แต่เจ้า “วิกผม” แรงเยอะมาก แม้ว่าหุ่นซอมบี้จะกระชากเต็มแรงแล้ว แต่ก็ทำได้เพียงดึงเจ้า “วิกผม” ถอยไปไม่ถึงครึ่งเมตร แล้วจู่ๆ มันก็ถูก “เส้นผม” กระจุกหนึ่งเข้ารัดตัว และเหวี่ยงออกไปข้างหลังอย่างแรงทันที
หลิงม่อรู้สึกเจ็บเหมือนเส้นประสาทตรงขมับถูกกระตุกทันที “เส้นผม” พวกนี้ดูเหมือนเคลื่อนไหวเชื่องช้า แต่ความเร็วและพลังที่ระเบิดออกมาในเสี้ยววินาทีไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิดเลยแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้หลิงม่อไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น เพราะสิ่งที่เขารอคอยคือช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในตอนนี้!
หนวดสัมผัสทางจิตพุ่งออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อมัด แต่เพื่อบีบรัดต่างหาก!
ก่อนหน้านี้ที่หลิงม่อไม่มีใช้วิธีนี้ ก็เพื่อเก็บไว้แสดงพลังที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในเวลาอย่างนี้
เจ้า “วิกผม” มีรูปร่างที่พิเศษไม่เหมือนใคร เขาจึงหาจุดอ่อนของมันไม่เจอ
การโจมตีรัวๆ ของหลิงม่อเมื่อกี้ ถึงแม้จะเจาะทะลุ “หมวกคลุม” ของมันได้ แต่บาดแผลจริงๆ ที่มันได้รับกลับมีไม่มาก
ความจริงชุดการโจมตีเมื่อกี้เป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น หลิงม่อมีประสบการณ์ในการต่อกรกับซอมบี้ราชาแล้ว ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์กลายพันธุ์ที่มีอยู่ในระดับเดียวกับซอมบี้ราชาตัวนี้ เขาย่อมไม่มีทางดูเบาศัตรู!
จากการทดสอบ ได้ผลสรุปว่าสัตว์กลายพันธุ์ตัวนี้มีสติปัญญาที่ต่ำ แต่กลับมีพลังป้องกันและวิธีการโจมตีที่แข็งแกร่งมาก!
ถึงแม้มันจะหยุดให้หลิงม่อโจมตี แต่หลิงม่อก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าก่อนที่ตัวเองจะใช้พลังจิตจนหมด เขาจะฆ่าเจ้า “วิกผม” ตัวนี้สำเร็จหรือไม่
แต่ไม่ว่าพลังป้องกันของร่างกายของมันจะเป็นอย่างไร ทว่าด้านพลังจิต เทียบกับหลิงม่อแล้ว มันต้องเป็นฝ่ายด้อยกว่าอย่างแน่นอน!
หลิงม่อตัดสินใจฉวยโอกาสในขณะที่มันได้รับบาดเจ็บและสมาธิไขว้เขวนี้ เอาไม้ตายของตัวเองออกมาใช้!
เมื่อพลังบีบรัดเริ่มสำแดงฤทธิ์ เจ้า “วิกผม” พลันบิดม้วนตัว “เส้นผม” มากมายหดเข้าไปพันรัดกันเป็นกลุ่ม
หลิงม่อหน้ามืด แต่ในใจกลับร้องดีใจ
ได้ผล!
เจ้า “วิกผม” พยายามเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็น “ใบหน้าสีดำ” ที่เต็มไปด้วยรูแผล
ถึงแม้จะเห็นเป็นเพียงโพรงลึกรูปเบ้าตา แต่หลิงม่อก็ยังคงรู้สึกขนลุกทันที เหมือนกำลังถูกเจ้า “วิกผม” ตัวนี้จ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย
ฉวยโอกาสตอนมันล้ม เหยียบให้ตาย!
ตอนแรกหลิงม่อไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับผลของการใช้พลังบีบรัดดวงจิต กระทั่งเตรียมตัวหนีไว้ก่อนแล้ว แต่ไม่คิดว่าหลังจากจับช่องโหว่ได้และมีโอกาสใช้พลังบีบรัดดวงจิตสำเร็จเพียงครั้งเดียว จะสร้างบาดแผลให้เจ้า “วิกผม” ได้มากขนาดนี้
เวลาอย่างนี้ ต้องไล่ตามโจมตีไปติดๆ!
