สถานการณ์อย่างนี้ เรียกว่าดีได้ด้วยหรอ?
พวกเย่เลี่ยนดูเหมือนจะไม่เข้าใจนัก
แม้แต่พลังของพวกเธอสามคนรวมกัน ก็ยังเป็นเรื่องยากที่ต้องรับมือกับซอมบี้ฝูงใหญ่ขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นหลิงม่อก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง
ถึงแม้เขาจะเริ่มมีความสามารถในการรองรับเชื้อไวรัสแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปลอดภัยเมื่ออยู่ต่อหน้าเชื้อไวรัส
ใครจะไปรู้ว่าถ้าหากได้รับเกิดขนาด จะเป็นเหตุทำให้เชื้อไวรัสที่สั่งสมอยู่ในตัวหลิงม่อระเบิดออกมาในครั้งเดียวหรือไม่?
ถึงแม้จะโชคดีไม่ติดเชื้อ แต่การโจมตีอันดุร้ายของเหล่าซอมบี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
สิ่งที่ทำให้ซอมบี้ธรรมดาแข็งแกร่ง ก็คือจำนวนของพวกมัน
ภายใต้วงล้อมที่แน่นหนาของซอมบี้ที่แม้แต่ลมก็พัดผ่านไม่ได้ ต้องคอยรับมือกับกรงเล็บนับไม่ถ้วนที่ยื่นเข้ามาหมายจะตะครุบตัวเอง มันเป็นสถานการณ์ที่ยากจะสงบนิ่งได้
และไม่ว่าจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษที่เก่งกาจเพียงใดหากเผลอไผลในสถานการณ์อย่างนี้ไปเพียงชั่วครู่ วินาทีถัดไปเขาก็จะถูกฉีกร่างเป็นชิ้นๆ จนไม่เหลือซากอย่างไม่ต้องสงสัย
“พวกเธอมองฉันอย่างนั้นทำไม?” หลิงม่อหันกลับมา แล้วก็พบว่าพวกเย่เลี่ยนกำลังยืนจ้องเขากันอยู่
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วหัวเราะ “วางใจน่า ฉันไม่ไปรนหาที่ตายหรอก พวกเธอดูสิ ตอนนี้ พวกมันกำลังยืนรวมกันอยู่ในจุดเดียวกัน…”
“และฉันก็แค่…”
พูดไป จู่ๆ เขาก็สูดลมหายใจลึกๆ จากนั้นก็ยื่นมือออกไป
เมื่อคิ้วของขมวดเข้าหากัน มือข้างนั้นที่กำลังแบอยู่ก็ค่อยๆ กำเข้าหากัน
“นั่นเขากำลังทำอะไรอยู่?” มู่เฉินที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในมุมผนังเยื้องออกไปด้านหน้า ตอนนี้กำลังมองการกระทำหลิงม่อด้วยอาการปากอ้าตาค้าง
สวี่ซูหานกำลังยกหูฟังขึ้นเสียบ ได้ยินมู่เฉินถามก็บอกว่า “ผู้มีความสามารถพิเศษส่วนมากมักจะทำการสะกดจิตตัวเองก่อนที่จะแสดงพลังออกมา และพฤติกรรมอย่างนั้นของเขาก็คือการใช้การเคลื่อนไหวของร่างกาย เป็นตัวทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการสะกดจิต เพื่อทำให้สามารถปลดปล่อยพลังพิเศษออกมาอย่างแม่นยำและยอดเยี่ยมยิ่งกว่า นั่นมันเข้าใจยากตรงไหน?”
พูดจบ เธอก็เหลือบมองมู่เฉินอย่างผิดหวัง
“เรื่องนี้ฉันก็รู้เหอะ!” มู่เฉินเคือง “ฉันอยากรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรกันแน่ต่างหาก! ที่นี่มีซอมบี้มากขนาดนี้ แต่หมอนั่นกลับไม่ส่งสัญญากลับมาให้ฉันซักนิด ตกลงว่ากำลังคิดหาวิธีไปหลอกล่อซอมบี้พวกนั้นออกไป หรือว่าจะทำอะไรกันแน่ ยังไงก็ควรตกลงกันก่อนแล้วค่อยลงมือหรือเปล่าล่ะ!”
