นอกจากส่วนที่ถูกเชื่อมติดกับพื้นพวกนี้ ก็ยังมีห่วงเหล็กอีกจำนวนมากอยู่กลางอากาศ โดยด้านบนมีโซ่เหล็กห้อยไว้ มองแวบแรกดูเหมือนเงาร่างมากมายที่กำลังห้อยโตงเตงลงมาจากเพดาน
พวกเย่เลี่ยนคอยระวังห่วงเหล็กบนพื้นไปด้วย และเดินเลี่ยงโซ่เหล่านี้ไปด้วย พวกเธอค่อยๆ มุ่งหน้าเข้าไปข้างในช้าๆ ผ่านมุมมองสายตาของซย่าน่า หลิงม่อมองเห็นคราบเลือดมากมายบนพื้น บ้างก็เลอะติดเหล็กเส้นเหมือนคราบสนิมเขรอะมากมาย ด้านล่างห่วงเหล็กพวกนั้นยังมีสารแขนลอยสีดำบางส่วนอยู่ด้วย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกมันคืออะไร
กลิ่นแปลกๆ ที่อวี๋ซือหรานหมายถึงคือกลิ่นที่โชยออกไปจากห้องนี้ ซึ่งมันคือกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นเน่า ผสมกับกลิ่นยาฆ่าเชื้อ แล้วกลิ่นมันจะไม่แปลกได้ยังไง…หลิงม่อเคยได้กลิ่นนี้ในตึกทีมวิจัยมาก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่ามีอะไรน่าแปลกใจ กลับเป็นพวกเย่เลี่ยนที่กำลังย่นจมูก อวี๋ซือหรานยิ่งแล้วใหญ่ เธอเบะปากทำท่าทางรังเกียจสุดๆ
เนื่องจากถูกโซ่เหล็กที่ห้อยลงมาจากเพดานบดบังการมองเห็นบางส่วน ดังนั้นจึงไม่อาจมองเห็นสภาพแวดล้อมในห้องได้ในทันที ซย่าน่าค่อยๆ ค้อมเอวลงแล้วมองลอดช่องว่างเข้าไปข้างใน สิ่งแรกที่เห็นกลับเป็นกรงเหล็กอันว่างเปล่าครึ่งกรง กรงนี้มีขนาดเตี้ยมาก พื้นที่ด้านในก็ไม่ได้กว้าง หากผู้ใหญ่ถูกจับขังไว้ในนั้นอย่างว่าแต่ยืนตัวตรงเลย แค่จะเงยหน้าก็ยังยาก ในสถานการณ์อย่างนั้นอย่าว่าแต่หนีเลย แค่ความทรมานนั้นก็มากเกินรับไหวแล้ว
บนกรงมีคราบเลอะที่ดูเหมือนสนิมอยู่เช่นเดียวกัน ด้านล่างมีกองเลือดขนาดใหญ่แข็งตัวติดอยู่บนพื้น
ภาพกรงเหล็กที่มีแสงสีแดงอ่อนๆ ปกคลุม ทำให้หลิงม่อรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
ซย่าน่ากลับจ้องพิจารณาครึ่งหนึ่งของกรงเหล็กนั้นดูอย่างละเอียด ขณะเดียวกันก็เดินเข้าไปด้วยความฉงนสงสัยช้าๆ
“โครม!”
