้านเจ้าค่ะ”
คนแรกก็คือเฟิงหยูเฮงที่ยืนขึ้นก่อนแล้วกล่าว “ทำไมไม่เชิญองค์ชายมานั่งในห้องโถง ? วันนี้อากาศหนาว ทำไมถึงให้พระองค์รออยู่ข้างนอก ? ”
บ่าวรับใช้ตัวสั่นก่อนที่จะตอบ “ข้าไม่รู้ว่าพระองค์เสด็จมาที่ห้องโถงหรือไม่ แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงคฤหาสน์แล้ว พระองค์ก็ตรัสว่าพระองค์จะไปที่ลานหน้าบ้านเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “พระองค์ได้บอกหรือไม่ว่ามาทำอะไร ? ”
บ่าวรับใช้ตอบ “พระองค์บอกว่า… พระองค์มาเพื่อระบายความโกรธแทนคุณหนูรองเจ้าค่ะ”
เคร้ง !
มือของฮูหยินผู้เฒ่าสั่น และปล่อยให้ถ้วยชาตกพื้น
ระบายความโกรธแทนคุณหนูรอง ? เฟิงหยูเฮงไม่ได้ระบายด้วยตัวเองแล้วหรือ ? นางตีรุ่ยเจียขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่พอหรือ ? องค์ชายหยูมาเพื่อสร้างปัญหาอะไรอีก ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังใช้ความคิด แต่นางไม่กล้าพูดอะไรแบบนี้ คังอี้ใช้ความคิดริเริ่มที่จะไปช่วยนางแล้วกล่าวว่า “องค์ชายมาเยี่ยมเรา เราควรออกไปต้อนรับพระองค์นะเจ้าคะ ! ”
เฟิงหยูเฮงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่พูดถูกเจ้าค่ะ”
สมาชิกในตระกูลเฟิงเดินไปที่ลานหน้าบ้านอย่างประหม่า และเห็นซวนเทียนหมิงรายล้อมไปด้วยองครักษ์ที่อยู่ตรงกลางของสนาม ชายคนนั้นยังคงสวมเสื้อคลุมสีม่วงและนั่งในรถเข็น ดูเหมือนว่าหน้ากากทองคำบนใบหน้าของเขาเป็นอันใหม่เพราะมันเงางามกว่าเมื่อก่อน ด้านหลังของเขามีทหารองครักษ์ยืนอยู่ และพวกเขาทุกคนถือหีบใหญ่หลายใบมาวางไว้กลางลาน พวกเขาทุกคนดูจริงจังและน่ากลัวมาก
ฮูหยินผู้เฒ่าและคังอี้ต่างก็ก้าวไปข้างหน้านำทุกคนในตระกูลเฟิงคุกเข่าและคำนับ คังอี้ไม่คุ้นเคยกับการทำพิธีนี้อย่างชัดเจน นับตั้งแต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของเฉียนโจวดำรงตำแหน่ง นางไม่ต้องไปคุกเข่าและคำนับใครเลย แม้ในวันแรกของปีใหม่เมื่อนางได้พบกับฮ่องเต้ นางก็ไม่ได้ทำคุกเข่าคำนับ แต่ตอนนี้สถานะของนางแตกต่าง นางเป็นฮูหยินของตระกูลเฟิง ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าคุกเข่าแล้ว มันก็จะไม่เหมาะสมถ้านางไม่ทำ ดังนั้นนางจึงคุกเข่าพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่า
ทุกคนกำลังจะคุกเข่าแต่ซวนเทียนหมิงไม่ได้สังเกตเห็น เพราะเขาโบกมือให้เฟิงหยูเฮงและเรียกนางมา จากนั้นเขาก็จับนางพลิกไปมาสองสามครั้งก่อนที่จะพูดว่า “ไม่เลว เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ขมับของคังอี้ก็เริ่มเต้นตุบ ๆ เฟิงหยูเฮงทำร้ายคนอื่น ดังนั้นนางจะได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร ?