“ล่อออกไป…เดาว่าคงทำไม่ได้หรอก” สวี่ซูหานมองซ้ายมองขวา เพื่อพิจารณาสภาพแวดล้อม “ที่นี่หากไม่ใช่ตึกสูงก็มีแต่อาคารขนาดใหญ่ ถึงนายจะจะล่อออกไป แต่โอกาสที่นายจะหนีรอดออกไปอย่างมีชีวิตกลับน้อยมาก”
“ก็จริงนะ…เอ๋ ไม่ใช่สิ! ทำไมมันฟังดูทะแม่งๆ ล่ะ! นี่ตัดสินใจกันแล้วหรอว่าฉันต้องเป็นคนไป?” มู่เฉินอึ้ง
สวี่ซูหานพยักหน้าอย่างไร้ความปรานี “เพราะมันอันตรายมากนี่นา”
“เธอก็รู้เหมือนกันนี่! ขอบใจเธอมากจริงๆ…” มู่เฉินพูดกระแทกแดกกัน
ทว่าสวี่ซูหานกลับทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินซักนิด เธอหันไปมองหลิงม่อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
เธอเองก็สงสัยในการกระทำของเขาเหมือนกับมู่เฉิน
ความจริง การหลอกล่อซอมบี้ออกไปเป็นเรื่องที่อันตรายมากจริงๆ
ถ้าหากว่ามีเวลาและอุปกรณ์ที่เพียงพอต่อการติดตั้งการควบคุมระยะไกล ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถ้าไม่อย่างนั้นคนที่รับหน้าที่หลอกล่อซอมบี้ก็คงต้องแบกรับอันตรายอย่างใหญ่หลวงไว้บนบ่า
เหตุผลง่ายมาก เพราะไม่มีใครรู้ว่าแถวนี้จะมีซอมบี้โผล่ออกมาอีกมากน้อยเท่าไหร่กันแน่
ซอมบี้ที่ถูกหลอกล่อออกมาไม่ได้มีเพียงเป้าหมายที่ต้องการ แต่ยังมีแขกไม่ได้รับเชิญมากมายที่จะโผล่ออกมาจากซอกมุมต่างๆ อีกฝูงใหญ่
และในจำนวนนั้นก็มีระดับสูงรวมอยู่ด้วยหลายตัว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนรับหน้าที่หลอกล่อผู้ซึ่งตกอยู่ในวงล้อมของซอมบี้โชคร้ายสุดๆ
ในเวลาอย่างนี้เพื่อเป็นการลดระดับความเสี่ยง การมองหาตำแหน่งที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากอย่างเห็นได้ชัด
ต้องเป็นจุดที่ป้องกันซอมบี้ได้ และมีทางถอยหนีเอาตัวรอดได้ด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นก็ทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น
และพวกสวี่ซูหานก็ไม่มีทั้งเวลาในการติดตั้งการควบคุมระยะไกล และหาตำแหน่งที่เหมาะสมไม่ได้ด้วย
ถึงแม้จะจนใจ แต่ทั้งสามคนก็ทำได้เพียงรออย่างร้อนใจอยู่ฝั่งตรงข้าม และทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้เลย
แม้แต่มู่เฉินเองก็ยังต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้…ถึงเขาจะไม่เต็มใจสุดๆ ก็ตาม แต่คนที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ ก็มีแค่หลิงม่อเท่านั้น
พอเห็นว่ามือของซอมบี้ตัวนั้นใกล้จะสัมผัสโดนอุปกรณ์เตือนภัยชิ้นนั้นแล้ว แต่กลับไม่เห็นมีอะไรคืบหน้า เหงื่อเย็นๆ ผุดพรายเต็มหน้าผากของมู่เฉินด้วยความกังวล
ถ้าหากเสียงเตือนภัยดับไป ซอมบี้พวกนั้นก็จะแยกย้ายกันไป แล้วหลิงม่อกับพวกเขาก็จะถูกซอมบี้ฝูงใหญ่นี้หมายหัว
“ไม่ว่านายคิดจะทำอะไร ก็รีบทำเข้าเซ่!”
