“คนเรามีความสนใจที่แตกต่างกัน และฉันคนนี้ ก็สนใจแค่เรื่องการทำวิจัยเท่านั้น อย่างเช่นแก ฉันค่อนข้างสนใจในตัวแกเลยล่ะ!ถึงแม้การเจอกันของพวกเราจะไม่ใช่การเจอกันที่ดีนัก แต่ฉันดีใจมากที่จริงๆ ที่ได้เจอแก ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายแกบ้าง…” สายตาที่เจ้านักวิจัยมองหลิงม่อค่อยๆ รุ่มร้อนขึ้นทีน้อย พูดไปพูดมา เขากลับยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ซอมบี้สนใจการวิจัยของฉัน ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ!”
“ความจริงมันไม่ใช่เรื่องน่ามหัศจรรย์เลยซักนิด…” หลิงม่อคิดในใจ
หลันหลันเองก็มองหน้าพ่ออย่างหงุดหงิด ลูกสาวตัวเองยังถูกคนอื่นเขาบีบคออยู่เลยนะ แต่เขากลับยังปรบมือและยิ้มอย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้นอยู่ได้!
นี่มันไม่ใช่แค่การเจอกันที่ไม่ค่อยดีแล้ว แต่เป็นถูกจับเป็นตัวประกันต่างหากเล่า!
ทว่าถึงแม้พฤติกรรมและความคิดของนักวิจัยคนนี้จะทำให้คนอื่นคิดว่าเขาบ้า แต่เรื่องที่เขารู้กลับมีมากมาย
จากที่เขาบอก ตอนที่เกิดภัยพิบัติ เป็นช่วงที่เขานำทีมมาเข้าร่วมงานสัมมนาเกี่ยวกับการวิจัยที่นี่พอดี และหลันหลันก็ติดตามเขามาในฐานะสมาชิกในครอบครัว
งานสัมมนาเพิ่งเปิดได้สองวัน ภัยพิบัติก็ระบาดขึ้น เขากับหลันหลันถือเป็นกลุ่มคนที่ถือว่าโชคดี เพราะพวกเขาไม่ได้กลายพันธุ์ และไม่ได้กลายเป็นอาหารของซอมบี้ในทันที ตรงกันข้าม ไม่กี่วันต่อมาหลันหลันก็เกิดมีพลังพิเศษขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้อัตราในการรอดชีวิตของพวกเขาสูงขึ้น
แต่หลิงม่อกลับจับสังเกตได้ทันที ตอนที่พูดถึงเรื่องที่หลันหลันมีพลังพิเศษ เด็กสาวที่ถูกเขาจับตัวไว้กลับเม้มปากอย่างไม่พอใจทันที
พอลองนึกถึงพฤติกรรมทั้งหมดของเจ้านักวิจัยแล้ว หลิงม่อก็อดรู้สึกสงสารหลันหลันขึ้นมาไม่ได้
ที่เธอไม่ถูกผ่าชำแหละ ต้องเป็นเพราะเจ้านักวิจัยเห็นแก่ความเป็นพ่อลูกอย่างแน่นอน!