ทันใดนั้น มีเงาร่างสีดำเงาหนึ่งกระโจนออกมา และพุ่งชนกับกรงเหล็กเสียงดังสนั่น
“กรร…”
เงาร่างดำนั้นเปล่งเสียงคำรามแหบต่ำ พลางอ้าปากเผยให้เห็นเหงือกสีแดงกับฟันที่หายไปครึ่งหนึ่ง
ซย่าน่าดูสงบนิ่ง กลับเป็นหลิงม่อที่สะดุ้งตกใจ
เจ้านั่น โผล่ออกมากะทันหันเกินไปแล้ว…
“มาดูเร็ว” ซย่าร่าเรียก
ใบหน้าของเงาร่างดำนั้นถูกกรงเหล็กบดบังไปกว่าครึ่งส่วน ทว่าเมื่อซย่าน่าเดินเข้าไปใกล้ หลิงม่อก็เริ่มมองเห็นรูปร่างของมันชัดขึ้นทีละนิดๆ
ผิวสีขาวซีด ร่างกายซูบผอม เส้นผมบางจนหัวล้าน และสีหน้าอันบิดเบี้ยวนั่น…
ซอมบี้หญิงตัวนี้ถูกห่วงเหล็กล็อกไว้ทั้งแขนและขา ขาทั้งสองข้างของมันถูกล็อกติดไว้กับอีกฝั่งหนึ่งของกรง ส่วนแขนถูกมัดขึ้นเหนือศีรษะ ท่าทางอย่างนี้รับประกันได้ว่ามันไม่สามารถใช้กำลังได้ เพราะร่างกายของมันอยู่ในสภาพกึ่งห้อยตัว เนื่องจากมันเอียงคอมาเป็นเวลานาน กระดูกคอของซอมบี้หญิงตัวนี้จึงเปลี่ยนรูปร่างไป จนกลายเป็นมนุษย์คอเบี้ยว
ตอนนี้มันกำลังเอียงคอ และถลึงตาสีแดงก่ำจ้องซอมบี้สาวสามตัวที่อยู่นอกกรง
เป็นครั้งแรกที่ทั้งสามได้เห็นเพื่อนร่วมสายพันธุ์ในสภาพแบบนี้ พวกเธอต่างพากันนิ่งเงียบ
หนึ่งนาทีผ่านไป อวี๋ซือหรานเปิดปากพูดคนแรกอย่างสงสัยว่า “นี่มัน…ไม่ใช่เด็กสาวแล้วมั้ง?”
ใบหน้าของซอมบี้สาวตัวนี้บิดเบี้ยวผิดรูป ถึงจะดูอายุไม่มาก แต่เส้นผมของมันกลับบางเบาจนแทบจะไม่เหลือแล้ว นี่มันดูยังไงก็ไม่ใช่ลักษณะของเด็กสาวอ่ะ…
“กรร!” ซอมบี้หญิงตัวนี้พุ่งชนกรงเหล็กอย่างแรงอีกครั้ง การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของมัน ไม่เพียงทำให้กรงที่ยึดติดกับพื้นสั่นสะเทือน แต่ร่างกายของมันก็เหมือนจะถูกบังคับให้ยืดออกด้วยเช่นกัน
“ดูซิว่าเธอมีอะไรพิเศษบ้าง” ซย่าน่าดึงสติกลับมา แล้วพูดขึ้น
เย่เลี่ยนกลับกำลังเบิกตากว้าง และยังคงจ้องซอมบี้หญิงที่อยู่ในกรงเหล็กอย่างตกตะลึง “เธอ…ดูพิเศษ…มากแล้ว…”
ซอมบี้หญิงตัวนั้นกำลังจะพุ่งชนอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นมันกลับสบตากับซย่าน่าเข้า
ในเสี้ยววินาที ดวงตาสีแดงข้างหนึ่งสีดำข้างพลันปรากฏขึ้น และจดจ้องไปยังดวงตาของซอมบี้หญิงตัวนั้น
ซอมบี้หญิงนิ่งงัน จากนั้นก็เอียงคอและพยายามหดตัวกลับไปข้างหลังอย่างสุดชีวิต
“อย่าขยับ!” ซย่าน่าพูดอย่างเย็นชา
เห็นได้ชัดว่าสติปัญญาของซอมบี้หญิงตัวนี้อยู่ในระดับต่ำมาก ดังนั้นมันอาจไม่เข้าใจภาษาคน แต่ความน่าเกรงขามที่มาจากเพื่อนร่วมสายพันธุ์ระดับสูงกลับทำให้มันตัวแข็งทื่อไปทันที ราวกับตกลงไปในก้นเหวน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น