ในขณะที่นางเริ่มขมวดคิ้ว ในที่สุดซวนเทียนหมิงก็เริ่มให้ความสนใจกับคนในตระกูลเฟิงในขณะที่เขาพูดว่า “องค์ชายคนนี้ได้ยินว่าในวันแต่งงานของเสนาบดีเมื่อวานนี้ อาเฮงของเราโกรธมาก” ในขณะที่บีบแส้ในมือของเขา เสียงเย็นของเขาทำให้พวกเขาสั่น “ท่านฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง” เขาเริ่มต้นเรียกชื่อและทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าล้มลง “ท่านช่วยบอกองค์ชายคนนี้ทีว่าใครเป็นคนรังแกอาเฮงของเรา”
ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวมากนางตัวแข็งทื่อ นางจะพูดได้ยังไง นางคุกเข่าและสั่นอยู่ตรงนั้น
เฟิงหยูเฮงจ้องมองที่ซวนเทียนหมิงเล็กน้อยแล้วพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านย่าแก่แล้ว ทำไมท่านต้องข่มขู่นางด้วย ? ” จากนั้นนางก็มองคังอี้และเกาคางของนาง “ถามคนอื่นเถิดเจ้าค่ะ” หลังจากพูดอย่างนี้นางจึงเดินเข้าไปช่วยฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่าลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่านย่า ท่านย่าไม่จำเป็นต้องกลัว”
หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่ายืนขึ้น นางมองเฟิงหยูเฮงด้วยความว่างเปล่า และอยากถามว่าถ้านางไม่ต้องกลัว แล้วใครที่ควรจะกลัว ? มันเป็นคังอี้หรือเปล่า ?
นางได้ยินเสียงซวนเทียนหมิงพูดขึ้นมาอีกครั้งถามคังอี้โดยตรง “เนื่องจากตระกูลเฟิงมีฮูหยินใหญ่คนใหม่ องค์ชายผู้นี้จะถามฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นระหว่างงานแต่งงานเมื่อวานนี้ ? ”
หัวของคังอี้รู้สึกมึนงง เมื่อนางเริ่มนึกถึงข่าวลือที่เกี่ยวกับซวนเทียนหมิง แต่เนื่องจากเขาถามมาแล้ว นางไม่สามารถเลือกที่จะไม่ตอบได้ คังอี้ไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้น อย่างไรก็ตามนางยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นขณะที่นางพูดกับซวนเทียนหมิง “เป็นเพราะบุตรสาวของหม่อมฉันขาดวินัย นางบอกว่ามีบางสิ่งที่ทำให้องค์หญิงแห่งมณฑลอารมณ์เสีย เมื่อได้รับการสั่งสอนจากองค์หญิงแห่งมณฑล ข้าเชื่อว่าต้องขอบคุณบทเรียนนี้ อารมณ์ของบุตรสาวของข้าจะดีขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากนางได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างจริงใจ และจะเป็นพี่สาวที่ดีให้กับองค์หญิงแห่งมณฑล”
“โอ้ ? ” ซวนเทียนหมิงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ท่านกำลังบอกองค์ชายว่าองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันได้ระบายความโกรธของนางแล้ว ดังนั้นองค์ชายองค์นี้จึงไม่ควรมาทำสิ่งที่ไม่จำเป็นในวันนี้หรือ”
“หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้นเพคะ” คังอี้รู้สึกว่าซวนเทียนหมิงยากที่จะรับมืออย่างแท้จริง และนางรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะมาเพื่อแก้แค้น นางจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “องค์ชายใหญ่ได้พารุยเจียเข้าพระราชวังเพื่อสอนมารยาท ท่านพี่ก็ไปราชสำนักและยังไม่ได้กลับมา องค์ชายทรงนำทหารองครักษ์จำนวนมากมา องค์ชายต้องการสนทนากับท่านพี่ใช่หรือไม่เพคะ ? ไม่เช่นนั้นองค์ชายคงจะเสด็จมา เข้าไปนั่งในห้องโถงก่อนเพคะ”
ทุกครั้งในตระกูลเฟิงก็สั่นด้วยความกลัว ฮูหยินผู้เฒ่าคิดแค่ว่าปากของคังอี้พูดเรื่อยเปื่อย นางจะสามารถเข้าใจสถานการณ์ในราชวงศ์ต้าชุนหรือไม่ ?
อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงก็เริ่มหัวเราะ ราวกับว่าเขาได้ยินเรื่องตลกขบขัน ขณะที่เขาชี้ไปที่คังอี้ และกล่าวว่า “ท่านกำลังบอกว่าองค์ชายคนนี้มาถึงคฤหาสน์ในขณะที่เฟิงจินหยวนไม่อยู่ ข้ามารังแกคนแก่และคนอ่อนแอ และข้าไร้มารยาทมากใช่หรือไม่ ? ” เขาพูดอย่างนี้ในขณะที่หัวเราะ ต่อมาเขาก็ส่ายหน้า “มารยาทเป็นสิ่งที่องค์ชายองค์นี้ไม่รู้จักตั้งแต่วันที่ข้าเกิด องค์ชายองค์นี้รู้ว่ามีคนทำให้ว่าที่พระชายาของข้ามีปัญหาและทำให้นางรู้สึกไม่มีความสุข วันนี้องค์ชายมาที่ตระกูลเฟิงเพื่อขอคำอธิบาย”
คังอี้ก็เต็มไปด้วยความโกรธ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้นางจำได้ที่ว่ารุยเจียมีเลือดไหลออกมา นางทั้งโกรธและเศร้า และนางอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เมื่อวานบุตรสาวของหม่อมฉันทำผิดระหว่างงานแต่งงาน และองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันก็ลงโทษนางแล้ว ! ”
ซวนเทียนหมิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “อาเฮงลงโทษนางเพราะนางดูถูกองค์ชายผู้นี้ ข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อมาเก็บหนี้ที่ทำอาเฮงโกรธ นี่เป็นสองเรื่องที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกมันจะคิดรวมกันได้อย่างไร นอกจากนี้ท่านควรขอบคุณที่อาเฮงที่แค่ตีสั่งสอน ถ้าเป็นข้า บุตรสาวของท่านก็คงจะได้พบกับพญายมมานานแล้ว”
คำสองคำที่ปรากฏอยู่ในใจของสมาชิกของตระกูลเฟิง : ไร้เหตุผล !