แต่คงหลีกไม่พ้นถูกตรวจสอบสภาพร่างกายแน่ๆ…
“อาจเป็นเพราะว่าฉันกับหลันหลันค่อนข้างเข้มแข็งล่ะมั้ง ดังนั้นพวกเราไม่เพียงช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ยังตามหาพวกอาจารย์และนักเรียนจนเจออีกด้วย แล้วก็ยังมีนักวิชาการที่มาร่วมงานสัมมนาในตอนนั้นด้วย” เจ้านักวิจัยถอนหายใจ พลางพูดขึ้น
“เป็นเพราะพวกนายจิตไม่ปกติเหมือนชาวบ้านเขาต่างหาก!” หลิงม่อคิดในใจ
“ทุกคนต่างก็สิ้นหวังมาก แถมมีหลันหลันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้มีความสามารถพิเศษ การจะเอาชีวิตรอดต่อไปเป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ แต่สิบกว่าวันต่อมา เรื่องราวก็พลิกผันไป อยู่ๆ ก็มีผู้รอดชีวิตที่สวมชุดเครื่องแบบเต็มยศกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น พวกเขาตามหาพวกเราเจอ แล้วยังหยิบรายชื่อแผ่นหนึ่งขึ้นมาอ่าน ซึ่งรายชื่อแรกก็คือชื่อของฉัน ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าพวกพฤติกรรมของพวกเขาผิดปกติ จึงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจมาโดยตลอด” เจ้านักวิจัยพูดต่อ
ตามหาคนตามรายชื่อ? แล้วยังเป็นสิบกว่าวันหลังจากเกิดภัยพิบัติ? หลิงม่อเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
หากเป็นไปตามที่คิดไว้ ผู้รอดชีวิตกลุ่มดังกล่าวต้องเป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งนิพพานแน่ๆ
“ตอนนั้นพวกเขายังเป็นแค่กลุ่มเล็กๆ มีคนไม่มาก แต่พวกเขามีกฎเกณฑ์ที่เป็นระบบระเบียบมาก ต่อมาฉันถึงได้รู้ว่าความจริงแล้วนั่นเป็นความน่ากลัวอย่างหนึ่ง ฉันถามพวกเขาว่าทำไมต้องตามหาฉันตามรายชื่อในมือพวกเขาด้วย พวกเขาบอกว่าเพื่ออนาคต ตอนนั้นฉันไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ไม่นานเมื่อนิพพานถูกก่อตั้งขึ้น พร้อมกับที่ทีมวิจัยถูกสร้างขึ้น ฉันถึงได้รู้ว่าพวกเขาต้องการให้ฉันทำอะไร เหล่าอาจารย์และนักเรียนที่ถูกช่วยไว้ได้ในตอนนั้นล้วนถูกจัดให้เป็นสมาชิกทีมวิจัยทั้งหมด และฉันก็ได้กลายเป็นรองหัวหน้าทีมไป ส่วนนักวิชาการที่เปิดงานสัมมนาร่วมกับฉันคนนั้น ก็ได้กลายเป็นหัวหน้าทีม” เจ้านักวิจัยบอก
“ทำไมแกไม่ได้เป็นหัวหน้าทีม?” หลิงม่อามอย่างสงสัย
“เป็นหัวหน้าวุ่นวายจะตายไป ฉันขี้เกียจเสวนากับเหล่าจิ้งจอกเฒ่าที่เอาแต่แสวงหาตำแหน่งและชื่อเสียงพวกนั้น” เจ้านักวิจัยพูดอย่าดูแคลน
“แต่แกก็เป็นโรคจิตเหมือนกันนี่…” หลิงม่อกลอกตาขาว เขายังมีหน้าไปว่าคนอื่นเฉยเลย…
ตำแหน่งรองหัวหน้าทีมเป็นเพียงตำแหน่งบังหน้า หลังจากที่เข้ามาในทีมวิจัย เขาก็ได้เข้าสู่โลกแห่งการวิจัยทั้งตัวและจิตวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องพัฒนาการของกลุ่มนิพพานมากนัก
