หลังจากเดินออกมาจากกลุ่มได้ไม่ไกล เจ้าหน้าที่ยามคนนั้นหยุดยืนอยู่กับที่ และมองไปทางอาคารทดลองอย่างสงสัย
เพราะเจ้าหน้าที่ทีมวิจัยขอให้ช่วย ประตูบานนั้นที่เดิมควรจะปิดสนิทไปแล้ว กลับยังเปิดแง้มเป็นช่องเล็กๆ อยู่
แต่ในเสี้ยววินาทีที่หันหลังกลับ เจ้าหน้าที่ยามคนนี้กลับสัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งรางๆ
หลังประตูบานนั้นมีคนอยู่? และเมื่อกี้คนคนนั้นก็กำลังยืนจ้องเขาจากตรงนั้น?
“สองคนนั้น? หรือจะเป็นจ้าหน้าที่วิจัย?” เจ้าหน้าที่ยามขมวดคิ้ว
เขาไม่ได้คิดเป็นอื่นเลยแม้แต่น้อย เมื่อกี้พวกเขารวมตัวอยู่จุดเดียวก็จริง แต่ในห้องโถงใหญ่เป็นพื้นที่โล่งกว้าง ไม่มีทางที่จะมีใครเดินเข้าไปโดยเล็ดลอดสายตาพวกเขาไปได้
อีกอย่างสมาชิกนิพพานทุกคนล้วนเคยถูกตักเตือนกันหมด พวกเขาจึงไม่มีทางบุ่มบ่ามมายังสถานที่แบบนี้แน่นอน
แต่ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปตรวจสอบ ประตูบานนั้นกลับสั่นไหวเล็กน้อย
ไม่นาน เสียง “แอ๊ด” ก็ดังเบาๆ พร้อมกับที่บานประตูทั้งสองบานถูกดึงออกไปคนละทางช้าๆ
เจ้าหน้าที่ยามจ้องมองตรงนั้นอยู่ตลอด เขาจ้องประตูที่ถูกเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่ละสายตา
แปลกมาก ใครกันแค่จะเดินออกมาก็ต้องเปิดประตูให้กว้างขนาดนี้…
“แอ๊ดดด…”
เสี้ยววินาทีที่ประตูถูกเปิดออกจนสุด ความมืดกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏสู่ครรลองสายตาเจ้าหน้าที่ยาม
เขาหรี่ตา และพยายามมองสถานการณ์ข้างในให้ชัดๆ
ผ่านไปหลายวินาที เขาได้ยินเสียงฝีเท้ารางๆ ขณะเดียวกันเงาร่างของใครคนหนึ่งก็ค่อยๆ เดินออกมาจากความมืดและปรากฏเด่นชัดขึ้น
ไม่ใช่แค่คนคนเดียว แต่ยังมีเงาร่างของขออีกมาก…
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เจ้าหน้าที่ยามตะลึง
เมื่อเงาร่างที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุดปรากฏชัดเจน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ยามคนนี้ก็หน้าถอดสีไปทันที
เขารู้สึกอ่อนยวบไปทั้งตัว แทบจะยกมือขึ้นกระชับปืนโดยสัญชาตญาณ
“โฮกก!”
เสียงคำรามดุร้ายราวสัตว์ป่า ดังก้องไปทั้งห้องโถงในพริบตา!
และด้วยเหตุนี้ ความเงียบสงบในนิพพานสำนักงานใหญ่จึงถูกทำลายลงในพริบตา!
ในฐานะที่เป็นถึงค่ายผู้รอดชีวิตที่มีผู้มีความสามารถพิเศษจำนวนมาก และมีจุดซุ่มยิงอันแน่นหนา ซอมบี้ไม่กี่สิบตัวไม่อาจสร้างปัญหาอะไรให้พวกเขาได้อยู่แล้ว
แต่หากซอมบี้เหล่านั้นกระโจนออกมาจากข้างใน สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ยังเป็นเวลาเที่ยงคืนอยู่ ขณะที่หลายคนตื่นจากความฝันอย่างมึนงง พวกเขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้
แต่หัวหน้าทีมซ่งที่เพิ่งกระโดดลงมาจากเตียง ใกล้จะเป็นบ้าแล้ว
ซอมบี้โจมตี? แต่ซอมบี้พวกนั้นมาจากที่ไหนกันล่ะ? !