องค์ชายเก้าผู้นี้เคยมีเหตุผลซักครั้งหรือไม่
ใครจะรู้ว่าซวนเทียนหมิงอ่านใจของพวกเขาออก ในขณะที่เขาดูท่าทางของทุกคนในตระกูลเฟิง และพูดจริง ๆ ว่า “พวกเจ้ารู้สึกว่าองค์ชายผู้นี้ไร้เหตุผลใช่หรือไม่ ? ”
สมาชิกของตระกูลเฟิงต่างก็ส่ายหัวโดยไม่มีใครกล้าตอบ อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงพูดขึ้นว่า “นั่นเป็นไปได้อย่างไร ภายใต้สวรรค์ ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าพระองค์เป็นบุคคลที่มีเหตุผลมากที่สุด”
จริงหรือ ?
สมาชิกของตระกูลเฟิงมองหน้ากัน ถ้าจะบอกว่าซวนเทียนหมิงนั้นมีเหตุผลแล้ว นั่นไม่ใช่ข้อโต้แย้งที่เลวร้ายที่สุดในโลกหรอกหรือ ? นับตั้งแต่องค์ชายคนนี้เกิดมา เขาเคยมีเหตุผลหรือ ? มันไม่ใช่แค่เขา นอกจากนี้ยังมีมารดาของเขา พระชายาหยุน และว่าที่พระชายาของเขาคือเฟิงหยูเฮง เมื่อใดกันที่พวกเขามีเหตุผล ?
คังอี้จ้องมองเฟิงหยูเฮง และรู้สึกว่าทั้งสองคนนี้เป็นคู่ที่เหมาะสมจริง ๆ ความสามารถของพวกเขาในการพูดเรื่องไร้สาระด้วยใบหน้านิ่ง ๆ ไม่มีใครเทียบได้ในโลกนี้
“ถ้าเช่นนั้นองค์ชายก็หมายความว่า…” คังอี้ไม่อยากอ้อมค้อม ทั้งสองวิธีไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ มันจะเป็นการดีกว่าถ้าให้เขาพูดสิ่งที่ต้องการ
คังอี้พร้อมที่จะเสี่ยง แต่สมาชิกของตระกูลเฟิงกลัว ! ถ้าเขาต้องการที่จะเฆี่ยนสมาชิกของตระกูลเฟิงทุกคนล่ะ ? พวกเขาจะทำอย่างไร
เช่นเดียวกับทุกคนในตระกูลที่กำลังสั่น ซวนเทียนหมิงหันรถเข็นของเขาและย้ายไปที่ด้านข้างของเฟิงหยูเฮง เขาจับมือของนางออกมาจากมือของฮูหยินผู้เฒ่า และจับมือเล็ก ๆ ของนางไว้ ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นว่า “องค์ชายผู้นี้ไม่มีความตั้งใจใด ๆ หญิงสาวที่ทำให้อาเฮงโกรธ นางคงไม่สามารถทนต่อองค์ชายผู้นี้ได้ ดังนั้นองค์ชายคนนี้จะยกโทษให้นางในตอนนี้”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของคังอี้ก็เป็นประกายสดใสขึ้นมา นางรีบกล่าว “ขอบพระทัยองค์ชายเพคะในการยกโทษตายให้”
“อ่า” ซวนเทียนหมิงยอมรับเสียงของนางอย่างเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตามจากนั้นเขาก็พูดว่า “แต่ถึงแม้ว่าโทษตายจะยกเว้น แต่โทษเป็นยังอยู่ ! ”
คังอี้ตกใจ “โทษเป็น”
“ใช่แล้ว” ซวนเทียนหมิงเปล่งเสียงของเขา เสียงขี้เกียจที่เขาใช้หายไปเล็กน้อย สมาชิกของตระกูลเฟิงก็ได้ยินเขาพูดอย่างไร้ยางอาย “อาเฮงของเราเป็นคนอ่อนแอ ความโกรธไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หากนางป่วยหนัก กำลังวังชาของนางก็จะหาย หากกำลังวังชาของนางหายไป มันจะต้องใช้ยาที่ดีที่สุดเพื่อช่วยให้นางกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม องค์ชายผู้นี้ไม่กล้าที่จะขัดใจนางและจะทำทุกอย่างตามที่นางปรารถนา ข้าให้นางทุกอย่างและข้ากลัวว่าข้าจะทำร้ายนาง เสด็จพ่อก็สนับสนุนนางด้วยกลัวว่านางจะถูกผู้อื่นรังแกเพราะร่างกายที่อ่อนแอของนาง” นั่นคือเหตุผลที่เขาพูดถึงตำแหน่งองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันของนาง โดยคิดว่าไม่ว่าในกรณีใดนางสามารถใช้มันเพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่ใครจะรู้ว่ายังมีผู้คนที่ไม่ใส่ใจ
แค่เขาพูดออกมาก็ทำให้สมาชิกตระกูลเฟิงเกิดเหงื่อเย็นไหลที่หน้าผาก
เฟิงหยูเฮงอ่อนแอ นางจะถูกคนอื่นรังแกใช่หรือไม่ ?