“แต่ฉันรู้สึกได้ว่า บอสใหญ่ของนิพพานจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถมากแน่ๆ แกคิดดู จากตอนแรกที่มีกันแค่สิบกว่าคน ต่อมาก็เพิ่มเป็นร้อยคน จนตอนนี้อาจมีคนมากถึงหลายร้อยหรือเป็นพันแล้วก็ได้? ฉันอยากได้อะไร พวกเขาก็หามาให้ได้หมด ตั้งแต่งูกลายพันธุ์ จนถึงซอมบี้ระดับสูง หรือแม้กระทั่งซอมบี้ร่างแม่!แต่พอคิดดูอีกที พวกเขารอดชีวิตจากตอนที่เกิดภัยพิบัติมาได้และหาอาวุธปืนและดินปืนจนเจอ แล้วยังเสี่ยงอันตรายมาตามหาฉัน นั่นแสดงว่าพวกเขาเป็นคนที่มีหนทางที่จะทำให้บรรลุเป้า และเป็นคนที่มีความกล้าหาญ เขาให้ความสำคัญกับพัฒนาการในอนาคต ไม่ใช่การเอาชีวิตรอดไปแค่วันๆ”
พอเจ้านักวิจัยพูดมาถึงตรงนี้ สายตาของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากความรุ่มร้อนเป็นหวาดกลัวอย่างยากที่จะได้เห็น “ฉันเองก็เพิ่งมาได้ยินตอนหลัง ว่าเพื่อมาตามหาฉัน บอสใหญ่ได้เสียสละคนไปถึงสิบเจ็ดชีวิต ซึ่งพวกเขาล้วนเป็นผู้รอดชีวิตที่อยู่กับเขาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ก็ต้องมาล้มตายไประหว่างที่เดินทางมามหาลัยแพทย์แห่งนี้ ถ้าเขาไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษ เดาว่าเขาก็คงจะไม่รอดเหมือนกันล่ะมั้ง? น่าเสียดายที่คนพวกนั้นทำได้แค่ติดตามเขามา ถ้าไม่อย่างนั้นหากแยกตัวไปจากเขาก็คงมีแต่ตายกับตายเท่านั้น”
จู่ๆ น้ำเสียงของเขาก็แปลกไป เขาพูดอย่างมีลับลมคมในว่า “แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น คนพวกนั้นก็มีอาวุธอยู่ในมือนี่นา พวกเขาจะฆ่าเขาก็ได้ แกว่า เขากำราบคนพวกนั้นได้ยังไง?”
หลิงม่อได้ยินก็นึกหวั่นใจขึ้นมาเล็กน้อยเหมือนกัน เขาส่ายหน้าไปมา
“เฮ้อ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน…แกอย่าโกรธกันล่ะ ฉันแค่จะบอกว่าทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนโหดเหี้ยมมาก” เจ้านักวิจัยสรุป
เขาเห็นหลิงม่อไม่พูดอะไร จู่ๆ จึงกลอกลูกตาไปมา แล้วบอกว่า “ถ้าเขารู้ถึงตัวตนของแก แกจะต้องถูกผ่าชำแหละเป็นชิ้นๆ แน่นอน แต่ถ้าหากฉันปิดบังตัวตนของแกไว้…”
“แล้วแกไม่ได้อยากจะชำแหละฉันหรอ?” หลิงม่อถามกลับพร้อมกับกลอกตาขาว
“ฉันจะชำแหละแกไปทำไม! แกไม่ได้กลายพันธุ์ที่ร่างกายซักหน่อย ใช่ไหมล่ะ? ติดออกเป็นชิ้นๆ ก็เสียของแย่น่ะสิ ดังนั้นพวกเรามาพูดคุยกันเรื่องชีวิตดีกว่า…อย่างเช่นให้ฉันได้แนะนำตัว แล้วแกจะเรียกฉันว่าเหล่าหลันก็ได้…”
น้ำเสียงของเหล่าหลันทำเอาหลิงม่อรู้สึกหนังศีรษะตึงชา งานอดิเรกและความสนใจของเจ้าหมอนี่ต้องมีปัญหาแน่ๆ!
