ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการหนีออกจากสำนักงานใหญ่ แม้แต่หลิงม่อเองก็ยังพูดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุด แต่หลันหลันกลับมองไม่เห็นความกังวลจากตัวเขาเลยซักนิด
เขาไม่เคยหยุดเดินเลย สายตาจดจ้องไปข้างหน้าตลอดเวลา แต่เขากลับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายทุกเรื่องราวกับเห็นด้วยตา
ระหว่างทางมีคนบางส่วนพยายามยื่นมือเข้ามาดึง หลิงม่อก็ยกเท้าถีบไปข้างหลัง จากนั้นก็โยนซอมบี้ไปให้พวกเขา เขาเดินไปถึงไหน ความวุ่นวายก็ตามไปถึงนั่น
หลันหลันคอยสังเกตดูอยู่เงียบๆ ตลอด แล้วเธอก็พบว่าในเสี้ยววินาทีที่หลิงม่อเข้าใกล้บรรดาซอมบี้ พวกมันล้วนตกสู่ภวังค์มึนงง ผลสุดท้ายปรากฏว่าเขาทำให้มนุษย์คนหนึ่งกลายเป็นลูกบอลโบว์ลิ่งที่พุ่งชนพินซอมบี้
“ทำอย่างนี้เพื่อไม่ให้พวกเขาว่างมากไป ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็จะเอาแต่มองซ้ายมองขวา” หลิงม่ออธิบาย
หลันหลันได้ยินก็กลอกตาขาว นายแค่บอกว่าตัวเองเจ้าเล่ห์ก็พอแล้วมั้ง!
ถึงจะหาเหตุผลดีๆ มาอธิบาย ก็ไม่ได้ทำให้นายสูงส่งขึ้นมาหรอกนะ!
ทว่าถึงปากจะไม่พูดออกไป แต่ความจริงหลันหลันก็ลอบทึ่งหลิงม่ออยู่ในใจเหมือนกัน
แค่ความสงบนิ่งและวิธีการนี้ของเขา ก็ทำให้คนตะลึงได้แล้ว
ที่นี่มีคนอยู่เต็มไปหมด หากเผลอไผลไปแม้เล็กน้อยก็อาจถูกคนจับได้ และทันทีที่เผยพิรุธ เธอกับเหล่าหลันนั้นไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่หลิงม่อกับมู่เฉินต้องตายแน่ๆ
พยายามลักพาตัวบุคคลสำคัญของสำนักงานใหญ่ไป แค่ข้อหานี้ก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาตายซ้ำๆ สี่ห้ารอบแล้ว!
แต่หลิงม่อกลับทำให้เธอรู้สึกว่า เขาไม่ได้ไม่แคร์เรื่องพวกนี้ แต่มันเป็นความรู้สึกพิเศษอย่างหนึ่ง
เหมือนเขารู้ดีถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น แต่กลับต้องทำเพราะเหตุจำเป็นบางอย่าง และเขาก็ทำด้วยความเต็มใจ
“แต่เขาสนใจเรื่องอะไรกันแน่นะ? สารแอนติบอดี? ธรรมชาติของเชื้อไวรัส? หรือว่า…วิธีการที่ซอมบี้จะสามารถมีความเป็นคนได้?” หลันหลันอดคิดไปเรื่อยเปื่อยไมได้
ภายในรถบัสโรงเรียน สีหน้าของบรรดาสมาชิกระดับสูงต่างตึงเครียดมาก บางคนในกลุ่มถึงขั้นเหงื่อท่วมตัว จนเสื้อผ้าเปียกชื้นไปหมด
หนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้นมีหัวหน้าทีมวิจัยรวมอยู่ด้วย และเขาก็เป็นคนที่มีสีหน้าย่ำแย่ที่สุด ผ้าเช็ดหน้าในกำมือถูกยกขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากอยู่ตลอดเวลา
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากทีมวิจัย แล้วเขาจะไม่หวั่นใจได้อย่างไร?
สิ่งที่กำลังบุกเข้ามาในตอนนี้ ก็เป็นตัวทดลองที่ทีมวิจัยสร้างขึ้นมาเช่นกัน
พอเจ้าหน้าที่ยามคนนั้นออกไป เขาก็เปิดปากพูดอย่างระมัดระวัง “ตัวทดลองพวกนี้ ดูแลโดยทีมลาดตระเวน…”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินคนตบโซฟาเสียงดัง “หมายความว่าอย่างไร? คิดจะโยนความผิดอย่างนั้นหรือ?”
