“เอ๋?”
เย่เลี่ยนที่เพิ่งจะวิ่งไปถึงทางเลี้ยวหันกลับไป แล้วจ้องฝาท่อแผ่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
“มีอะไรหรอ?” หลิงม่อมองเธออย่างสงสัย แล้วถามขึ้น
เย่เลี่ยนเอียงคอเล็กน้อย เหมือนกำลังใช้ความคิด แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าไปมา
ขณะเดียวกัน มู่เฉินก็วิ่งเข้ามาสมทบ เพิ่งจะเดินมาถึงตัวหลิงม่อเขาก็ยกฝ่ามือตบลงไปบนไหล่เขาแรงๆ “โอ้โห เจ๋งไม่เบาเลยนะนายเนี่ย!”
สีหน้าท่าทางของเขาบอกไม่ถูกว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ เหมือนกำลังแอบวางแผนในใจว่าจะซ้อมหลิงม่อให้อ่วมอย่างไรดี แต่ขณะเดียวกันก็คอยเตือนตัวเองว่าสู้เขาไม่ได้แน่ๆ
“บอกตามตรง ตอนแรกฉันคิดว่านายกำลังรนหาที่ตาย คิดไม่ถึงว่านายจะฝีมือจัดการได้จริงๆ แต่ครั้งหน้า พวกเราทำกันอย่างเงียบๆ หน่อยเป็นไง? ไม่ๆๆ…จะให้ดีอย่ามีครั้งหน้าเลยดีกว่า” มู่เฉินฉีกยิ้มที่ดูก็รู้ว่าฝืดแค่ไหน ทว่าตอนที่บอกว่าหลิงม่อมีฝีมือ น้ำเสียงของเขากลับไม่ได้เสียดสีนัก
“บีบก็บีบแล้ว ควรปล่อยมือได้แล้วมั้ง?” หลิงม่อถลึงตาจ้องมู่เฉินอย่างเคืองๆ แล้วพูดขึ้น
“แฮ่มๆ…” มู่เฉินปล่อยมือที่กำลังแอบบีบไหล่หลิงม่ออย่างกระอักกระอ่วน แล้วเกาท้ายทอยอย่างเก้อเขิน “อยู่ที่นี่นานๆ ไม่ดี พวกเราเดินไปคุยไปไหม?”
“ถ้าอย่างนั้นไปทางนี้กันเถอะ” สวี่ซูหานชี้ไปยังซอยเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “ถึงแม้จะต้องอ้อมหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะขนาดนี้ เลือกเดินเส้นทางที่ลับตาคนจะดีกว่า เมื่อกี้ฉันอ่านป้ายบอกทางแล้ว ไปทางนี้ไม่น่าจะมีปัญหา”
“เอาตามที่พวกเธอว่าเลย” หลิงม่อตอบอย่างบินดี
คำพูดนี้ทำให้มู่เฉินไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนหน้าใครกันล่ะที่เอาแต่หาข้ออ้างเดินอ้อมอยู่ตลอดน่ะ!