มู่เฉินกัดฟันกรอด แล้วเร่งเร้าเสียงเบา
สวี่ซูหานยกปืนขึ้นเล็ง ขณะเดียวกันก็หอบหายใจกระชั้นชิดด้วยความลุ้นระทึก
ทันใดนั้นเหมือนเวลาเดินช้าลง นิ้วมือของซอมบี้ที่กำลังยื่นออกไปข้างหน้า อุปกรณ์เตือนภัยที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนสายไฟ แล้วยังมีหลิงม่อที่กำลังจ้องฝูงซอมบี้อย่างจดจ่อ
“เร็วเข้าเซ่!” สายตาของพวกมู่เฉินล้วนกำลังสื่อความหมายเดียวกันออกมา
กำหมัดแล้ว!
มือข้างนั้นของหลิงม่อกำหมัดแน่น และในวินาทีที่หมัดของเขาปรากฏ สายไฟเส้นที่มีซอมบี้ปีนป่ายอยู่เต็มไปหมด รวมถึงเสาไฟข้างทางหลายต้นในบริเวณนั้น ทยอยเกิดเสียงดัง “แคร่ก แคร่ก แคร่ก” จากนั้นก็ล้มลงไปทับฝูงซอมบี้ที่อยู่เบื้องล่างทันที
เหล่าซอมบี้ที่รวมตัวกันอยู่ใต้เสาไฟฟ้าและอุปกรณ์เตือนภัย กำลังยืนเบียดเสียดกันและจ้องขึ้นไปที่อุปกรณ์เตือนภัยที่อยู่ข้างบน
ซอมบี้หลายตัวถูกเหวี่ยงร่วงลงมาจากสายไฟก่อน เมื่อเสียง “โครม” ดังสนั่นไปทั่วบริเวณ เสาปูนต้นนี้ก็ล้มลงไปกลางฝูงซอมบี้อย่างแรง
ซอมบี้บางส่วนแม้ว่าสังเกตเห็นแล้ว แต่เนื่องจากมีพวกเดียวกันอยู่มากเกินไป พวกมันจึงหลบหลีกไม่ทัน
หยาดเลือดมากมายพุ่งกระฉูดไปทั่วบริเวณ เมื่อเสาไฟข้างทางล้มลงอย่างต่อเนื่อง ซอมบี้ทั้งฝูงก็ได้เข้าสู่ห้วงชุลมุนวุ่นวาย
และอุปกรณ์เตือนภัยที่ดึงดูดความสนใจอันแรงกล้าจากพวกมัน ก็ได้เงียบลงทันทีที่ตกถึงพื้น…
“สำเร็จ!”
หลิงม่อยกมือปาดเหงื่อ แล้วยิ้มออกมา
อาศัยพลังจิตทำให้เสาไฟฟ้าพวกนั้นล้มลง สำหรับเขาถือเป็นบททดสอบอย่างหนึ่งทีเดียว
แต่โชคดีที่เมื่อกี้เขาดูดกลืนพลังจิตของซอมบี้สมองดีมาก่อน ทำให้เขายืนหยัดมาได้จนจบ
แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญเป็นเพราะหลิงม่อใช้เทคนิคเล็กน้อย ไม่ได้อาศัยแต่หนวดสัมผัสเพียงอย่างเดียว
และไม่รู้เป็นเพราะอะไร หลังจากที่ใช้พลังจิตไปในปริมาณมากหลายๆ ครั้ง หลิงม่อไม่เพียงไม่รู้สึกถึงร่องรอยการบาดเจ็บของดวงแสงแห่งจิต แต่กลับรู้สึกเหมือนว่ามันแข็งแรงยิ่งขึ้น
ทว่าตอนนี้สถานการณ์คับขัน เขาเพียงเอะใจเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรต่ออีก
“เชี่ย! ทำอย่างนี้ได้ด้วยหรอ!”