หนวดสัมผัสมากมายนับไม่ถ้วนพุ่งออกไป ห่อหุ้มดวงแสงแห่งจิตของเจ้า “วิกผม” ไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า
ทุกครั้งที่เจ้า “วิกผม” ดิ้นรนขัดขืน สิ่งที่ได้กลับคืนมาคือพลังบีบรัดดวงจิตจากหลิงม่อ
และในระหว่างที่ใช้พลังบีบรัด ภาพความทรงจำมากมายก็ไหลผ่านสมองของหลิงม่ออย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าเจ้า “วิกผม” จะมีสติปัญญาไม่สูง แต่กลับมีความจำที่ดีในระดับหนึ่ง
ทว่าสำหรับหลิงม่อ ภาพความทรงจำเหล่านี้กลับไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
แต่ด้วยผลจากการที่พลังจิตถูเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว กอปรกับการก่อกวนจากภาพความทรงจำเหล่านี้ ทำให้ผลกระทบที่หลิงม่อได้รับจากเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกไม่สบายใจนั้นรุนแรงขึ้นในพริบตา ท่ามกลางสติอันพล่าเลือน หลิงม่อถึงขั้นเห็น “เส้นผม” มากมายกำลังพุ่งเข้ามาทางตัวเอง
“อ๊ากก!”
หลิงม่อกรีดร้องดังลั่นอยู่ภายในใจ แล้วเขาก็ได้สติกลับคืนมาในชั่วขณะ
และในเสี้ยววินาทีนี้เอง ที่เขาเห็น “เส้นผม” กระจุกหนึ่งกำลังใกล้จะเลื้อยเข้ามาถึงเท้าเขาแล้ว
หลิงม่อหนังศีรษะชา พลันมอบพลังบีบรัดให้เจ้า “วิกผม” ไปอีกครั้ง
“เส้นผม” กระจุกนั้นบิดม้วนตัวและกระตุกสั่น ทำให้หลิงม่อมีโอกาสถอยหนี
หลังจากดึงระยะห่างออกมา หลิงม่อก็นึกหวาดเสียวอยู่ในใจ
เมื่อกี้ตอนที่ใช้พลังบีบรัดดวงจิตได้ผล เขายังรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง แต่ดูจากตอนนี้ เขาไม่สามารถประมาทได้แม้แต่วินาทีเดียวจริงๆ
ข้อดีขอสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ตัวนี้ไม่ใช่การโจมตี แต่เป็นความสามารถที่พิเศษของมัน
เมื่อใดที่ต่อสู้กับมัน ก็จะต้องได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งเสมอ
ดูจากที่ซอมบี้พวกนั้นมองข้ามมันไปก็รู้แล้วว่า ทันทีที่เกิดอาการคลุ้มคลั่ง พวกมันก็จะมองข้ามแหล่งเชื้อไวรัสไป และพอถึงเวลาก็ปล่อยให้มันฆ่า
“อีกนิดเดียว…”
หลิงม่อกัดฟันกรอด พยายามทำตัวให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
เขาระเบิดการโจมตีด้วยพลังจิตอีกครั้ง ทว่าในขณะเดียวกัน ตัวเขากลับค่อยๆ ถอยไปข้างหลังเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่ง
ภายใต้สภาวะที่รวบรวมพลังจิตขั้นสูง หลิงม่อเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองโจมตีไปกี่ครั้ง และเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว
กระทั่งรู้สึกมึนศีรษะอย่างรุนแรง เขาถึงได้สติกลับคืนมา แล้วเบิกตากว้างมองไปทางเจ้า “วิกผม” พร้อมกับอ้าปากหอบหายใจหนักหน่วง
“ฮั่กๆ…”
หลิงม่อสะบัดหัวแรงๆ จากนั้นก็จ้องเจ้า “วิกผม” อยู่ครู่หนึ่ง
“เส้นผม” เหล่านั้นยังคงเคลื่อนไหวไปมาเบาๆ แต่ร่างหนังหุ้มกลับหยุดเคลื่อนไหวไปแล้ว
“ไม่ใช่แล้วมั้ง ไม่ขยับแล้ว?” หลิงม่ออดทนกับอาการปวดหัว แล้วแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกไปเส้นหนึ่ง เพื่อสำรวจคลื่นดวงจิตของเจ้า “วิกผม”
หยุดขยับแล้วจริงๆ ด้วย…
เมื่อสำรวจได้ผลอย่างนี้หลิงม่อก็ตัวอ่อนไปทั้งตัวทันที “เส้นผม” ก้อนนี้รับมือยากมากจริงๆ…
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนแค่ขยับนิ้วก็ยังยาก ไม่ใช่เพราะร่างกายหมดแรงหรืออะไร แต่เป็นเพราะเขาใช้พลังจิตมากเกินไป
“ไม่ได้ ต้องจัดการอะไรอีกหน่อย…”
หลิงม่อพยายามยืดตัวตรง ถึงแม้เจ้า “วิกผม” จะไม่ขยับแล้ว แต่ความจริงดวงแสงแห่งจิตของมันแค่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ไม่นานความสามารถในการขยับตัวของมันก็จะฟื้นฟูกลับมา
พอถึงตอนนั้น ฝ่ายที่ต้องตายจริงๆ คงจะเป็นหลิงม่อแทน
“ลองเผาดูก่อนแล้วกัน…”
ไวรัสนางพญาของสัตว์กลายพันธุ์ตัวนี้คือสิ่งที่หลิงม่อหมายปองอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขาไม่มีแรงมานั่งศึกษาว่าควรควักไวรัสนางพญาในร่างของมันออกมาด้วยวิธีไหนแล้วจริงๆ พลังป้องกันอันร้ายกาจ แล้วไหนจะรูปร่างเหมือน “วิกผม” นั่นอีก ควรลงมือด้วยวิธีไหนกันล่ะ?
อย่างไรหลังจากที่เผา ไวรัสนางพญาก็ยังปลอดภัยอยู่ดี
ของเหลวเหนียวหนืดนี่อาจติดไฟยาก แต่การที่เจ้า “วิกผม” นี่ขยับตัวไม่ได้ชั่วคราวถือว่าเป็นบาดแผลฉกรรจ์
นั่นแสดงว่า หลิงม่อสามารถเพิ่มเชื้อไฟเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย…
ทว่าในขณะที่เขาวางกระเป๋าเป้ลงและเตรียมจะล้วงอุปกรณ์จุดไฟออกมา ทันใดนั้นเงาสีขาวกลับพุ่งตัวออกมาจากกระเป๋าเป้
เหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ทำเอาหลิงม่อสะดุ้งตกใจ ทว่าหลังจากตั้งใจมองดีๆ เขากลับต้องตะลึงตาค้าง
นั่นมัน…เจ้าแมงกะพรุน!
เจ้าแมงกะพรุนรูปหมวกกันน็อกนั่นนอนแห้งเฉาอยู่ในกระเป๋าเป้มาโดยตลอด หลิงม่อเองก็ไม่ค่อยได้สนใจมันมาก มีถ่านพลังจิตให้มันบ้างเป็นครั้งคราว ถือเป็นการเลี้ยงมันเอาไว้
แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะขยับเองได้!