“วิธีนี้ไม่เลวนี่…” หลิงม่อคิด
ตอนนี้เขาอยู่ในสมองของซย่าน่า ดังนั้นความรู้สึกเมื่อกี้นี้เขาก็รับรู้ได้เช่นเดียวกัน
ในเสี้ยววินาทีนั้น ราวกับว่าซย่าน่าทั้งสองบุคลิกได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว และเข้าสู่สภาวะซอมบี้พร้อมๆ กัน ความน่าเกรงขามที่มาจากสัญชาตญาณของเฮยน่า บวกกับผลกระทบจากพลังจิตของน่าน่า ภายใต้พลังงานทั้งสองทำให้เธอแผ่รังสีอำมหิตอันแก่กล้าออกมาได้ภายในพริบตา เธอดูน่าเกรงขามยิ่งกว่าซอมบี้เจ้าเมืองทั่วไปด้วยซ้ำ ถือเป็นครั้งแรกที่หลิงม่อได้เห็นเธอใช้พลังแบบนี้ แถมมันยังดูเหมือนได้ผลมากซะด้วย…
ในขณะที่ซอมบี้หญิงตัวนั้นสบตากับเธอ แววตาของมันปรากฏความหวาดกลัวจากก้นบึ้ง ราวกับถูกสะกดจิตอย่างไรอย่างนั้น
หลิงม่อคาดเดาว่า ไม่แน่มันอาจเห็นภาพลวงตาบางอย่างในดวงตาสีแดงของซย่าน่าจริงๆ ก็ได้…
ซอมบี้หญิงตัวนี้สงบเสงี่ยมลงมาก แต่กลับเป็นพวกเย่เลี่ยนที่ทำตัวไม่ว่าง่ายแทน ก่อนหน้านี้ที่พวกเธอนิ่งไป หลิงม่อคิดว่าพวกเธออึ้งกับสภาพของซอมบี้หญิงตัวนั้น แต่ไม่คิดเลยว่านั่นจะเกิดจากความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ! เขาอุตส่าห์รู้สึกผิด คิดว่าไม่น่าให้พวกเธอเข้ามามีส่วนร่วมเลย แต่ไม่นานเขาก็รู้ตัวว่าตัวเองช่างไร้เดียงสา…
“กระต่ายปกติ”
“ทางสามแพร่งปกติ”
“ปะ…ปกติ…”
หลิงม่อมองดูสามสาวซอมบี้เดินพิจารณารอบตัวซอมบี้หญิงตัวนั้นอย่างละเอียด และได้ยินพวกเธอรายงานผลการสำรวจ สีหน้าของเขาก็ประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ…
คำว่า “กระต่าย” พวกเธออาจเรียนรู้ไปจากเขา แต่คำว่า “ทางสามแพร่ง” ขนาดตัวเขาเองก็เพิ่งเคยได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรก ยัยเด็กพวกนี้ ลับหลังเขาไปแอบดูแอบอ่านอะไรกันมาบ้างไม่รู้!
“อ๊ะ! ตรงนี้!” จู่ๆ อวี๋ซือหรานก็เห็นอะไรบางอย่าง
ซย่าน่ารีบเดินเข้าไป หลิงม่อเองก็สนใจไปด้วย
แวบแรกเขาเห็นแต่สีขาวโพลนเต็มไปหมด ไม่นานเขาก็เห็นสิ่งที่เส้นไหมสีเงินกำลังชี้อยู่
“นั่นมัน…”
มันคือสิ่งที่คล้ายกับหางสัตว์ เนื่องจากมันติดอยู่กับร่างกายของซอมบี้หญิง และมีสีเดียวกับผิวกาย ดังนั้นจึงยากจะสังเกตเห็นได้ทันทีในแวบแรก แต่ตอนนี้พอลองสังเกตดูอย่างละเอียด หลิงม่อก็รู้สึกหนังศีรษะชาทันที ของสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่กลายพันธุ์ไปจากเนื้องอก เพราะตอนที่เส้นไหมสีเงินทิ่มแทงเข้าไป มันกลับมีเสียง “เคร้ง” ดังขึ้น…
“กระดูกนอกตัว? หรือเป็นส่วนที่ยืดออกมาหลังจากกระดูกสันหลังเปลี่ยนรูป?” หลิงม่อคิด