พวกมู่เฉินถูกภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ตะลึงค้างไปแล้ว แต่ละคนอ้าปากกว้างเหมือนช็อกมาก
เสาไฟฟ้าหนึ่งต้นล้มทับซอมบี้ตายได้ไม่กี่ตัว ส่วนเสาไฟข้างทางยิ่งไม่สามารถทำให้ซอมบี้ตายได้
ทว่าซอมบี้จำนวนมากที่บาดเจ็บรวมถึงกลิ่นคาวเลือดอันรุนแรง แล้วยังมีความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตอนเสาไฟฟ้าล้ม กลับทำให้ซอมบี้ทั้งฝูงเริ่มหันมาเข่นฆ่ากันเอง
พวกมันมัวแต่วุ่นวายกันเอง ทำให้พวกหลิงม่อมีช่องทางในการหนี
“คนคนนี้ยังมีฝีมือซ่อนอยู่อีกมากแค่ไหนกันแน่…” สายตาที่มู่เฉินมองหลิงม่อ แปรเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงสุดขีด
ตอนแรกเขานึกว่าตัวเองเริ่มเข้าใจคนคนนี้แล้ว แต่ทำไมพอมาถึงตอนนี้ เขากลับรู้สึกยิ่งอยู่ยิ่งไม่รู้จักหลิงม่อแล้วล่ะ?
กับคนประเภทนี้ ควรร่วมมือด้วย หรือเป็นศัตรูถึงจะดีกันนะ?
หลิงม่อยื่นหน้าออกไปสังเกตสถานการณ์ด้านนอกครู่หนึ่ง เขาควบคุมซอมบี้สองสามตัวที่อยู่ใกล้พวกเขา เพื่อให้มันจุดชนวนการเข่นฆ่ากันเองภายใน หลังจากนั้นก็รีบหันกลับมากวักมือ “พวกเราไป!”
ทว่าก่อนจะพุ่งออกไป เขาก็หันกลับมาอีกครั้ง แล้วมองไปที่เสี่ยวป๋ายกับอวี๋ซือหรานที่ยืนรออย่างเชื่อฟังอยู่ข้างล่างบันได
“จำคำพูดฉันไว้ให้ดี อย่าวิ่งเพ่นพ่านไปไหนอีก” หลิงม่อบอก
อวี๋ซือหรานเบะปากมองบน แต่สุดท้ายเธอก็ต้านทานสายตาของหลิงม่อไม่ไหวอยู่ดี จึงพยักหน้าอย่างยอมจำนน แล้วลากเสียงยาวๆ ตอบ “เข้าใจแล้วน่าาา…”
“ขอโทษเสี่ยวป๋ายดีๆ ซะล่ะ” หลิงม่อพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค
“แบ๊!”
ไม่รู้ว่าเสี่ยวป๋ายเข้าใจที่หลิงม่อพูด หรือเพียงมีปฏิกิริยาตอบสนองกับคำว่า “เสี่ยวป่าย” เท่านั้น มันรีบส่ายศีรษะไปทางหลิงม่อสองสามที
“โอเค ไป!”
หลิงม่อโบกมือ จากนั้นก็หันหน้าวิ่งขึ้นไปบนบันได
เสี้ยววินาทีที่พุ่งออกจากประตู หลิงม่อกลับรู้สึกว่าตัวเองหายใจได้คล่องมากขึ้น
ห่างออกไปสิบกว่าเมตร ซอมบี้นับร้อยตัวกำลังเข่นฆ่ากันเอง เลือดพุ่งกระฉูดไปทั่วสารทิศ แขนขาขาดลอยละลิ่ว ทว่ากลิ่นคาวเลือดที่ลอยตลบอบอวลไปทั่วทุกอณูของอากาศ กลับทำให้หลิงม่อรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี
นี่คือโลกที่เขาอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ถึงแม้สกปรก เสื่อมโทรม และเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดแห่งการฆ่าฟัน แต่กลับมีพวกเย่เลี่ยนคอยอยู่ข้างกาย
“จะไม่ลงไปใต้ดินอีกแล้ว!”
หลิงม่อรีบวิ่งข้ามถนน ขณะที่ยกมือขึ้นโบกไปทางพวกมู่เฉิน ในใจก็คิดไปอย่างขุ่นเคือง
ระหว่างทางเขาวิ่งเหยียบฝาท่อใต้ดินแผ่นหนึ่ง และอาจเพราะฝาท่อแผ่นนี้เก่ามากแล้ว มันจึงเขย่าไปมาเล็กน้อย
หลิงม่อหันกลับไปมองแวบหนึ่ง พอเห็นว่าไม่ได้ดึงดูดความสนใจของซอมบี้ ก็รีบหันกลับไปวิ่งต่อ
แต่ในขณะนั้นเอง ฝาท่อที่เดิมหยุดเขย่าแล้ว กลับถูกยกขึ้นเล็กน้อย…
—————————————————————————–