“แต่ว่า แกช่างเป็นโรคจิตที่มีความคิด และมีความสามารถมากจริงๆ” หลิงม่อบอก
“แกกำลังชมฉัน?” เหล่าหลันถาม
หลิงม่อจ้องเหล่าหลัน และกระตุกมุมปากขึ้น
ตอนที่ลักลอบเข้ามาในทีมวิจัย หลิงม่อเพียงคิดจะหารายงานเกี่ยวกับการทดลอง และตามหาร่างแม่ให้เจอเท่านั้น
แต่ตอนนี้พอได้เจอเจ้านักวิจัยคนนี้ หลิงม่อก็เริ่มมีจุดประสงค์อื่นขึ้นมา
และแผนการอันบ้าคลั่งที่เป็นรูปเป็นร่างอยู่แค่ในสมองของเขาก่อนหน้านี้ ก็เริ่มผุดขึ้นมา
“ความจริง…” หลิงม่อตัดสินใจพูดโกหก และยังเลือกที่จะโกหกเรื่องที่เหลวไหลที่สุดด้วย “ฉันได้ฟื้นฟูความเป็นคนกลับมาบางส่วยแล้ว”
“อะ…อะไรนะ?!” เป็นไปตามคาด พอพูดออกไปอย่างนี้ เหล่าหลันก็ถึงกับลุกพรวดด้วยความตะลึง
“ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม!” เหล่าหลันแทบจะพุ่งตัวเข้ามาหาหลิงม่อ “ฉันเคยวิจัยเรื่องนี้แล้ว แต่อย่างมากก็แค่จับทางได้นิดหน่อย ทำไมกึงได้…”
จับทางได้นิดหน่อย! หลิงม่อจับคีย์เวิร์ดสำคัญนี้ได้ทันที
ตามคาด เขาเคยวิจัยเรื่องที่ซอมบี้ฟื้นความเป็นคนกลับมาจริงๆ ด้วย!
ถึงแม้จะแค่จับทางได้เล็กน้อย ก็ยังดีกว่าเขาไม่ได้อะไรเลย!
“ดูสิ ฉันไม่ได้กินเธอ แล้วก็ไม่ได้กินของที่แกให้ด้วย” หลิงม่อสงบจิตใจเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้น
“ชะ…ใช่แล้ว! อีกอย่างซอมบี้ไม่พูดโกหกด้วย!” สีหน้าของเหล่าหลันดูตื่นตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาถูฝ่ามือไปมาไม่หยุด แล้วบอกว่า “ทำไมก่อนหน้านี้ฉันวิจัยไม่สำเร็จล่ะ? เป็นเพราะซอมบี้พวกนั้นอ่อนแอเกินไป? หรือเป็นเพราะพวกมันโง่เกินไป?”
“ทำไมถึงโทษซอมบี้ได้ล่ะ…” หลิงม่อถึงกับพูดไม่ออก
“ไม่ได้การ แกต้องอยู่กับฉันเท่านั้น…เอาอย่างนี้! ฉันจะซ่อนแกไว้ที่นี่อย่างลับๆ ดีไหม? ฉันจะหาของกินให้แก ฉัน…ฉันจะสอนแกวิจัยด้วย! ฉันยังสามารถทำให้แกแกร่งขึ้นได้ด้วย ทำให้แกรู้จักตัวเองมากขึ้น!” เหล่าหลันพูดละล่ำละลัก
“พ่อบ้าไปแล้วหรอ! นี่มันซอมบี้นะ!” หลันหลันตะคอก
“หลันหลัน แกรู้ไหมว่านี่เป็นโอกาสที่หายากขนาดไหน? ฉันอยากทำวิจัยเรื่องนี้มาโดยตลอด ไม่แน่ว่านี่อาจทำให้ฉันเข้าใจธรรมชาติของซอมบี้ก็ได้! วางใจ ฉันจะส่งแกไปอยู่อีกตึกหนึ่งเอง แกจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน…” เหล่าหลันรีบพูดขึ้น
หลิงม่อไม่คิดว่าเขาจะบ้าคลั่งได้ถึงขนาดนี้ แต่ว่าในขณะเดียวกัน นี่กลับแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเขา
เพื่องานวิจัย คนคนนี้ได้กลายเป็นบ้าไปแล้ว…
“ไม่ได้!” หลิงม่อปฏิเสธอย่างหนักแน่น ล้อกันเล่นหรือเปล่า เขาไม่ได้เดินมาให้คนอื่นวิจัยร่างกายตัวเองถึงที่ซักหน่อย “แต่เราสามารถหาทางอื่นที่เป็นกลางกับทั้งสองฝ่ายได้”