พอเขาคิดอย่างนี้ จู่ๆ ซย่าน่าก็ลุกพรวด แล้วเดินลึกเข้าไปข้างใน
ในห้องนี้ไม่ได้มีกรงเพียงกรงเดียว แถมกรงเหล่านี้ก็ถูกยึดติดกับพื้นและเชื่อมต่อกับไฟฟ้าไว้ทั้งหมด
พอเดินตามสายไฟหนาๆ เส้นหนึ่งไป ไม่นานซย่าน่าก็เจอกรงอีกหนึ่งกรง
ซอมบี้ที่ถูกขังไว้ในกรง พอถูกซย่าน่าถลึงตาจ้องหนึ่งทีก็สงบเสงี่ยมลงทันที แล้วไม่นานซย่าน่าก็ค้นพบสิ่งที่ดูคล้าย “หาง” อยู่บนตัวของซอมบี้ตัวนั้น
หลิงม่อกำลังควานหาบางอย่างในสมองตัวเอง แล้วไม่นานเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ตอนที่เขาอยู่ในกองกำลัง F เขาเคยเจอซอมบี้ที่คล้ายๆ กันนี้แล้ว…พวกมันไม่ใช่ซอมบี้กลายร่าง แต่กลับกำลังค่อยๆ เริ่มกลายพันธุ์ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันป่าเถื่อน จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ก้ำกึ่งระหว่างซอมบี้กับซอมบี้กลายร่าง พวกมันทั้งสามารถคงไว้ได้ซึ่งสติปัญญา และทั้งมีพลังต่อสู่ที่แข็งแกร่งกว่าด้วย…
ทว่าตอนนั้น ซอมบี้ที่เขาเจอเป็นเพียงซอมบี้ที่ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ ไม่เหมือนซอมบี้ที่อยู่ในนิพพานพวกนี้ ที่กลายเป็นร่างสมบูรณ์ไปแล้ว
“นิพพานต้องการสร้างอะไรขึ้นมากันแน่…หรือทั้งหมดนี้คือ…”
“น่า…น่าน่า…” จู่ๆ เสียงเย่เลี่ยนก็ดังมา
ซย่าน่ารีบวิ่งกลับไปอย่างเป็นห่วง แต่กลับเห็นเย่เลี่ยนยืนอยู่หน้าโต๊ะตัวหนึ่ง และถือสมุดบันทึกเล่มหนึ่งไว้ในมือ
“ฉันขอดูหน่อย…”
ซย่าน่ารับสมุดบันทึกมา แล้วเปิดอ่าน ขณะเดียวกันสายตาของหลิงม่อก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
ลายมือนี้! ลายมือในสมุดบันทึกเล่มนี้เหมือนกับในสมุดบันทึกเล่มที่เขาเจอในสาขาย่อยเมืองตงหมิงเลย!
และนั่นก็หมายความว่า คนเขียนคือคนเดียวกัน!
“…ปัจจุบัน ซอมบี้ที่เกิดการกลายพันธุ์สามารถแบ่งเป็นสามประเภทดังนี้ หนึ่ง ซอมบี้ธรรมดาที่ไดรับพลังวิวัฒนาการหลังจากอัพเกรดพลัง ฉันคิดว่าการกลายพันธุ์อย่างนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพที่เกิดขึ้นเมื่อวิวัฒนาการสะสมไปจนถึงระดับหนึ่งมากกว่า…น่าเสียดายที่ซอมบี้ประเภทนี้มีไม่มาก ปัจจุบันยังไม่สามารถจับตัวอย่างที่มีชีวิตมาได้ จึงไม่อาจทำการวิจัยที่มากกว่านี้ได้ สมมติฐานที่ตั้งไว้ถูกต้องหรือไม่ก็ยังไม่อาจพิสูจน์ได้…”
แวบแรกที่เหลือบเห็นอักษรบรรทัดนี้ซึ่งถูกไฮไลท์ด้วยปากกาสีแดง หลิงม่อก็ตกตะลึงไปทันที
คนคนนี้ จะต้องเป็นเจ้าหน้าที่วิจัยที่เก่งกาจที่สุดในปัจจุบันแน่นอน! แค่สมมติฐาน ก็สามารถเดาเรื่องเหล่านี้ได้ใกล้เคียงขนาดนี้!
