ถึงแม้หนวดสัมผัสเข้าไปแล้ว แต่อย่างมากก็ทำได้เพียงตรวจจับดวงแสงแห่งจิตได้เพียงชั่วครู่ ไม่อาจตรวจจับสภาพแวดล้อมโดยรอบได้อย่างชัดเจน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาต่อพลังตรวจจับ หลิงม่อจึงกล้าให้เจ้าแมงกะพรุนไปอยู่หน้ารูกุญแจด้วย
ด้วยขนาดร่างกายของเจ้าแมงกะพรุนมันไม่มีทางมุดเข้าไปได้แน่ แต่พอเส้นหนวดเล็กๆ เหล่านั้นแทงเข้าไป กลับสามารถสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ข้างในได้คร่าวๆ
และนี่ก็คือข้อได้เปรียบของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ ซอมบี้ไม่มีทางสู้เจ้าแมงกะพรุนได้ในเรื่องนี้ เพราะซอมบี้สามารถได้ยินเสียงอันเบาหวิว สามารถดมกลิ่นของคนที่อยู่ข้างในได้ แต่หากจะให้พวกมันรายงายสภาพแวดล้อมทั้งหมดในนั้น ก็คงเป็นเรื่องยากเกินไป
อุณหภูมิ แสงสว่าง ความกว้างของพื้นที่ กระทั่งสามารถคาดเดาได้ว่าข้างในมีสิ่งของอะไรอยู่ในตำแหน่งใดบ้างผ่านการดมกลิ่น…ข้อเสียเดียวของเจ้าแมงกะพรุนก็คือมันไม่สามารถมองเห็นได้ เรื่องนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อมัน แต่สำหรับหลิงม่อเรื่องนี้ค่อนข้างน่าปวดหัว และเหตุผลมีเพียงข้อเดียว คือเขาไม่ชิน…
ตอนนี้เขารู้สึกประหลาดมาก เหมือนวิญญาณที่หลุดลอยออกจากกายสังขาร และกำลังแอบมองสถานการณ์ในห้องผ่านรูกุญแจนี้ ถึงแม้จะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่นั่นก็ไม่เป็นอุปสรรค เพราะเขาสามารถวาดภาพสภาพแวดล้อมทั้งหมดในสมองได้ ซึ่งการทำอย่างนี้ก็อาจมีส่วนที่ถูกแต่งเติมขึ้นจากจินตนาการบ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลจากความจริงมากจนเกินไป
เป็นอย่างที่คิด ในห้องไม่ได้เปิดหน้าต่างไว้ ไม่มีลมเลยแม้แต่น้อย อุณหภูมิค่อนข้างสูง แสงสว่างก็มีไม่เพียงพอ รอบด้านมีแต่ความมืด มีเพียงโคมไฟที่อยู่กลางห้องที่ส่องสว่างอยู่เพียงดวงเดียว
จากประสบการณ์ของหลิงม่อ โคมไฟดวงนั้นจะต้องถูกคลอบไว้ด้วยโป๊ะโคมที่สามารถเก็บแสงไว้บริเวณกลางห้องแน่นอน
พอสัมผัสได้ถึงสภาพแวดล้อมอย่างนั้น หลิงม่อก็ดีใจขึ้นมา เพราะนั่นเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อเขามาก ถึงจะแอบเข้าไปก็ไม่ถูกจับได้ง่ายๆ
ฉวยโอกาสสำรวจสถานการณ์ในห้องอย่างละเอียดหนึ่งรอบ ถึงแม้จะได้อะไรไม่มาก แต่อย่างน้อยก็ได้รู้จักกลุ่มวิจัยเพิ่มขึ้นบ้าง
แต่จะทำอย่างไรให้เจ้าแมงกะพรุนเข้าไปในนั้นได้โดยไม่ถูกจับได้ นั่นก็เป็นปัญหาที่ยากอีกหนึ่งปัญหา
หลิงม่อพุ่งเป้าความสนใจไปยังดวงแสงแห่งจิตที่อยู่ในห้อง ความจริงที่นี่ไม่ได้มีดวงแสงแห่งจิตเพียงดวงเดียว หนึ่งในนั้นกำลังง่วนอยู่กับการทำบางสิ่งอยู่ใกล้ๆ บริเวณที่ไฟส่องสว่างที่สุด ส่วนอีกหลายดวงที่เหลือกลับกำลังรวมตัวกันอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ความจริงห้องนี้กว้างมากทีเดียว เพราะตอนแรกหลิงม่อไม่ทันสังเกตเห็นเหล่าดวงแสงแห่งจิตที่รวมตัวกันอยู่ทางนั้น แต่พอตอนนี้ลองเพ่งสมาธิสังเกตดูดีๆ เขาก็สะดุ้งขึ้นมาทันที
ซอมบี้?
