ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเคยมีประสบการณ์ในการแสดงละครมาแล้ว แต่นับตั้งแต่ที่ถูกหลิงม่อตลบหลัง มู่เฉินก็ค่อนข้างฝังใจกับเรื่องนี้!
ทว่าแววตาเลิ่กลั่กของเขากลับเหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้พอดี เพราะถึงอย่างไรเจ้าซอมบี้สุนัขก็ดูน่าแขยงอยู่เล็กน้อย
จางเหยียนกลับชะงักไปเล็กน้อย แล้วถามกลับว่า “แล้วพวกนายไม่ใช่คนของสำนักงานใหญ่หรอ?”
พอถามเสร็จ เขาเองก็อยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆ ซักครั้ง
ชัดขนาดนี้ ยังจะต้องถามอีก!
เขากระชับมีดที่ตอนแรกเก็บเข้าที่ไปเรียบร้อยแล้วอีกครั้ง จากนั้นก็มองหลิงม่อกับมู่เฉินอย่างระมัดระวัง “พวกนายมาจากไหน?”
ถ้ามาจากสาขาย่อย ก็ต้องมีคนนำทางมาถึงจะถูก…แต่สองคนนี้ท่าทางเหมือนเดินหลงเข้ามาชัดๆ
เมืองเฮยสุ่ยไม่ได้กว้างมาก จุดศูนย์กลางของเมืองก็มีแต่ซอมบี้เต็มไปหมด ถ้าหากต้องการเดินอ้อมรอบนอกเพื่อหลีกเลี่ยงซอมบี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมาถึงที่นี่ได้
แต่ผู้รอดชีวิตที่ไหนกัน มีเวลาว่างวิ่งไปทั่วอย่างนี้ได้…
“สำนักงานใหญ่จริงๆ ด้วย…คือว่า…พวกเราเป็นคนของสาขาย่อยเมืองตงหมิง ฉันชื่อมู่เฉิน เป็นสมาชิกระดับสูงของสาขาเมืองตงหมิง สำนักงานใหญ่อาจมีบันทึกรายชื่ออยู่…” มู่เฉินรีบพูดขึ้น
ความจริงถึงแม้จะไม่มีบันทึกรายชื่อก็ไม่เป็นไร เพราะมู่เฉินเป็นสมาชิกระดับสูงของสาขาย่อยเมืองตงหมิง อย่างน้อยเขาก็รู้เรื่องของผู้รับผิดชอบดูแลสาขาอย่างอ้ายเฟิงดี
พอถึงเวลานั้นหากถูกตรวจสอบความถูกต้อง ก็ไม่ยากที่จะยืนยันตัวตนของเขา
จางเหยียนดูเหมือนจะตั้งตัวไม่ค่อยติด เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “สาขาย่อยเมืองตงหมิงมาทำอะไรที่นี่ท”
“คือว่านะ…เรื่องมันค่อนข้างใหญ่” มู่เฉินกันกลับไปมองมู่เฉิน จากนั้นก็หันกลับมาบอก
ไม่ใช่แค่เรื่องใหญ่ธรรมดา แต่เรื่องนี้จะต้องทำให้นิพพานสาขาใหญ่สั่นสะเทือนไปทั่วแน่นอน
และเจ้าหนุ่มที่เดินตามหลังเขาอยู่ตอนนี้ ก็คือผู้สร้างวีรกรรมดังกล่าวขึ้นมา…
สิ่งที่ทำให้มู่เฉินเหนือคาดมากก็คือ ดวงตาลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ใต้ปีกหมวกคู่นั้น กลับดูสงบนิ่งและไม่สั่นไหวต่อสิ่งใด
แล้วพอนึกถึงสีหน้าท่าทางเมื่อกี้ของเขา…
“เชี่ยย เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งเกินไปแล้ว!” มู่เฉินคิดอย่างโมโห ช่วยไม่ได้ ก็เขาอดนึกย้อนไปถึงตอนที่ถูกหมอนั่นตลบหลังไม่ได้นี่…
………..