“ประเภทที่สอง ซอมบี้ที่กำเนิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส ซอมบี้ประเภทนี้เป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างแต่กำเนิด มีทั้งข้อเสียและข้อดี” ด้านข้างมีหมายเหตุเพิ่มเติมเขียนไว้ว่า “จับตัวอย่างได้แล้ว ควรตั้งชื่อให้มันว่าอย่างไรดี…ชื่อ 101 แล้วกัน ฉันชอบเรื่องขบวนการหมา 101 มาก มันเป็นหนังที่ฉันชอบที่สุด…” (101 ดัลเมเชี่ยนส์ เดอะซีรีส์ ภาพยนตร์แอนิเมชันชุดซึ่งวอลต์ดิสนีย์ผลิตเผยแพร่ทางโทรทัศน์ตั้งแต่ปี 2540 ถึง 2541 // ที่มา : วิกิพีเดีย )
“โกหก ชอบแต่จำชื่อเรื่องผิดเนี่ยนะ! แล้วทำไมต้องมาเขียนเรื่องไร้สาระบนสมุดบันทึกที่สำคัญขนาดนี้ด้วย!” หลิงม่อโมโห
โชคดีที่ซย่าน่าพลิกไปอ่านหน้าถัดไปพอดี “ประเภทที่สาม คือผลจากการพยายามนำซอมบี้ธรรมดากับซอมบี้ประเภทที่สองมาพัฒนาร่วมกัน ปัจจุบันมีจำนวนน้อยมาก แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสามารถเพาะเลี้ยงขึ้นมาใหม่ได้…การเพาะเลี้ยงล้มเหลวแล้ว กระดูกสันหลังของพวกมันเปลี่ยนรูป แต่กลับไม่สามารถหดตัวกลับเข้าไปได้ ช่างน่าผิดหวังจริงๆ…”
“นายเป็นคนทำล้มเหลวเองทำไมต้องโทษตัวทดลองด้วย…” สมุดบันทึกเล่มนี้ได้ทำลายภาพลักษณ์นักวิจัยคนนี้ในสายตาหลิงม่อไปจนสิ้น แทนที่จะบอกว่าคนคนนี้โหดร้าย…สู้บอกว่าเขาประสาทจะดีกว่า!
“…ลักษณะพิเศษของหมายเลข 1 มีผลไม่เลว แต่ถ้าหากสามารถหลอมรวมเข้ากับพลังจิตของหมายเลข 0 ได้ด้วย ถึงจะกลายเป็นอาวุธในร่างคนที่สมบูรณ์จริงๆ แต่จะแก้ไขปัญหาเรื่องสติปัญญาอย่างไรดี…” ด้านหลังประโยคนี้มีเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ถูกเขียนทิ้งท้ายไว้ ด้านหลังก็ไม่มีอะไรถูกเขียนเพิ่มเติมอีก ดูเหมือนจะยังคิดหาทางที่เหมาะสมไม่ออก
หลิงม่อกลับไม่ได้ผิดคาดกับเรื่องนี้ ยิ่งเป็นซอมบี้ที่สติปัญญาสูง ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่ามันจะไม่เชื่อฟังมนุษย์ นั่นเป็นเพราะพวกมันรู้จักสัญชาตญาณซอมบี้ของตัวเองเป็นอย่างดี และพวกมันก็รู้ว่าควรใช้ประโยชน์จากเรื่องนั้นอย่างไร แต่พวกเย่เลี่ยนกลับเป็นข้อยกเว้น ถึงแม้หลิงม่อไม่มีทางเสี่ยงตัดขาดสายสัมพันธ์ทางจิตแน่นอน แต่เขาก็เคยสัมผัสช่วงเวลาสั้นๆ เหล่านั้นมานับครั้งไม่ถ้วน
จนตอนนี้ แม้พวกเย่เลี่ยนจะต้องผ่านขั้นตอนวิวัฒนาการเพื่อก้าวข้ามอีกกี่ครั้ง พวกเธอก็จะไม่มีทางเป็นเหมือนเมื่อก่อน ที่เผยสัญชาตญาณนักฆ่าต่อหน้าเขาอีก
และหลิงม่อก็รู้สึกพึงพอใจกับเรื่องนี้มาก แค่คิดเขาก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้แล้ว…
“เดี๋ยวๆๆๆๆ! ฉันยังอ่านไม่จบอย่างเพิ่งเปลี่ยนหน้าสิ! อย่าเพิ่งทิ้งเซ่!”
หลิงม่อตื่นจากภวังค์ทันที
—————————————————————————–