แน่นอนว่าการคาดเดานี้ไม่แม่นยำนัก เพราะไม่แน่ว่าหนึ่งในนั้นอาจเป็นดวงแสงแห่งจิตของสัตว์กลายพันธุ์ก็ได้ แต่จากกลิ่นอายที่เจ้าแมงกะพรุนสัมผัสได้ หลิงม่อกลับเอนเอียงไปทางซอมบี้มากกว่า
“วันนี้ถือว่าดวงดีไม่เลว แค่สุ่มเลือกเส้นทางแล้วบังเอิญกลุ่มวิจัยก็ถือว่าแจ็คพอตแล้ว ไม่คิดเลยว่าแม้แต่คนที่เจอคนแรกก็เป็นคนของกลุ่มวิจัยด้วย” หลิงม่อยกฝ่ามือสองข้างขึ้นถูกไปมา นี่ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ทว่าขณะเดียวกันเขาก็เริ่มรู้สึกเสียดายขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าเอกสารที่ผู้หญิงคนนั้นถือไว้เป็นของประเภทรายงายวิจัย เขาคงตามเธอไปแล้ว
แต่พลาดไปแล้วก็แล้วไป เพราะถึงอย่างไรหลิงม่อก็ไม่มั่นใจอยู่ดีว่าจะสามารถขวางเอกสารนั้นไว้ได้ หรือถึงแม้จะขวางไว้ได้ แล้วจะเอากลับมาได้อย่างไรก็ยังเป็นอีกปัญหาหนึ่ง เจ้าแมงกะพรุนมันอ่านเอกสารไม่ได้ซักหน่อย…
“ในฐานะไส้ศึก เจ้าแมงกะพรุนตัวนี้ยังขาดคุณสมบัติอยู่อีกหลายจุด…”
หลิงม่อสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นว่าคนคนนั้นไม่ขยับไปไหน เขาก็รีบเพ่งสมาธิควบคุมหนวดสัมผัสให้ปลดล็อคกลอนประตู
เมื่อหนวดสัมผัสค่อยๆ ลูบไปจนเจอมือจับประตู สีหน้าของหลิงม่อก็เคร่งเครียดขึ้นมา
การต้องเคลื่อนไหวยากๆ ทั้งที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร หากเผลอไปแม้แต่วินาทีเดียวก็ล้มเหลวได้
และการที่หลิงม่อสามารถฝึกพลังควบคุมได้ถึงขั้นนี้ ก็เป็นผลจากการที่เขาพยายามอย่างหนักทุกวัน เขาลงแรงกายแรงใจไปมากจริงๆ
หนวดสัมผัส ความจริงคือสายพลังจิตที่นำมาใช้ควบคุมหุ่นซอมบี้ ดังนั้นหากใช้กับซอมบี้ก็เป็นเรื่องง่าย แต่หากจะใช้ทำอย่างอื่น มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยากมาก
หลิงม่อเพ่งสมาธิจนหางตากระตุกยิกๆ จนในที่สุดก็สามารถควบคุมให้หนวดสัมผัสพันรอบมือจับประตูจนสำเร็จ
และไม่รอช้า เขาแปลงหนวดสัมผัสทางจิตให้กลายเป็นรูปสสาร!