หลิงม่อจ้องมองมันอย่างละเอียด แล้วก็ค้นพบว่าด้านล่างของมันมีเส้นคล้ายหนวดบางๆ งอกออกมากลุ่มหนึ่ง
เส้นหนวดบางๆ พวกนั้นเหมือนเสี้ยนเล็กๆ ที่ดูไม่มีพิษภัย ทว่าเมื่อพวกมันสาวไปข้างหน้าด้วยความเร็วกลับสามารถพาแมงกะพรุนวิ่งไปวิ่งมาได้…
ถึงแม้ในแวบแรก มันจะดูเหมือนแมงกะพรุนเรืองแสงกำลังวิ่งไปวิ่งมาบนพื้นอยู่แล้วก็ตาม…
เจ้าแมงกะพรุนพุ่งตัวไปทางเจ้า “วิกผม” อย่างไม่ลังเล จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนตัวเจ้า “วิกผม” ดัง “ป๊าบ”
หลิงม่อเห็นเข้าก็ตกใจ ทว่าภาพที่น่าตกใจยิ่งกว่ากำลังจะเกิดขึ้น
แมงกะพรุนตัวพองขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน “เส้นผม” เหล่านั้นก็เริ่มพากันดิ้นขลุกขลัก
ถ้าไม่ใช่ว่าคลื่นดวงจิตของเจ้า “วิกผม” ไม่มีอะไรผิดปกติ หลิงม่อคงจะอดโจมตีมันอีกครั้งไม่ได้
แต่ถึงแม้เป็นอย่างนั้น เขาก็ยังคงจ้องมองอยู่อย่างไม่ละสายตา เพราะกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดอะไรไป
“เส้นผม” เหล่านั้นถูกแรงดูดมหาศาลของแมงกะพรุนดูดเข้าไปในตัวมัน ทว่าอย่างมากมันก็ดูดเข้าไปได้เพียงส่วนเล็กๆ
ไม่นาน ผิวภายนอกของแมงกะพรุนก็เริ่มกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว…
“เอ๋! มันดูดแค่พลังจิตไม่ใช่หรอ…”
หลิงม่อเบิกตากว้าง เจ้านั่นเริ่มดูดเลือดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
แต่ความจริง เจ้าแมงกะพรุนเคยดูดเลือดไปแล้วครั้งหนึ่ง เพียงแต่เย่เลี่ยนไม่ได้บอกหลิงม่อเท่านั้นเอง…
“เส้นผม” แต่ละเส้นพวกนั้นความจริงมันคือหลอดดูด ถึงแม้เจ้าแมงกะพรุนจะไม่สามารถผ่าร่างจริงของเจ้า “วิกผม” ได้ แต่มันกลับสามารถลงมือกับหลอดดูดพวกนี้ได้โดยตรง
“แต่ถ้าปล่อยให้มันดูดของอย่างนี้เข้าไป อีกหน่อยมันจะวิวัฒนาการไปเป็นแบบไหนกันล่ะเนี่ย…”
หลิงม่อไม่ได้ห้ามแมงกะพรุน แต่กลับแสดงความเป็นห่วงต่ออนาคตของมัน
ดูดของอย่างนี้เข้าไป มันก็น่าขนลุกอยู่นี่นา…
ขนาดตัวของแมงกะพรุนเล็กมาก แต่มันกลับสามารถดูดเลือดได้ในปริมาณที่มากเกินคาด
หลิงม่อรออยู่ 1 นาที มันก็ยังคงดูดไม่เสร็จ…
กลับเป็นเจ้า “วิกผม” ที่กระตุกสั่นอยู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายก็ถูกหลิงม่อที่ฟื้นตัวได้บ้างแล้วใช้พลังบีบรัดไปอีกครั้ง มันจึงอ่อนแรงและแน่นิ่งไป
ไม่คาดคิดเลยว่าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ระดับเจ้าเมืองแห่งเมืองชุ่ยเหอ จะถูกจัดการด้วยน้ำมือของมนุษย์คนหนึ่ง และสิ่งที่แทบจะไม่ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ…
เมื่อเจ้าแมงกะพรุนดูดเลือดจนตัวของมันกลายเป็นสีแดงโลหิต เจ้า “วิกผม” ก็แห้งเฉาเหมือนต้นหญ้าที่แห้งเหี่ยว
ขณะเดียวกัน ของเหลวหนืดที่อยู่บนตัวมันก็หายไปเกือบหมดแล้ว หลิงม่อดึงเจ้าแมงกะพรุนกลับมา ราดแอลกอฮอร์ใส่บนตัวเจ้า “วิกผม” เมื่อเขาโยนไม้ขีดไฟก้านเล็กๆ ตามลงไป ประกายไฟก็ลุกพรึบทันที
ร่างหนังหุ้มเผาไหม้ไม่ได้ง่ายๆ ทว่าร่างจริงของเจ้าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์นี้กลับสูญเสียพลังป้องกันไปหมดแล้ว
ประกายเพลิงสะท้อนวูบวาบอยู่บนใบหน้าหลิงม่อ แต่เขากลับเอาแต่จ้องมองเจ้าแมงกะพรุนอย่างขบคิด
เจ้าสิ่งนี้ กำลังเริ่มวิวัฒนาการสินะ…
—————————————————————————–