หนีออกมาจากตึกทดลอง? แต่ซอมบี้ในตึกทดลองถูกขังอย่างแน่นหนามาโดยตลอดไม่ใช่หรือไง?
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องสาเหตุ สิ่งที่สำคัญคือจะจัดการปัญหาอย่างไรต่างหาก!
ซอมบี้พวกนี้โจมตีกะทันหันมาก แต่สิ่งที่น่ากลัวคือความเร็วในการเคลื่อนไหวของพวกมัน!
หลังจากจัดการเจ้าหน้าที่ยามกลุ่มหนึ่งเสร็จ พวกมันก็กระจายตัวไปทั่วทั้งสำนักงานใหญ่อย่างรวดเร็ว
พื้นที่บางจุดมีกลุ่มควันลอยออกมา ทำให้หลายๆ คนต้องพากันวิ่งออกจากห้องพักอย่างเร่งรีบ
เจ้าหน้าที่ยามส่วนมากถูกส่งตัวให้ไปคุ้มกันบุคคลระดับสูงพวกนั้น และสิ่งที่เจ้าที่ยามที่เหลือต้องเผชิญ กลับเป็นซอมบี้ถือปืน!
ตอนแรก หัวหน้าทีมซ่งนึกว่าตัวเองได้ยินผิด
ซอมบี้ยิงปืนเป็น? ล้อกันเล่นรึเปล่า!
แต่เมื่อเสียงปืนดังระรัว สีหน้าของหัวหน้าทีมซ่งก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
นี่มันฝูงซอมบี้ที่มีแบบแผน มีการรวมกลุ่ม และยังยิงปืนเป็นอีก!
แน่นอนว่าสองคำแรกพูดออกมาแล้วแทบไม่น่าเชื่อเลยด้วยซ้ำ แต่พฤติกรรมของซอมบี้เหล่านี้ผิดปกติมากจริงๆ!
คำอธิบายหนึ่งเดียวก็คือ พวกมันผ่านการทดลองของทีมวิจัยมาหลากหลายรูปแบบ ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้มาตรฐานของซอมบี้ธรรมดามาวัดได้
หัวหน้าทีมซ่งนึกถึงคำรายงานของเจ้าหน้าที่ยามคนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง “สิ่งที่ถือว่าโชคดีมากก็คือ พวกมันยิงปืนห่วยมาก…”
โชคดีบ้าอะไรเล่า! ถึงจะยิงปืนห่วยอีกแค่ไหน แต่พวกมันก็ยังเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่ามนุษย์อยู่ดี!
อีกอย่างไม่รู้เพราะอะไร พวกมันกลับหลบจุดซุ่มยิงพวกนั้นได้อย่างแม่นยำเหมือนจงใจ!
นั่นมันเรื่องบังเอิญหรอ?!
เจ้าหน้าที่ยามไม่อาจจัดการพวกมันได้ในเวลาอันสั้น ขณะเดียวกัน คนมากมายถูกบีบบังคับให้กระโดดออกจากตึก
ในขณะที่เกิดเรื่องวุ่นวายนี้ ทุกคนมีสีหน้าเดียวกันหมด : นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?!
ตอนที่ถูกคนระดับสูงเรียกตัวไปถาม หน้าของหัวหน้าทีมซ่งก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามเช่นกัน
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันนี่!
“รีบไปเร็ว ไปช่วยรองหัวหน้าทีมของทีมวิจัยออกมาให้ได้!”
