ซ่า~
สายฝนสาดกระหน่ำใส่ป้ายบอกทางสนิมเขรอะ ตัวอักษรกระดำกระด่าง 3 ตัวที่เขียนว่า “เมืองเฮยสุ่ย” ก็ดูเหมือนจะเลือนรางลงไปด้วย…
หมอกสีขาวแผ่ปกคลุมท้องฟ้าเมืองเฮยสุ่ย น้ำฝนขุ่นมัวหลายสายไหลตามขอบทางระดับต่ำลงไปในท่อน้ำ
ชั่วขณะหนึ่ง ราวกับว่าเมืองทั้งเมืองหลงเหลืออยู่แต่เพียงเสียงสายฝน
ภาพท้องถนนท่ามกลางสายฝนกลับมีดูเลือนรางไม่ชัดเจน มองไปแวบแรก เหมือนจะเห็นเงาร่างผู้คนจำนวนหนึ่ง
ณ ถนนกว้างใหญ่เส้นหนึ่งบนทางเหนือของเมืองเฮยสุ่ย จู่ๆ เงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ทางเลี้ยว
ทว่าพวกเขาเพียงมองเข้าไปข้างในจากที่ไกลๆ จากนั้นก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายฝน
สิบกว่านาทีผ่านไป เงาร่างของคนกลุ่มนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นในตัวอาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากถนนเส้นนั้นหลายร้อยเมตร
“มั่นใจหรอว่าที่นั่นคือนิพพานสำนักงานใหญ่?” มู่เฉินแหวกม่านออกเป็นช่องเล็กๆ แล้วถามขึ้น เมื่อกี้เขาช่วยจัดการซอมบี้ในอาคาร และย้ายศพไปกองรวมกันในห้องห้องหนึ่ง เขาจึงดูค่อนข้างเหนื่อยล้า
ทว่าพอพูดถึงนิพพานสำนักงานใหญ่ขึ้นมา สายตาของเขาก็ประกายแววตื่นเต้นขึ้นมา
ข้างหลังเขา หลิงม่อกำลังกางแผนที่ของเมืองแห่งนี้ดูอยู่
“ไม่แน่ใจ แต่จะวู่วามเข้าใกล้ก็ไม่ได้ ถึงแม้เราตั้งใจจะไปพึ่งพิงพวกเขาอยู่แล้ว แต่ก่อนจะเข้าไป พวกเราต้องสังเกตการณ์และทำความเข้าใจก่อน” หลิงม่อบอก
หลังจากเข้ามาในเมืองเฮยสุ่ย สิ่งแรกที่หลิงม่อทำ คือเข้าไปในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง แล้วหยิบแผนที่อย่างละเอียดแผ่นนี้ออกมา
ในบันทึกการใช้งานแอพฯ นำทางในมือถือของเฉินเล่อ เมืองเฮยสุ่ยคือสถานีที่ 1
แต่ที่นี่จะใช่ที่ตั้งของนิพพานสำนักงานใหญ่หรือไม่นั้น แค่ดูจากบันทึกการใช้งานในมือถือคงไม่อาจมั่นใจได้
นอกจากนี้แผนที่ในแอพฯ นำทางก็ไม่ละเอียดมากพอ ทำให้ขาดข้อมูลในหลายด้าน
จนกระทั่งได้มาเห็นแผนที่ หลิงม่อจึงรู้สึกมั่นใจในที่สุด—
เมืองรอบข้างล้วนไม่คึกคักเท่าเมืองเฮยสุ่ย ระยะทางก็ไกลมากด้วย นอกเสียจากว่านิพพานสำนักงานใหญ่ไม่มีทางเลือก ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่เลือกตั้งสำนักงานใหญ่ในที่แบบนั้นแน่นอน
ไม่ใช่แค่ยุ่งยากเรื่องการหาเสบียงอาวุธ แต่การเดินทางก็ยังไม่สะดวกอีกด้วย…
ถึงแม้พวกเขาจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องหาเสบียงและอาวุธได้ แต่ทั้งที่อยู่ไกลขนาดนั้นเฉินเล่อกลับไม่เปิดแอพฯ นำทาง กลับมาเลือกเปิดตอนที่อยู่เมืองเฮยสุ่ย ฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก
อีกอย่าง หากจุดเริ่มต้นคือเมืองเล็กๆ เหล่านั้นจริงๆ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องวิ่งมาถึงเมืองเฮยสุ่ย
เพราะถึงอย่างไรผู้รอดชีวิตที่มักวิ่งเข้าใส่เมืองที่มีซอมบี้ชุกชุมอย่างหลิงม่อ ก็มีไม่มาก…