“ทางนี้”
จางเหยียนที่นำทางอยู่ข้างหน้าหันกลับมาเหล่มองเป็นบางครั้ง ในใจก็นึกขำ
“เจ้างั่งสองตัว ตกใจกลัวซอมบี้สุนัขจนมีสภาพอย่างนี้…”
พอได้เห็นท่าทางของหลิงม่อและมู่เฉินที่พยายามรักษาระยะห่าง จางเหยียนก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
แม้แต่ซอมบี้สุนัขที่เขารังเกียจนักหนา ตอนนี้ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดขนาดนั้นแล้ว
ทว่านอกจากความย่ามใจ จางเหยียนกลับไม่สังเกตเห็นเลยว่า เจ้าซอมบี้สุนัขเองก็เอาแต่หันกลับไปจ้องหนึ่งในสองคนนั้นด้วยสายตาเขม็งตลอด…
“สัตว์ประหลาดตัวนั้นน่ากลัวชะมัด นายเห็นไหมมันเอาแต่จ้องฉันตลอดเลย?” มู่เฉินถามเสียงเบา
“อืม มันน่าจะชอบนายเข้าแล้วล่ะ” หลิงม่อยังคงทำสีหน้าจริงจังเหมือนเดิม แต่คำพูดของเขากลับทำให้มู่เฉินเกือบสะดุดล้มหน้าทิ่ม
“ชิบ! นั่นมันตัวผู้เหอะ!” ตอนแรกมู่เฉินยังคิดจะจิกกัดคืนซักสองสามคำ แต่พอนึกถึงสิ่งที่ได้ยินเมื่อคืน เขาก็อดถอนหายใจขึ้นมาไม่ได้
ไม่ยุติธรรมเลย…
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ พวกเขาได้เดินตามถนนหลักจนมาถึงด้านนอกรั้วเหล็กของสำนักงานใหญ่แล้ว
ระหว่างทางหากเดินผ่านอาคารก่อสร้างเมื่อไหร่ หลิงม่อก็จะใช้พลังสัมผัสรู้ถึงการมีอยู่ของซอมบี้ แต่สุดท้ายก็ไม่เจอเลย
ดูเหมือนตึกหมายเลข 1, 2, 3 นั่นคงไม่ได้หาเจอกันง่ายๆ เหมือนกันสินะ…
พอมีคนนำทาง เขาก็ไม่สามาถเดินไปดูตึกที่เสี่ยวป๋ายเจอเมื่อวานอีก
หลังจากเดินมาถึงบริเวณสนาม เขาจึงดึงความสนใจทั้งหมดกลับมา แล้วหันไปมองเจ้าซอมบี้สุนัข
สภาพดวงแสงแห่งจิตของเจ้าซอมบี้สุนัขตัวนี้ยุ่งเหยิงมาก ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าหมายเลข 1 เสียอีก
แต่ดูจากสภาพดวงแสงแห่งจิตอย่างเดียว อย่างมากเจ้าซอมบี้สุนัขก็อยู่ในระดับวิวัฒนาการของซอมบี้ธรรมดาเท่านั้น
หลิงม่อรู้ดีว่าหากไม่ฉวยโอกาสสำรวจให้ละเอียดตอนนี้ หลังจากเข้าไปในสำนักงานใหญ่ เขาก็ไม่อาจใช้พลังจิตส่งเดชได้อีกแล้ว
“รอเดี๋ยวล่ะ…” จางเหยียนพูดเรียบๆ จากนั้นก็จูงซอมบี้สุนัขเดินไป
ยามเฝ้าประตูสองคนนั้นถูกสับเปลี่ยนแล้ว พอเห็นเจ้าซอมบี้สุนัขเดินเข้าไปใกล้ พวกเขาก็ขมวดคิ้วอย่างนึกรังเกียจ
ทั้งสามคนพูดคุยกันสองสามประโยค จากนั้นยามสองคนนั้นก็ชะโงกออกมาดูหลิงม่อกับมู่เฉิน
“มานี่เถอะ” จางเหยียนกวักมือเรียก
เจ้าหน้าที่เฝ้ายามคนหนึ่งเดินออกมาสองก้าว แล้วบอกว่า “กฎของที่นี่ ต้องถูกค้นตัวทุกครั้งที่เข้าออก”
ส่วนเจ้าหน้าที่ยามอีกคนก็เดินไปหยุดอยู่หลังปืนกล เห็นชัดว่าเตรียมพร้อมสาดกระสุนทุกเมื่อ