ในเสี้ยววินาทีที่หนวดสัมผัสกลายเป็นสสาร หลิงม่อรู้สึกได้ว่าพลังจิตของตัวเองเผาผลาญเร็วขึ้นเกือบสองเท่า
ทว่าปริมาณพลังจิตโดยรวมของเขาในตอนนี้ แค่สองเท่าไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่
แกร๊กๆๆ…
มือจับประตูบิดช้าๆ ขณะที่คนในห้องไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
หลิงม่อรวบรวมสมาธิขั้นสูงสุด…ถึงแม้การที่ร่างจริงระมัดระวังตัวขนาดนี้ จะไม่ได้ส่งผลต่อภาพรวมก็ตามแต่เขาก็หลีกเลี่ยงอารมณ์ร่วมไม่ได้
แกร๊ก
เมื่อเสียงดังขึ้นเบาๆ หลิงม่อมองเห็นดวงแสงแห่งจิตของอีกฝ่ายกระตุกเล็กน้อย
ไม่นานเสียงฝีเท้าก็ดังตามมา ซึ่งนั่นบ่งบอกว่าคนคนนั้นกำลังเดินมาทางประตู
แต่ในขณะที่เจ้าของดวงแสงแห่งจิตดวงนั้นเดินเข้ามาจนอยู่ห่างประตูไม่ถึงห้าเมตร ก็มีเสียง “ป๊าบ” ดังมาจากในห้อง
เสียงนี้ดังฟังชัด และไม่นานเสียงคำราม “กรร” ก็ดังตามมาติดๆ
เสียงคำรามนี้น่าขนลุกมาก จนหลิงม่อสะดุ้งโหยงไปทั้งตัว
คนคนนั้นชะงักฝีเท้า พร้อมกับรีบหมุนตัวสาวเท้ากลับไปอย่างเร่งรีบ
แต่ในวินาทีนั้นเอง ที่บานประตูถูกผลักออกเบาๆ และมีแสงสีแดงประกายวาบเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
เสี้ยววินาทีที่บานประตูถูกปิดลงเบาๆ คนคนนั้นก็เดินกลับมาอีกครั้ง
ตอนนี้เจ้าแมงกะพรุนอยู่บนเพดาน และหลิงม่อก็กำลังจ้องดวงแสงแห่งจิตของอีกฝ่ายจากข้างบน
แต่เห็นชัดว่าอีกฝ่ายเพียงเปิดประตูยื่นหน้าออกไปดูนอกห้องเล็กน้อย จากนั้นก็ปิดประตู
และฉวยโอกาสในช่วงนั้น หลิงม่อได้เคลื่อนตัวเข้าใกล้บรรดาดวงแสงแห่งจิตที่รวมตัวกันอยู่เรีบยร้อยแล้ว
“กลิ่นสนิม…แล้วยังมีกลิ่นไหม้อีก…กรงขังงั้นหรอ? ไฟช็อต?” ไม่นานหลิงม่อก็คาดเดาได้ใกล้เคียงความจริง
ในห้องนี้มีซอมบี้ถูกขังหลายตัว และมีเจ้าหน้าที่วิจัยเหลืออยู่หนึ่งคน…
หลิงม่อคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขาแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกมาเส้นหนึ่งให้ยื่นไปทางดวงแสงแห่งจิตของซอมบี้ตัวหนึ่งในกลุ่มนั้น…
ในมุมห้องมืดๆ กรงขังจำนวนหนึ่งถูกวางเรียงรายกันอยู่ข้างๆ และในกรงขังก็มีซอมบี้ที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวน
ร่างกายของซอมบี้เหล่านี้ส่วนมากเต็มไปด้วยบาดแผล มีกระทั้งแผลเป็น แต่พวกมันกลับเอาแต่เบิกตากว้างอยู่ตลอดเวลา
ทันใดนั้น ดวงตาของซอมบี้ตัวหนึ่งในกลุ่มพลันดูเหม่อลอยไปทันที ผ่านไปไม่นาน ร่างกายของมันก็กระตุกสั่น มันเงยหน้ามองเข้าไปภายในห้อง
“อ่า…”
หลิงม่อต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าจะคุ้นเคยกับการควบคุมสองขั้นอย่างนี้ ความรู้สึกเท้าหนักอึ้งเหมือนการที่ต้องอยู่บนท้องฟ้ามาโดยตลอด แล้วจู่ๆ ต้องลงมาอยู่บนพื้นดิน
และมันก็เป็นภาระต่อการเผาผลาญพลังจิตของหลิงม่ออย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน ขณะเดียวกันเขายังต้องควบคุมและปรับการถ่ายเทพลังงานทางจิตให้เข้ากันด้วย
“เอ๋? โซ่เหล็ก?”