ทว่าถึงแม้จะมั่นใจแล้วว่าเป็นเมืองเฮยสุ่ย แต่ถึงอย่างนั้น การตามหาตำแหน่งของนิพพานสำนักงานใหญ่ในเมืองกว้างใหญ่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
หากบินว่อนตามหาไปทั่วเหมือนแมลงมันไร้หัว บางทีหลายวันผ่านไปก็ยังหาไม่เจอ…
ถึงแม้พวกหลิงม่อจะเสียเวลาอยู่ในเมืองชุ่ยเหอไป 2 วัน แต่พวกเขาก็ถือว่าเดินทางได้เร็วจนน่าเหลือเชื่อแล้ว แต่ถ้าหากยังเสียเวลาต่อไป ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่านิพพานสำนักงานใหญ่จะไม่มีปฏิกิริยาอะไรขึ้นมาเสียก่อน อย่างการส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์ที่เมืองตงหมิงเป็นต้น
ถึงแม้กว่าคนที่พวกเขาส่งออกไปจะนำข่าวกลับมารายงานต้องใช้เวลาหลายวัน แต่สำหรับหลิงม่อ หากเขามีเวลาอยู่ในนิพพานสำนักงานใหญ่เพิ่มขึ้นหนึ่งวัน นั่นแสดงถึงว่าเขาจะมีเวลาได้รับข่าวสารข้อมูลเพิ่มขึ้น
“แต่ซอมบี้แถวๆ นี้…ก็มีเยอะมากนะ…” สวี่ซูหานพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
ในความคิดของเธอ เธอคิดว่านิพพานสำนักงานใหญ่น่าจะถูกสร้างในที่ที่ปลอดภัยกว่านี้
ถึงแม้สาขาย่อยในเมืองตงหมิงเองก็ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ที่นั่นถูกอำพรางไว้อย่างมิดชิด
ถนนเส้นนี้ดูสะดุดตาเกินไป…
“นิพพานสำนักงานใหญ่ไม่ใช่ค่ายผู้รอดชีวิตทั่วไป ความปลอดภัยไม่น่าจะมาเป็นอันดับแรก พวกเขามีองค์ประกอบพิเศษอย่างกลุ่มวิจัยอยู่ด้วย ดังนั้นพวกเขาต้องพิถีพิถันเรื่องการเลือกตำแหน่งและสภาพแวดล้อมมาก”
หลิงม่อพูดอย่างใจเย็น “อันดับแรก ตัดพื้นที่อุตสาหกรรมแถบชานเมืองไปได้เลย กลุ่มนักวิจัยต้องใช้อุปกรณ์และสภาพแวดล้อมสำหรับการทำวิจับโดยเฉพาะ ในพื้นที่อุตสาหกรรมไม่มีโรงงานไหนสามารถตอบโจทก์ข้อนี้ได้เลยซักที่”
“อันดับต่อมา หนูทดลองที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้อย่างขาดไม่ได้เลย คือซอมบี้ จำนวนและระดับของซอมบี้ในแถบชานเมืองสู้ซอมบี้ในตัวเมืองไม่ได้เลย ซอมบี้ในเมืองเฮยสุ่ยไม่ได้มีการลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นเหมือนกับเมืองตงหมิงมาก”
“ทว่าเมืองตงหมิงนั้นใช้ทั้งเมืองเป็นสนามทดลอง แต่ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่ใช้เลี้ยงซอมบี้แบบปล่อยเท่านั้น แน่นอน การจะจัดการซอมบี้หลายล้านตัวเป็นงานที่ใหญ่เกินไป ฉันเดาว่าพวกเขาก็คงไม่มีปัญญาทำอย่างนั้นเหมือนกัน”
หลิงม่อพูด พร้อมกับกางแผนที่ออก แล้ววางบนโต๊ะชาด้านหลัง “บนถนนเส้นนี้ มีมหาลัยแพทย์เฮยสุ่ยตั้งอยู่ ข้างกันยังมีโรงพยาบาลในเครืออยู่อีกหนึ่งแห่ง…ทั่วเมืองเฮยสุ่ย ไม่มีที่ไหนเหมาะสมกว่าที่นี่อีกแล้ว…”
สวี่ซูหานและมู่เฉินมองหน้ากัน ถึงแม้พวกเขาจะเป็นสมาชิกของนิพพาน แต่ก็เคยได้ยินเรื่องของนิพพานสำนักงานใหญ่มาไม่มาก แต่หลิงม่อเพียงคาดเดาตามความเข้าใจบางอย่าง ก็สามารถวิเคราะห์ตำแหน่งที่ตั้งของนิพพานสำนักงานใหญ่ออกมาได้แล้ว…
ร้ายกาจตามคาด!