“ระบบป้องกันเข้มงวดมากตามคาด…” หลิงม่อคิดในใจ
แต่ค้นตัวก็ไม่เป็นไร เพราะตอนที่หลิงม่อกับมู่เฉินออกมาพวกเขาพกแค่ของจำเป็นเท่านั้น
“เอาอาวุธออกมาให้หมด อีกเดี๋ยวฉันจะเอาไปลงทะเบียนให้พวกนายเอง” เจ้าหน้าที่ยามที่บอกว่าจะค้นตัวไม่ได้รีบเข้ามาใกล้ แต่กลับรักษาระยะห่างไว้ก่อน
สำหรับคนแปลกหน้า พวกเขาแสดงออกถึงความระมัดระวังรอบคอบมาก…
ดูจากท่าทีของเจ้าหน้าที่ยามก็พอเดาสถานการณ์หลังจากเข้าไปข้างในออกแล้ว ทว่าหลิงม่อกับมู่เฉินกลับไม่ได้ประหลาดใจมากนัก
“เมื่ออยู่ในสำนักงานใหญ่ มีแค่เวลาที่ต้องออกไปทำภารกิจเท่านั้นถึงจะสามารถไปเอาอาวุธที่จุดลงทะเบียนได้” จางเหยียนช่วยไขข้อข้องใจ แต่จากน้ำเสียงของเขาฟังออกชัดเจนว่า เขาไม่ได้อยากช่วย เพียงแต่อยู่ว่างจนเบื่อมากกว่า
หลิงม่อดึงเหล็กเส้นสนิมเขรอะเส้นหนึ่งออกมา จากนั้นก็ยื่นให้เขา
มู่เฉินเองก็ยื่นมีดพกของตัวเองให้เจ้าหน้าที่ยาม เจ้าหน้าที่ยามมองทุกการกระทำของพวกเขาอย่างระมัดระวัง
หลังยึดอาวุธของทั้งสองคนเสร็จ เจ้าหน้าที่ยามก็ดูผ่อนคลายลงมาก
“เปิดกระเป๋า ยืนนิ่งๆ ห้ามขยับ” เจ้าหน้าที่ยามพูดขึ้นอีกครั้ง
“ทำอย่างกับตำรวจค้นตัวอย่างนั้นแหละ…” มู่เฉินเม้มปากอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
เจ้าหน้าที่ยามคนนั้นยกมือตบๆ ตามร่างกายของหลิงม่ออย่างระมัดระวัง แล้วจู่ๆ ก็หยุดมองที่เสื้อของเขา “ในกระเป๋ามีอะไรอยู่?”
มู่เฉินที่เพิ่งถูกค้นตัวเสร็จพลันตระหนกขึ้นมาทันที เขารู้ว่าหลิงม่อพกของอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ไม่แน่เขาอาจเอาอะไรที่ไม่ควรเอามาด้วย…
แต่คิดดูอีกทีหลิงม่อคงไม่ประมาทขนาดนั้น แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดีแหละน่า
สัญชาตญาณการอ่านสีหน้าของเจ้าหน้าที่ยามร้ายกาจมาก เขาเหลือบเห็นสีหน้าของมู่เฉินทันที เขาจึงชักปืนออกมาแล้วบอกว่า “เอาออกมา”
หลิงม่อรู้สึกเอือมเล็กน้อย เขาเคยรู้จักกับนายทหารอย่างโทมัสมาก่อน จึงไม่ค่อยรู้สึกแปลกใหม่กับพฤติกรรมและท่าทางของเจ้าหน้าที่ยามคนนี้นัก
เห็นได้ชัดว่าเจ้าหน้าที่ยามสองคนนี้ เป็นทหาร
“ลูกพี่ของที่นี่ใหญ่จริงๆ เอาทหารมาเฝ้าประตูก็ได้ด้วย…”
หลิงม่อคิด พลางล้วงเจ้าแมงกะพรุนออกมาอย่างสง่าผ่าเผย
เจ้าหน้าที่ยามมองด้วยความสงสัย แล้วยื่นมือออกไปหมายจะหยิบมาสำรวจดู
“จึ๊ก!”
หลิงม่อรีบบีบเจ้าแมงกะพรุนทันที เจ้าหน้าที่ยามเห็นหลิงม่อเคลื่อนไหว พลันเกร็งร่างกาย และชักปืนออกมาในแทบจะทันที
เจ้าหน้าที่ยามอีกคนก็รีบคร่อมปืนกล แล้วตะโกนเสียงดัง “ทำอะไรน่ะ!”