“ทางไหนล่ะ?” ได้ยินหลิงม่อปฏิเสธเหล่าหลันก็เผยสีหน้าผิดหวังออกมา แต่พอได้ยินประโยคหลังเขาก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“พวกแกไปกับฉัน?” หลิงม่อพยายามฉีกยิ้มออกมา
รอยยิ้มของเหล่าหลันค้างเติ่งไปทันที หลายวินาทีผ่านไป มุมปากเขาก็กระตุกยิกๆ “นี่มันค่อนข้าง…หักมุมไปเยอะเลยนะ”
หลิงม่อไม่รีบร้อน เขาเชื่อว่าเจ้าโรคจิตคนนี้ต้องทนต่อแรงยั่วยุไม่ไหวแน่นอน
ก็เหมือนกับคนบางคนที่หลงวัตถุ รู้ทั้งรู้ว่าข้างหน้าเป็นเหวลึก แต่เพื่อเงิน พวกเขาก็ยังกระโดดลงไปอย่างไม่ลังเล
สำหรับเหล่าหลัน หลิงม่อเป็นเหมือนภูเขาทองคำ ที่เขาไม่มีทางเมินเฉยไปได้แน่ๆ
“แกค่อยๆ คิดแล้วกัน อ้อใช่สิ สิ่งที่ทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองของฉันช้าลง คืออะไร?” หลิงม่อถาม
เหล่าหลันยังคงตกอยู่ในภวังค์สับสน ได้ยินก็ยกมือขึ้นชี้ขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
หลิงม่อจับหลันหลันเดินไปทางที่เขาชี้ พอเปิดตู้ออก ก็เห็นของเหลวหนืดสีแดงเลือดอยู่ก้อนหนึ่ง
“มันคืออะไร?” หลิงม่อหยิบขึ้นมาพลิกดูสองสามรอบ แล้วถามขึ้น
หลันหลันตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “เป็นสิ่งที่เอาออกมาจากในร่างกายของซอมบี้ที่กลายร่างแล้วตัวหนึ่ง สามารใช้ได้นานมาก แต่ต้องเอามาวางไว้ก่อนเป็นเวลานานถึงจะได้ผล ถึงตอนนี้นายจะเอาออกมาแล้ว การก่อกวนก็ไมได้หายไปทันที”
หลิงม่อรู้สึกว่าฝ่ามือชาขึ้นมาทันที โชคดีที่คนที่จับเจ้านี่ไม่ใช่ร่างจริงของเขา…
“เข้าใจแล้ว” หลิงม่อนำของเหลวหนืดก้อนนั้นใส่ในกระเป๋าใบหนึ่ง แล้วห่อทับอีกสองรอบ จากนั้นก็ยัดใส่กระเป๋าเสื้อตัวเอง
ถึงแม้หลันหลันไม่ได้หันมามอง แต่ก็เห็นการเคลื่อนไหวของหลิงม่อ เธอจึงทำหน้าบึ้งขึ้นมา “นี่นายฟื้นความเป็นคนส่วนไหนกลับมากันแน่?”
“ส่วนที่ปกติมาก” หลิงม่อตอบอย่างเรียบเฉย
เขาจับตัวหลันหลันเดินไปทางด้านหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ส่งกระแสจิตติดต่อเจ้ามาสเตอร์บอลออกไป
และตอนนี้ เจ้ามาสเตอร์บอลก็ได้ลงไปอยู่ที่ชั้นห้าแล้ว…
เจ้ามาสเตอร์บอลซ่อนกายอยู่ในเงามืด และด้านล่างของมันในตอนนี้กำลังมีแสงไฟฉายสาดส่องไปมาอย่างต่อเนื่อง
เจ้าหน้าที่ยามสองคนถือไฟฉาย และต่างกำลังตามหาอะไรบางอย่างตามขอบทางเดิน
ห่างออกไปไม่ไกลมีนักวิจัยอยู่อีกสองคน หนึ่งในนั้นสีหน้าร้อนรน เขาเงยหน้าถาม “หาเจอรึยัง!”
“ไม่เจอ!” เจ้าหน้าที่ยามคนหนึ่งตะโกนตอบ จากนั้นก็อดบ่นเสียงเบาขึ้นไม่ได้ “เจ้าบ้านั่นเดาถูกซะได้ ทำไมฉันถึงได้ซวยอย่างนี้วะ! แต่ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีคนลักลอบเข้ามานี่นา…”
—————————————————————————–