แต่หลิงม่อไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ หลังจากที่พลังจิตของเขาอัพเกรด ถึงแม้มันจะไม่ทำให้เขากลายเป็นอัจฉริยะในทันที แต่ความสามารถในการจดจำกลับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
รายละเอียดเพียงเล็กน้อยเขาก็สังเกตเห็น เมื่อนำมาปรับใช้กับเรื่องที่ทำได้เพียงต้องวิเคราะห์อย่างนี้ ถือว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีไม่น้อย…
ปากบอกว่าจะคอยสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ แต่ในขณะที่พูดอย่างนั้น หลิงม่อกลับสลับมุมมองสายตาไปยังเสี่ยวป๋ายเรียบร้อยแล้ว
เรื่องนี้ไม่ต้องถึงมืออวี๋ซือหรานกับเฮยซือ แค่เสี่ยวป๋ายก็เอาอยู่แล้ว
ในฐานะสัตว์กลายพันธุ์ ความสามารถในการแฝงตัวของเสี่ยวป๋ายแกร่งกว่าซอมบี้ระดับหนึ่งด้วยซ้ำ
ถึงแม้มันจะมีขนาดตัวใหญ่ แต่เมื่อวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง สีขนของมันก็ได้เปลี่ยนไปเป็นสีป้องกันตัวที่เหมาะแก่การอาศัยอยู่ในตัวเมือง
ขณะเดียวกับที่พวกหลิงม่อตามหาสถานที่ที่เหมาะแก่การพัก เสี่ยวป๋ายก็ได้พุ่งตัวออกจากที่ซ่อน อาศัยการอำพรางจากสายฝนกระโดดเข้าไปในกำแพงของมหาลัยแพทย์อย่างรวดเร็ว
แม้มหาลัยแพทย์แห่งนี้จะไม่ใช่มหาลัยที่มีชื่อเสียง แต่กลับมีพื้นที่กว้างและอาคารมากมาย
พื้นที่สีเขียวในมหาลัยมีเยอะมาก หลังจากผ่านการเจริญเติบโตอย่างบ้าคลั่งในช่วงเกิดภัยพิบัติ สภาพในมหาลัยก็ไม่ได้แตกต่างจากป่าทึบด้านนอกมากนัก
แม้แต่เสี่ยวป๋ายที่มีขนาดตัวใหญ่โตนี้ พอกระโดดเข้าไปในพุ่มหญ้ากลับสามารถซ่อนตัวได้อย่างไร้ร่องรอย…
สายฝนสามารถใช้อำพรางได้ แต่มันก็ส่งผลกระทบต่อการได้ยินรวมไปถึงการรับกลิ่นของของซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์มากเช่นกัน
ทว่าเสี่ยวป๋ายกลับสามารถใช้อุ้งเท้าสัมผัสการสั่นสะเทือนของผิวดิน เพื่อดูว่ามีคนเดินอยู่ใกล้ๆ หรือไม่
“ถ้าหากเป็นที่นี่จริงๆ เดาว่าพวกเขาก็คงจะเลือกอาคาร 2 – 3 หลังมาทำเป็นตึกสำนักงานใหญ่ ถ้าหากไม่ใช่ที่นี่ ก็ลองไปดูที่โรงพยาบาลอีกที…”
ถึงแม้หลิงม่อจะเชื่อมั่นในการวิเคราะห์ของตัวเองมาก แต่หลังจากที่เสี่ยวป๋ายเข้าไปในมหาลัยแพทย์แล้ว เขาก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้
ถ้าไม่เจอนิพพานสำนักงานใหญ่ที่นี่ ก็แสดงว่าทิศทางในการวิเคราะห์ของเขาผิด หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาจต้องเสียเวลาในการวิเคราะห์ใหม่อีกนาน…
“พี่หลี่ รอเดี๋ยว…”
ทันใดนั้น เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางสายฝน หลิงม่อใจกระตุกวูบ เขารีบสั่งให้เสี่ยวป๋ายซ่อนตัวทันที
ตอนนี้เสี่ยวป๋ายเพิ่งมาถึงด้านล่างตึกวิจัยหลังหนึ่ง พอได้ยินเสียงมันก็รีบกระโดดเข้าไปในพื้นที่สีเขียวที่อยู่ข้างๆ
ชายสวมเสื้อกันฝน 2 คนเดินตามกันออกมาจากในอาคาร คนที่ส่งเสียงเรียกคือคนที่อยู่ข้างหลัง
สองคนนั้นเริ่มเดินและพูดคุยไปด้วย “พี่หลี่ พี่เลือกภารกิจอะไร?”