นี่คือคำสั่งแรกของบอสใหญ่ที่ถูกประกาศกร้าวออกมา หลังจากที่เขาถูกคนคุ้มกันอย่างปลอดภัยแล้ว
แน่นอนคนนำทัพคือหัวหน้าทีมซ่ง ทว่าเขาไม่มีเจ้าหน้าที่ยามเหลือให้เรียกตัวแล้ว
ตอนที่เขาวิ่งขึ้นไปบนอาคารหอพักอย่างเร่งรีบ สถานการณ์ในตึกก็วุ่นวายโกลาหลมากแล้ว
คนมากมายกำลังแย่งกันวิ่งลงจากตึก และในเวลานี้ ร่างจริงของหลิงม่อก็ยกกระเป๋าเป้ขึ้นสะพาย จากนั้นก็เปิดประตูช้าๆ
แต่ในเสี้ยววินาทีที่เปิดประตูห้อง เขากลับชะงักค้างไป
หน้าประตู มีคนสองคนสู้กันอยู่…
มู่เฉินกำลังใช้มีดจ่อไปที่คออีกฝ่าย ขณะที่ในมืออีกฝ่ายถือปืนจ่อไปที่ท้องของมู่เฉิน
โชคดีที่ห้องพักของพวกเขาอยู่ค่อนข้างติดมุม บวกกับผู้มีความสามารถพิเศษส่วนมากได้ออกไปทำภารกิจกันแล้ว ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีคนอยู่ในชั้นนี้มากนัก
คนที่ถือปืนเป็นผู้หญิง พอได้ยินเสียงประตูเปิดสายตาของเธอก็ดูลนลานขึ้นมาทันที และตอนนี้เธอก็กำลังจ้องหน้าหลิงม่ออย่างตกใจ
“พี่หลิงมาได้…จังหวะพอดีเลย…” มู่เฉินขยับตัวลำบากมาก กว่าเขาจะพูดประโยคนี้ออกมาได้ ใบหน้าเขาก็แดงเถือกไปหลายส่วน
ผู้หญิงคนนั้นกัดริมฝีปาก สายตาฉายแววประหลาดใจขึ้นมาแวบหนึ่ง
แต่วินาทีถัดมาเธอก็รู้สึกมึนศีรษะขึ้นมากะทันหัน พอได้สติ ปืนในมือก็หายไปแล้ว
แม้แต่มู่เฉินเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาแค่เห็นหลิงม่อยื่นมือเข้ามา แล้วหยิบปืนไปจากมือหญิงสาวตรงๆ เท่านั้น
วินาทีนั้นเขาถึงกับตังเกร็งไปหมด ก็ปืนกระบอกนั้นกำลังจ่อมาที่ตัวเขานี่นา!
ช่วยบอกล่วงหน้าก่อนได้ไหมเล่า! ส่งซิกหน่อยก็ยังดี!
หลิงม่อเมินสายตาต่อว่าของมู่เฉิน พลางยกปืนขึ้นจ่อศีรษะหญิงสาวคนนั้นอย่างไม่ไว้หน้า แล้วถามว่า “ทำไมเป็นเธออีกแล้ว? เธอถือปืนมาที่ห้องฉันทำไม?”
ตอนที่เขากับมู่เฉินเพิ่งเข้ามาในนิพพานสำนักงานใหญ่ คนที่ใช้พลังจิตสำรวจกับเขา ก็คือผู้หญิงคนนี้
ถึงแม้จะมองเห็นแค่ไกลๆ แต่หลิงม่อก็จำเธอได้ทันที
หญิงสาวไม่พูดอะไร แต่สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิง
ตอนเที่ยงคืน เธอสัมผัสได้ถึงคลื่นดวงจิตที่ผิดปกติ จึงได้ออกมาสำรวจสถานการณ์ สุดท้ายเธอก็ฌดินตามคลื่นดวงจิตนั้นมาจนถึงหน้าห้องหลิงม่อ
แต่น่าเสียดายที่เธอยังไม่ทันได้ทำอะไร มู่เฉินที่กำลังดูลาดเลาอยู่ในห้องฝั่งตรงข้ามมาโดยตลอดก็พุ่งตัวออกมาทันที
ผลคือเธอถูกจับกุมได้ แล้วตอนนี้ยังถูกหลิงม่อจับได้คาหนังคาเขาอีก
หญิงสาวนึกประหลาดใจขึ้นมาทันที ถ้าหากสำนักงานใหญ่ไม่ได้เกิดเรื่องอยู่ ตอนนี้เธอคงจะถามออกไปแล้ว
แต่ตอนนี้…
“ฉันก็แค่เดินผ่านมา” หญิงสาวเม้มปาก แล้วพูดขึ้น
เธอไม่ได้คาดหวังว่าหลิงม่อจะเชื่อ แต่เธอก็ยังสามารถหาข้ออ้างต่อไปได้เรื่อยๆ