องค์ชายเก้าจะตายหรือไม่ ถ้าพระองค์ไม่พ่นเรื่องไร้สาระ ?
มันจะดีพอถ้านางไม่รังแกคนอื่นใช่หรือไม่
แน่นอนนี่เป็นเพียงสิ่งที่พวกเขาคิดกับตัวเอง พวกเขาจะกล้าพูดออกมาดัง ๆ ได้อย่างไร ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าที่จะพูดเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องทำท่าเห็นด้วย พวกเขาต้องยืนขึ้นและพยักหน้าอย่างระมัดระวังรอซวนเทียนหมิงพูดต่อ
ซวนเทียนหมิงมองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า “เหตุผลที่องค์ชายพูดมาก็คือบอกฮูหยินใหญ่ว่าค่าใช้จ่ายของอาเฮงที่ล้มป่วยครั้งหนึ่งนั้นค่อนข้างสูง”
“ค่ารักษาใช่ไหมเพคะ” คังยี่งงงวย เมื่อคิดอีกเล็กน้อยนางถามอย่างระมัดระวัง “องค์ชายกำลังพูดถึง… เรื่องเงินหรือไม่เพคะ”
“ฉลาด ! ” ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “ให้ข้าพูดแบบนี้ ในท้ายที่สุดท่านก็เป็นแขก มันจะไม่ดีสำหรับราชวงศ์ต้าชุนของเราที่จะยังคงยึดมั่นกับความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวใช่หรือไม่ นั่นเป็นเหตุผลที่จะชดเชยความผิดพลาดด้วยเงิน มันจะเพียงพอที่จะจ่ายสำหรับยาบำรุงที่อาเฮงจะได้รับ”
คังอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างยาวนานพร้อมกับคนอื่น ๆ ในตระกูลเฟิง ความสามารถในการใช้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาไม่ใช่ปัญหา คราวนี้องค์ชายเก้านั้นทรงเมตตาอย่างแท้จริง !
คังอี้กล่าวอย่างไม่เห็นแก่ตัว “เรายอมรับการลงโทษ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่เพค่ะ”
ซวนเทียนหมิงนับนิ้วของเฟิงหยูเฮงจนกระทั่งเขานับถึงห้า “5,000,000 เหรียญ”
สมาชิกของตระกูลเฟิงทุกคนเริ่มเหงื่อออก แม้ว่าจะมีคนกินยาที่ใช้เงินซื้อมา มันจะไม่แพงหรือ ?
ใจของคังยี่ก็สั่นอยู่พักหนึ่ง เมื่อเขาเรียกร้องมากมันเป็นการหลอกลวงอย่างแน่นอน แต่แม้ว่ามันจะเป็นการหลอกลวง แล้วสิ่งที่พวกนางสามารถทำได้ล่ะ ? เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามหลอกลวงพวกนาง แต่นางจะทำอย่างไร นางได้แต่ทนทุกข์ในความเงียบ ไม่สามารถพูดถึงความทุกข์ทรมานของนาง นางทำได้แค่กัดฟันแล้วพูดว่า “ข้ายอมรับการลงโทษเพคะ”
“อ่า” ซวนเทียนหมิงพยักหน้าเพิ่ม “5,000,000 เหรียญทอง”
สมาชิกของตระกูลเฟิงเซไปทั้งกลุ่ม