“ภารกิจทั่วไป…ค้นหายาบางประเภท แต่น่าเสียดายที่หาในเมืองไม่ได้” ชายที่ถูกเรียกว่าพี่หลี่ตอบ
เสียงของเขาเบากว่ามาก เสี่ยวป๋ายต้องคลานเข้าไปชิดขอบพื้นที่สีเขียว ถึงจะได้ยินชัดขึ้นมาบ้าง
“ภารกิจ…เป็นนิพพานสำนักงานใหญ่จริงๆ ด้วย!” หลิงม่อคลายใจทันที
สมาชิกของนิพพานสำนักงานใหญ่ล้วนต้องพึ่งการทำภารกิจเพื่อให้ได้รับการถูกปฏิบัติที่ดีขึ้นและเพื่อเสบียงอาวุธ สองคนนี้ดูก็รู้แล้วว่าเป็นสมาชิกธรรมดาที่อาศัยการรับภารกิจเพื่อเลี้ยงปากท้องเท่านั้น
ทว่าถึงจะเป็นระดับ “ธรรมดา” แต่มาอยู่ที่นี่ได้ก็แสดงว่าต้องเป็นผู้มีความสามารถพิเศษแน่นอน
หลิงม่อคิดไม่ถึงว่านิพพานสำนักงานใหญ่จะมีเวรยามคอยเฝ้าด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้ระวังตัวและสั่งให้เสี่ยวป๋ายวิ่งไปไกลถึงตรงนั้น
เมื่อเห็นว่าสองคนนั้นเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลิงม่อรีบสั่งให้เสี่ยวป๋ายถอยหลังเงียบๆ
ถึงแม้เสี่ยวป๋ายตัวใหญ่ แต่เมื่อมันเริ่มเคลื่อนไหวกลับเบายิ่งกว่าเสือชีต้าเสียอีก
แต่ในขณะที่เสี่ยวป๋ายเริ่มถอยห่างออกมาได้ระยะหนึ่ง ชายแซ่หลี่คนนั้นกลับหันขวับทางมัน
หลิงม่อใจเต้น “ตึกตัก” เขารีบสั่งให้เสี่ยวป๋ายหยุดเคลื่อนไหวทันที
หลิงม่อมองลอดต้นหญ้ารกไปยังชายแซ่หลี่คนนั้นผ่านมุมมองสายตาของเสี่ยวป๋าย
สายพลังจิต?
เสี่ยวป๋ายหยุดนิ่งอยู่กับที่ กักเก็บกลิ่นอาย แต่ขณะเดียวกัน มันก็เตรียมตัววิ่งทันทีหากถูกจับได้
ถึงแม้นิพพานสำนักงานใหญ่จะต่างจากที่หลิงม่อคิดไว้มาก แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถมั่นใจได้คือที่นี่จะต้องมีผู้มีความสามารถพิเศษอยู่เยอะมากแน่นอน
พลังของผู้มีความสามารถพิเศษเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย หากเริ่มปะทะกันกะทันหันจะต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่ๆ
“พี่หลี่ มีอะไรหรือ?” ชายคนนั้นยังคงพูดจ้อไม่หยุด แต่จู่ๆ เห็นชายแซ่หลี่ชะงักไป จึงถามอย่างสงสัย พลางมองตามสายตาของเขา
หลิงม่อเกร็งไปทั้งร่าง ไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตา
—————————————————————————–