หลิงม่อแค่จ้องหน้าเธอ หลังครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็หันไปส่งสายตาให้มู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้าอย่างรู้หน้าที่ เขายกมือขึ้นทุบต้นคอเธอจนเธอหมดสติไปทันที
หญิงสาวไม่ทันได้ร้องสักแอะ เธอตาเหลือกขาวและหมดสติตัวอ่อนล้มลงไปทันที
“ทั้งหมดนี้ฝีมือนาย?” มู่เฉินวางร่างหญิงสาวลงกับพื้น แล้วถาม
สถานการณ์ด้านล่างโกลาหลมาก บวกกับหลายพื้นที่มีแสงสว่างจากเปลวเพลิง ดังนั้นไม่ว่าใครก็รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
“ฉันว่าแล้วว่านายไม่ได้แค่แฝงตัวเข้ามา! นี่มันเรียกว่าแฝงตัวที่ไหนกัน…” มู่เฉินโวยวาย
เขาไม่รู้เลยซักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้แค่ว่าจู่ๆ สำนักงานใหญ่ก็เกิดเหตุชุลมุนขึ้นกะทันหัน
“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ” หลิงม่อพูด พลางเหลือบมองหญิงสาวคนนั้น “อุ้มเธอไปด้วย”
“ทำไมต้องเป็นฉัน…” มู่เฉินบ่น แล้วจู่ๆ เขาก็มองไปที่ประตูห้องด้านหลังหลิงม่อ พร้อมกับหน้าถอดสีทันที “เชี่ย นายจุดไฟที่นี่ด้วยหรอ!”
“นายก็ช่วยจุดด้วยสิ” หลิงม่อพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
คนที่อยู่ในอาคารหอพักมีไม่มาก คนส่วนใหญ่แค่มุงดูเหตุการณ์อยู่ด้านล่างตึกเท่านั้น
ถึงแม้ผู้มีความสามารถพิเศษพวกนี้จะมีพลังต่อสู้สูง แต่ข้างนอกนั้นเต็มไปด้วยลูกกระสุนบินว่อน และความวุ่นวาย ดังนั้นจึงมีคนไม่มากที่วู่วามโผล่หน้าออกไป
หัวหน้าทีมซ่งเพิ่งจะมาถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากด้านบน “ไฟไหม้ หนีเร็ว!”
พอเสียงตะโกนดัง คนด้านล่างต่างพากันแตกตื่นทันที
มีคนหลายคนวิ่งผ่านหัวหน้าทีมซ่งไป พลางเงยหน้ามองตึกด้านบน
“เชี่ยย! ไฟไหม้แล้ว!”
“ไฟไหม้จริงๆ ด้วย!”
ได้ยินเสียงคนตะโกนขึ้นอย่างนี้ ฝูงชนที่มุงอยู่ข้างล่างต่างพากันอึ้งงัน จากนั้นก็แยกย้ายกันวิ่งไปคนละทาง
ท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน หัวหน้าทีมซ่งเห็นเพียงเงาคนมากมายกำลังวิ่งหนีออกไป และเขาก็ไม่อาจตะโกนหยุดยั้งพวกเขาไว้ได้
แต่ก็ไม่แปลก เพราะไฟไหม้ไปทั่วทุกจุด จนตอนนี้พื้นที่ศูนย์กลางกลายเป็นโซนอันตรายไปแล้ว มีเพียงต้องหนีไปยังพื้นโล่งกว้างข้างนอกนั่นถึงจะปลอดภัย
“ชิบ! ทำไมที่นี่ถึงได้ไฟไหม้ด้วยเนี่ย!”
ในตอนนั้นเอง หลิงม่อกับมู่เฉินกำลังวิ่งลงบันไดมา พวกเขาคนหนึ่งสะพายกระเป๋าเป้ คนหนึ่งหามร่างหญิงสาวไว้ จึงดูสะดุดตากว่าคนอื่นๆ
หัวหน้าทีมซ่งยืนเบียดเสียดกับฝูงชนมานาน แค่กลับเหลือบเห็นพวกเขาได้ในทันที
“เจ้าสองคนนั้น แบกสัมภาระมาด้วย!”
เขาจำทักษะการแสดงของมู่เฉินได้เป็นอย่างดี จึงรีบวิ่งเบียดเข้าไปขวางทางพวกเขา
“อย่าเพิ่งหนี ตามฉันไปช่วยคนก่อน! แล้วจะตอบแทนด้วยระดับผลงานให้!”
—————————————————————————–