หลิงม่อค้นพบโซ่เหล็กบนตัวซอมบี้อย่างรวดเร็ว กระทั่งบนปากก็ยังมีด้วย
โซ่เหล็กนี้เหมือนโซ่ที่เขาเห็นบนตัวซอมบี้สุนัขมาก และชัดเจนว่าสิ่งที่ช็อตพวกมันด้วยไฟฟ้าก็คือสิ่งนี้
ซอมบี้ที่เขาเลือกตัวนี้ยังถือว่ามีพละกำลังเต็มเปี่ยมอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่มันไม่ตายในเร็วๆ นี้แน่ และสำหรับซอมบี้ การที่ไม่ตายก็เท่ากับยังมีพลังงานเต็มเปี่ยม สามารถฉีกทึ้งร่างกายคนได้อย่างง่ายดาย วิธีที่อีกฝ่ายใช้กักขังบรรดาปีศาจเหล่านี้ในตอนแรก ก็คือใช้โซ่เหล็กมัดพวกมันไว้เหมือนบ๊ะจ่าง
หลิงม่อรู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับการมัดอย่างนี้ เขาขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วก็ร้อง “อ๋อ” ขึ้นมาทันที
ไม่น่าล่ะถึงได้คุ้นนัก เขาเคยเห็นภาพคล้ายๆ กันนี้ในความทรงจำของสมาชิกนิพพานที่อยู่รอบนอก วิธีจับกุมซอมบี้ของสมาชิกในกลุ่มนิพพาน ก็คือการใช้โซ่เหล็กมัดไว้…
“จับเป็นได้มากขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ”
หลิงม่อควบคุมให้หุ่นซอมบี้ลองขยับตัว แต่ก็พบว่าแขนขาทั้งสี่ถูกมัดแน่นอย่างที่คิดไว้ จากความรู้สึกที่ถูกส่งมาจากท่อนแขน เห็นชัดว่ามันเคยถูกตีแขนหักมาแล้ว ทว่าอาศัยพลังฟื้นตัวอันยอดเยี่ยมของซอมบี้ ขอเพียงไม่ถูกตัดขาดเป็นสองท่อน ล้วนสามารถฟื้นสภาพกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ทั้งนั้น จุดนี้มนุษย์ไม่มีวันไล่ตามได้ทันอย่างแน่นอน
สำหรับมนุษย์ แค่เพียงถูกสัมผัสเบาๆ ก็อาจส่งผลถึงตายหรือเป็นสาเหตุของการติดเชื้อได้ สำหรับซอมบี้ ขอเพียงแขนขาไม่ขาดเป็นสองท่อนก็สามารถฟื้นพลังได้เต็มที่ ดังนั้นเพราะเหตุผลนี้จำนวนของมนุษย์และซอมบี้ถึงได้แตกต่างกันมหาศาล
ไม่มีความรู้สึกร่วม หลิงม่อจึงไม่คิดจะสังเกตว่าซอมบี้เหล่านี้ถูกทรมานอย่างไรบ้าง เรื่องที่เขาอยากรู้ก็คือ เจ้าหน้าที่วิจัยหล่านี้เอาซอมบี้มาทำอะไร
“หืม? นี่มัน…”
สายตาของหลิงม่อเลื่อนไปเห็นถังขยะใบหนึ่งที่อยู่นอกกรงขัง เขาเห็นเข็มฉีดยาถูกทิ้งไว้ในนั้นจำนวนหนึ่ง ดูจากหัวเข็มที่บิดงอและคราบเลือดที่เลอะติดอยู่ เห็นชัดว่ามันเคยแทงเข้าไปในผิวหนังของซอมบี้มาก่อน ทว่าอาศัยเพียงหัวเข็มไม่มีทางแทงเข้าไปในผิวหนังซอมบี้ได้แน่ พวกเขาต้องใช้วิธีอื่นช่วยด้วยอย่างแน่นอน
“เชี่ยย เลื่อยไฟฟ้า?”