ขณะที่ทุกคนเดินเข้าไปในซอยเล็กๆ เส้นนั้น การเข่นฆ่ากันเองของฝูงซอมบี้ได้ดำเนินไปถึงขั้นเลือดและเศษเนื้อนองเต็มพื้นแล้ว ภาพสถานที่เกิดเหตุอย่างนั้นใครเห็นก็ต้องแข้งขาอ่อนกันทั้งนั้น
ถ้าหากไม่ใช่ว่าเจอกับตัวเอง เกรงว่าคนพวกนี้คงไม่มีทางคาดคิด ว่าเหล่าสัตว์ประหลาดที่ดูไม่ต่างจากมนุษย์พวกนี้ จะสามารถฉีกร่างพวกเดียวกันทั้งเป็นอย่างนี้
และมนุษย์ที่อ่อนแอกว่าพวกมันมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกมันก็ยิ่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอสุดๆ
หลายคนที่กำลังมองเหตุการณ์ทั้งหมดในตอนนี้แม้ว่าเป็นผู้รอดชีวิตมากประสบการณ์ แต่สีหน้าก็ยังดูย่ำแย่อยู่ดี
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาเดินเข้าสู่ถนนเล็กๆ อีกเส้น ถึงได้รู้สึกหายใจหายคอได้คล่องขึ้นบ้าง
เพราะประสิทธิภาพเสียงอันทรงพลังของอุปกรณ์เตือนภัย ถนนเส้นที่พวกเข้าเพิ่งเดินเข้ามาจึงโล่งเปล่า ไม่มีซอมบี้เลยซักตัว
“ตอนนี้คงพูดได้แล้วมั้ง? พวกนายออกจากห้างฯ ไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง?” มู่เฉินมองหน้ามองหลัง จากนั้นก็ถามอย่างอดทนรอไม่ไหว
“เห็นเงาร่างหลายเงา ก็เลยวิ่งตามไป…” หลิงม่อพูดนิ่งๆ
“ตอบได้มักง่ายมาก…แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ พวกเราก็เจอมาเหมือนกันน่ะสิ? แต่ว่า…ทำไมพวกนายถึงได้วิ่งตามไปไกลถึงถนนสองเส้นล่ะ? กัดไม่ปล่อยเกินไปแล้วมั้ง!” มู่เฉินพูด พร้อมกลอกตามองบน
หลิงม่อไม่ได้ตอบคำถามนี้ หลังพูดจาถากถางเสร็จ มู่เฉินเองก็ไม่ได้ถามต่อ
บรรยากาศในทีมพลันเงียบกริบขึ้นมาทันใด บนถนนอันวังเวง เหลือเพียงเสียงย่างเท้าเร็วๆ ของคนกลุ่มหนึ่ง
แต่ด้านหลังสุดของทีม ซย่าจื้อที่เงียบมาโดยตลอด ตอนนี้กลับก้มหน้าลง แล้วจู่ๆ ก็กระตุกยิ้มมุมปาก
รอยยิ้มไม่น่าดู และประหลาดสุดๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา…
………..
เมืองตงหมิง ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง X เกือบ 200 กิโลเมตร โดยมีเมืองใกล้เคียง เป็นเมืองระดับสองเมืองหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการแพทย์
ตอนที่ล้วงความลับเรื่องชื่อเมืองมาจากมู่เฉินได้ หลิงม่อก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่เลยทีเดียว
เมืองแห่งการแพทย์! ทำไมเขาถึงคาดไม่ถึงนะ!
สำหรับสาขาย่อยของนิพพาน จะยังมีที่ไหนเหมาะสมไปกว่าเมืองตงหมิงอีก?!
พวกหลิงม่อเร่งเดินทางอย่างไม่หยุดพัก แต่กว่าจะถึงเมืองตงหมิง ก็ยังคงต้องเสียเวลาเดินทางไปถึงห้าวันเต็มๆ
ไม่ใช่เพราะพวกหลิงม่อเดินทางช้า แต่เป็นเพราะระหว่างทางมีซอมบี้มากมายจนนับไม่ถ้วน
และยิ่งเดินไปตามทาง ก็ยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนว่าเหล่าซอมบี้ได้วิวัฒนาการขึ้นพร้อมกันอย่างถ้วนหน้า
บวกกับความยากลำบากอื่นๆ ระหว่างทางแค่ต้องหาอาหารและเปลี่ยนยานพาหนะ ก็เสียเวลาไปไม่น้อยแล้ว
ทว่าตอนที่หลิงม่อใช้มือถือดูแผนที่ เขากลับค้นพบอีกเรื่องหนึ่ง
เมืองตงหมิน กับเมืองชุ่ยหู อยู่ไม่ไกลกันมากนัก…
เพียงแต่ว่าเมืองชุ่ยหูต้องเดินไปยังทิศใต้อีกระยะทางหนึ่ง แต่หากดูจากในแผนที่ ทั้งสองเมืองอยู่ใกล้กันจนแทบจะกลายเป็นเมืองใกล้เคียงแล้ว
“ซอมบี้ความแกร่งสูงสุด…นิพพานสาขาย่อย…” หลิงม่อนำทั้งสองอย่างนี้มาพิจารณาในใจเงียบๆ แต่กลับไม่ได้ข้อสรุปอะไร
บางทีอาจจะแค่อยู่ใกล้กันเฉยๆ ล่ะมั้ง?
เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถช่วยให้ซอมบี้วิวัฒนาการอย่างรวดเร็วเหมือนเขา
สิ่งที่ศูนย์วิจัยของนิพพานและฟอลคอนทำนั้น อย่างมากก็เรียกว่าการแทรกแซง
“มาถึงได้แค่ตรงนี้แล้วล่ะ ลงรถ” มู่เฉินกระโดดลงจากรถไปก่อน แล้วหันมาบอก
หลิงม่อเองก็หยุดรถ เขารอให้เย่เลี่ยนลงจากรถก่อน แล้วตัวเองค่อยกระโดดตามลงไป จากนั้นก็หันไปดูเบาะนั่งของตัวเอง “จักรยานก็ปั่นเข้าไปไม่ได้หรอ?”
ก่อนหน้านี้ที่ด่านเก็บค่าทางด่วนพวกเขาเห็นรถเก๋งกำลังถูกซอมบี้ตัวหนึ่งเตะฝากระโปรงรถจนบูดเบี้ยว จากนั้นก็ถูกซอมบี้อีกตัวที่สวมชุดพนักงานเก็บค่าทางด่วนกระชากประตูรถจนหลุด
“วิธีเก็บค่าทางด่วนที่นี่ช่างตรงไปตรงมาและดุดันดีจริงๆ เลยนะ…” หลิงม่อรำพึงรำพัน
เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเขาจึงทำได้เพียงคว้าจักรยานที่กลุ่มนักปั่นทิ้งไว้ข้างทาง ถึงยางจะแบนแล้ว แต่ก็ยังพอฝืนปั่นไปได้…
พวกเขาปั่นจักรยานตุปัดตุเป๋นานเกือบหนึ่งชั่วโมง จนกระทั่งเข้าเขตเมืองตงหมิงอย่างเป็นทางการในที่สุด
ความจริง พวกเขาเพิ่งจะผ่านแผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่ทั้งเก่าและโทรมมาป้ายหนึ่ง “ตงหมิง ยินดีต้อนรับ”
“ไม่ได้ ตงหมิงมีประชากรเยอะมาก นายเข้าใจใช่ไหม” มู่เฉินโยนจักรยานทิ้งไปอีกทาง แล้วบอก
“ฉันก็นึกว่าในเมื่อสาขาย่อยของพวกนายอยู่ที่นี่ ที่นี่ก็คงเป็นเมืองโล่งๆ ของพวกนายโดยเฉพาะซะอีก” หลิงม่อมองซ้ายมองขวา แล้วบอก
จุดที่พวกเขาจอดรถเป็นสวนของเกสต์เฮาส์เก่าๆ แห่งหนึ่ง สวนแห่งนี้ไม่เพียงดูโล่งเปล่า แม้แต่บ้านหลังนั้นก็ยังดูเก่าทรุดโทรมมาก
ทว่ากำแพงล้อมรั้วสูงๆ กำลับเป็นกำบังให้พวกเขาได้เป็นอย่างดี จากตรงนี้มองออกไปข้างนอก ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากอาคารบ้านเรือนที่อยู่ริมถนนสองข้างทาง
“อะฮึ่มๆ…” มู่เฉินเหมือนอยากจะพูดอะไรในตอนแรก แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นกระแอมเบาๆ แทน
พอเห็นหลิงม่อจ้องตัวเอง เขาก็ยกมือขึ้นปาดเหงื่ออย่างหงุดหงิดเล็กน้อย แล้วบอกว่า “เอาเป็นว่า ระวังซอมบี้ไว้ก่อนสำคัญที่สุด”
“อา…เข้าใจแล้ว” หลิงม่อพูดเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ “นายต้องการหนูทดลอง”
“ก็ไม่ใช่ทั้งหมด…” มู่เฉินค้านเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็รีบกลืนคำพูดที่หลุดออกมาของตัวเองลงคอไปทันที “พวกเราพักก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งเถอะ ฉันจะเข้าไปดูในนั้นหน้อยว่ามีน้ำไหม”
เขาพูดไป ก็ดึงมีดออกมา แล้วเดินเข้าไปในเกสต์เฮาส์แห่งนั้น
หลิงม่อพูดขึ้นอย่างตะลึงว่า “อ้าว ที่นี่ไม่ใช่จุดพักเท้าที่พวกนายใช้เป็นประจำหรอกหรอ?!”