แม้แต่จางเหยียนก็ยังหัวใจเต้น “ตึกตัก” เขาถอยกรูดโดยอัตโนมัติ และเกือบปล่อยเจ้าซอมบี้สุนัขหลุดมือไปแล้ว
ทว่าผ่านไปหนึ่งวินาที พวกเขากลับเห็นหลิงม่อเพียงแบมือออก และเจ้าแมงกะพรุนก็ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ในฝ่ามือของเขาเหมือนเดิม
“ของเล่นชิ้นเล็กๆ เท่านั้น เป็นของแทนใจบางอย่างน่ะ” หลิงม่อพูดเสียงเรียบ
ตามคาด พอบอกว่าเป็นของแทนใจ เจ้าหน้าที่ยามที่ตอนแรกเบิกตากว้างก็ทำหน้าประมาณว่า “อย่างนี้นี่เอง”
ทว่าทั้งสามคนมีปฏิกิริยาใหญ่โตขนาดนั้น ผลปรากฏว่ากลับเป็นเพราะของเล่นชิ่นเล็กๆ ชิ้นเดียว ตอนนี้สีหน้าของพวกเขาจึงดูเคอะเขินเล็กน้อย
หลิงม่อลอบขำในใจ ขณะเดียวกันก็เริ่มมีความรู้สึกหวาดกลัวนิพพานสำนักงานใหญ่อย่างรุนแรงขึ้นมาด้วย
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างสงบสุข พวกเขากลับสามารถทำให้คนเหล่านี้รักษาท่าทีระมัดระวังได้อย่างเคร่งครัดขนาดนี้ นี่เป็นผลพวงจากความสามารถของผู้นำอย่างแน่นอน
ความจริงมู่เฉินเองก็สะดุ้งด้วยเหมือนกัน ก็ช่วยไม่ได้ เขามักจะเห็นหลิงม่อขยับมือทีไรก็มักจะมีซอมบี้วิ่งตามมาเป็นฝูงอยู่บ่อยๆ
จนกระทั้งตอนที่หลิงม่อแบมือออก เขาจึงได้สติอีกครั้ง
หลิงม่อตั้งใจจะแฝงตัวเข้าไป ถ้าเขาฆ่าคนทันทีที่มาถึงจะเรียกว่าแฝงตัวไหมล่ะ…
“อะแฮ่ม…ถ้าอย่างนั้นพวกนายตามฉันมา” เจ้าหน้าที่ยามคนนั้นหน้าแดงเล็กน้อย ท่าทีของเขาดีขึ้นกว่าเมื่อกี้มากทีเดียว
จางเหยียนเองก็กระอักกระอ่วนไม่แพ้กัน หลังจากมองหลิงม่อกับมู่เฉินแวบหนึ่ง ก็จูงซอมบี้สุนัขเดินจากไป
“หงิง หงิง~~~~…” เจ้าซอมบี้สุนัขตัวนั้นยังคงจ้องหลิงม่อและอ้าปากที่ไร้ฟันร้องครางเสียงแปลก แต่กลับถูกจางเหยียนกระชากให้เดินตามไปอย่างแรง
“ร้องหาพระแสงอะไรวะ!” จางเหยียนอารมณ์ไม่ดีอีกแล้ว…
เจ้าหน้าที่ยามถืออาวุธของหลิงม่อกับมู่เฉินไว้ แล้วพาพวกเขาเดินลัดลานกว้างหน้าอาคาร
ขณะที่กำลังเดินผ่าน หลิงม่อก็รู้สึกได้ทันทีว่ากำลังมีสายตาสองสามคู่กำลังจ้องพวกเขาอยู่
ไม่ต้องเดาก็รู้ ปากปืนพวกนั้นแน่นอน…
ที่นี่มีสมาชิกใหม่น้อยมาก ยิ่งผู้รอดชีวิตอย่างหลิงม่อกับมู่เฉินที่ไม่ได้มาพร้อมกับสมาชิกเก่า ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่
หลิงม่อกระทั่งรู้สึกเหมือนมีพลังงานทางจิตบางเบากลุ่มหนึ่งเฉียดผ่านร่างกายเขาไป แถมยังหยุดอยู่ที่ตัวเขาชั่วขณะอีกด้วย
นั่นทำให้เขาขมวดคิ้วเบาๆ การตรวจสแกนและค้นตัวประเภทนี้ ย่อมทำให้เขาซึ่งเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตเหมือนกันรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย
คนที่ตรวจสแกน ช่างไม่รู้จักเกรงกลัวสิ่งใด…
หลิงม่อลอบมองไปตามทิศที่พลังจิตสำรวจถูกสิ่งมาอย่างเงียบๆ แล้วเขาก็สบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งทันที
—————————————————————————–