“นั่นคงไม่ใช่ดอกสว่านหรอกนะ…”
“มีขวานด้วย!”
สายตาของหลิงม่อเริ่มเลื่อนไกลออกไปทีละนิดๆ ขณะเดียวกันก็รู้สึกตึงหนังศีรษะมากขึ้นเรื่อยๆ ภาพที่เห็นทำเอาเขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง!
เมื่อเขามองเห็นเงาร่างของคนที่สวมชุดกาวน์สีขาวคนนั้น ในสมองก็เหลือเพียงความคิดเดียว
คนคนนี้ก็คือนักฆ่าเลื่อยไฟฟ้าแห่งเมืองเฮยสุ่ย…
ทว่าหลังจากเห็นรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน หลิงม่อแทบสำลักออกมา
ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิง! เป็นผู้หญิงไปได้ยังไงกัน!
อีกทั้งพอมองจากด้านข้าง เธอเป็นเพียงหญิงสาวที่มัดผมหางม้าและดูมีการศึกษาคนหนึ่ง!
หลิงม่อลอบกลืนน้ำลาย เขานึกภาพเธอถือเลื่อยไฟฟ้าหรือเหวี่ยงขวานใส่ซอมบี้พวกนี้ไม่ออกเลย…
แต่พอถึงนึกเหล่าซอมบี้สาวของตัวเอง หลิงม่อก็เลิกประหลาดใจทันที
เทียบกับพวกเธอ ผู้หญิงคนนี้ยังถือว่าอ่อนโยนกว่ามาก…
“เอ๊ะ ไม่ใช่สิ พวกเย่เลี่ยนทำเพราะนั่นเป็นสัญชาตญาณของเผ่าพันธุ์ แต่ผู้หญิงคนนี้…”
หลังจากรู้สึกขนลุกอยู่ครู่หนึ่ง หลิงม่อก็ละความสนใจออกจากตัวเธอ
ผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางคาดคิดว่าจู่ๆ ซอมบี้ตัวหนึ่งในกรงขังจะกลายเป็นคนอื่น ตอนนี้เธอกำลังตั้งใจส่องดูบางอย่างอย่างละเอียดผ่านกล้องจุลทรรศน์อยู่
และสิ่งที่เธอกำลังดูอยู่ ก็ต้องไม่ใช่อะไรดีๆ แน่นอน…
บนพื้นถือว่าสะอาดมาก แต่มันก็ควรเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะมนุษย์ต้องการรักษาระยะห่างกับเลือดของซอมบี้มาแต่ไหนแต่ไร
แต่ใต้กรงขังไม่เหมือนกัน หลิงม่อกระทั่งสังเกตเห็นว่าด้านหน้ากรงขังถูกทำให้ยุบลงไปเป็นราง และในรางนั้นก็เต็มไปด้วยคราบเลือดเก่าๆ
“ดูเหมือนที่นี่จะถูกใช้งานมานานมากแล้ว พวกเขาเริ่มทำการทดลองตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?”
ทว่าที่นี่ไม่เหมือนสถานที่ที่มีไว้เพื่อทำการทดลองธรรมดาเลยซักนิด แต่กลับเหมือนมีไว้เพื่อทำการทดลองทางเคมีมากกว่า หลิงม่อเห็นเครื่องมือและอุปกรณ์มากมายบนโต๊ะวางเครื่องมือที่อยู่ด้านหลังผู้หญิงคนนั้น มันดูเหมือนเครื่องตรวจเลือด แต่ก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่
“ท่าทางเธอไม่น่าจะใช่ผู้มีความสามารถพิเศษ คงไม่ใช่ว่าเป็นหมอหรอกนะ?” หลิงม่อใช้ความคิดเล็กน้อย แต่สายตากลับมองไปยังโต๊ะวางเครื่องมือที่อยู่ไม่ห่าง
มีแท่นพาเลท (แท่นรองรับบรรจุภัณฑ์) แท่นหนึ่งถูกวางไว้ตรงนั้น และมีเอกสารวางไว้ในนั้นหนึ่งตั้ง…
—————————————————————————–