“แน่นอนว่าไม่ใช่! ทำไมคิดงั้น?” มู่เฉินหันกลับมาถาม
“ก็ที่นี่ไม่มีซอมบี้นี่” หลิงม่อยังคงเบิกตากว้าง
สวี่ซูหานพูดแทรกขึ้นมาว่า “นายคิดว่าที่นี่จะกิจการดีแค่ไหนล่ะ? แต่ที่แบบนี้ฉันขอไม่เข้าไปดีกว่านะ สกปรกเกิน…ฉันไปสังเกตบริเวณรอบๆ แล้วกัน”
พูดไปเธอก็เดินออกไปทางประตูใหญ่ ทว่าถึงแม้เธอจะแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ แต่หลิงม่อก็ยังอดขำออกมาไม่ได้
ผู้หญิงคนนี้กลัวสถานที่แบบนี้จริงๆ สินะ…
ซย่าจื้อเองก็เพิ่งกลับจาไปสำรวจบริเวณรอบๆ มา พอเห็นอย่างนี้จึงเดินตามไปด้วย
ซย่าน่าเดินมาหาหลิงม่อ แล้วถามว่า “พวกเราจะไปด้วยไหม?”
หลิงม่อหันไปมองเย่เลี่ยนและหลี่ย่าหลินที่กำลังจ้องเกสต์เฮาส์อย่างไม่ยอมวางตา จากนั้นก็พยักหน้าอย่างจนใจ “ไปกันเถอะ”
ความจริงน้ำที่หลิงม่อพกมาก็มีจำกัดมากเหมือนกัน ของอย่างนี้จะปล่อยให้ขาดไม่ได้ แต่มันทั้งกินเนื้อที่ แล้วยังน้ำหนักมากอีกต่างหาก ถึงอยากจะพกก็พกไม่ได้มากนัก
แต่สถานที่อย่างนี้ จะมีน้ำหรอ?
แถมตอนนี้ในสมองของหลิงม่อยังคิดไปถึงอีกเรื่องหนึ่ง…
ทั้งๆ ที่ใกล้จะถึงนิพพานแล้ว ทำไมต้องมาค้นหาสิ่งของเอาตอนนี้ด้วยล่ะ?
น่าสงสัย…
“แอ๊ด—!”
มู่เฉินผลักประตูใหญ่ที่ถูกเปิดแง้มทิ้งไว้ บนขอบประตูและพื้นข้างๆ ยังมีคราบเลือดสีเข้มเก่าๆ ติดอยู่ รวมถึงร่องรอยการถูกลากเป็นเส้นยาว
ทว่าเขากลับไม่ได้สังเกตนานนัก เขารีบยกมีดขึ้นแล้วเดินหันข้างเข้าไปอย่างระมัดระวัง
การตกแต่งในห้องล็อบบี้เรียบง่ายมาก เคาน์เตอร์หนึ่งตัว คอมพิวเตอร์เปื้อนฝุ่นที่ล้มอยู่บนพื้นหนึ่งเครื่อง แล้วยังมีโซฟาที่ถูกวางไว้ด้านข้างอีกหนึ่งตัว พร้อมกับต้นบอนไซเหี่ยวเฉาที่วางขนาบทั้งสองข้าง
“ทางนี้…ไม่มีซอมบี้…ทางนั้น…ก็ไม่มี…”
มู่เฉินตรวจสอบห้องเล็กๆ สองห้องและห้องน้ำหนึ่งห้องที่อยู่ใกล้ที่สุด จากนั้นก็พรวดตัวออกมา ดึงซย่าจื้อที่กำลังมองซ้ายมองขวาเข้าไปในห้องน้ำ
“โครม!”
ประตูห้องน้ำถูกมู่เฉินปิดอย่างรวดเร็ว ในห้องอันคับแคบและมืดมิด พลันเงียบกริบขึ้นมาทันที
—————————————————————————–