หัวหน้าทีมวิจัยเชิดคอขึ้น พลางเถียงกลับเสียงแข็ง “ผมฉันพูดความจริง! คุณคิดว่าตัวทดลองพวกนี้ใครจะเอาออกมาก็ได้หรอ? ถ้าหากไม่ได้มีคนจงใจล่อออกมา พวกมันคงไม่มีทางแห่มาถึงที่นี่เร็วขนาดนี้ อีกอย่าง มีตาข่ายเหล็กกั้นอยู่อย่างนี้ พวกมันจะบุกเข้ามาได้อย่างไร?”
คนที่ยกมือตบโซฟาแค่นเสียงเย็น แล้วบอกว่า “นั่นมันตัวประหลาดที่พวกคุณสร้างขึ้นมาเอง จะมาถามผมได้ไง”
“ผมไม่ได้โยนความผิด แค่อยากจะบอกว่า เรื่องนี้มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่แค่ทีมวิจัยที่มีผู้ให้ความร่วมมือ ทีมลาดตระเวนก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแน่ๆ ไม่แน่ อาจมีคนจากกองกำลังอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็ได้ พวกที่กระจัดกระจายกันอยู่ข้างนอกนั่น จะไม่มีทางมาก่อเรื่องอย่างนี้เชียวหรือ?” หัวหน้าทีมวิจับบอก
พอพูดถึงกองกำลังอื่น ทุกคนต่างนึกถึงการล่มสลายของสาขาย่อยขึ้นมาพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย
เป็นไปได้ยากที่จะโยงเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน ดังนั้นการคาดเดาของหัวหน้าทีมวิจัย จึงได้รับการยอมรับจากทุกคนทันที
ผู้รอดชีวิตทั่วไปไม่มีทางทำเรื่องอย่างนี้ได้ มีเพียงกองกำลังอื่นเท่านั้นที่จะมีแรงขับเคลื่อนและพลังอย่างนี้
และกองกำลัง “อื่น” ที่ว่านี้ ก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น : ฟอลคอน!
ทว่าพอคิดถึงจุดนี้ สีหน้าของพวกเขาล้วนตึงเครียดขึ้นมาทันที อีกฝ่ายสาวมือเข้ามาในสำนักงานใหญ่ได้เร็วอย่างนี้เชียวหรือ?
บางคนถึงขั้นคิดไปไกลยิ่งกว่า หรือเป็นเพราะพวกเขากำลังจะเริ่มความสัมพันธ์กับค่ายผสานความร่วมมือของมนุษย์ อีกฝ่ายถึงได้เร่งรีบสร้างเรื่องอย่างนี้ขึ้นมา
เรื่องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นทะแม่งๆ!
“เรื่องพวกนั้นค่อยว่ากันทีหลัง ปัญหาคือตอนนี้จะทำอย่างไร?” มีคนพูดแทรกขึ้น
เรื่องนี้บานปลายใหญ่โตมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นทำให้คนระดับสูงพวกนี้ลนลานทำอะไรไม่ถูก
ซอมบี้ที่อยู่ในอาคารไม่ช้าก็เร็วอย่างไรก็ต้องถูกกวาดล้างจนเกลี้ยงอยู่ เปลวไฟก็ยังลุกลามแค่ในบริเวณที่ควบคุมได้ ส่วนตัวทดลองที่บุกเข้ามาจากนอกรั้ว มีเจ้าหน้าที่ยามกับผู้มีความสามารถพิเศษอยู่มากมายขนาดนี้ ใช้เวลาไม่นานพวกมันก็ต้องถูกกำจัดจนสิ้น
สิ่งที่คนคนนี้ถาม ไม่ใช่จะแก้ปัญหาอย่างไรดี แต่เป็นจะลากตัว “หนู” ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ออกมาด้วยวิธีไหนดีต่างหาก
ขายหน้าก็ขายไปแล้ว อย่างไรก็ต้องหาวิธีกู้สถานการณ์หน่อยหรือเปล่า?
และการจับตัวผู้ร้ายให้ได้ ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ชีวิตเล็กๆ ของพวกเขาสามารถปลอบขวัญผู้คนได้ และยังสามารถกู้หน้ากลับมาให้นิพพานด้วย
ใครคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “พวกคุณว่า ที่พวกมันปล่อยซอมบี้นอกรั้วเข้ามา คงไม่ใช่แค่สร้างปัญหาเฉยๆ หรอกใช่ไหม?”
“ถ้าอย่างนั้น…สร้างสถานการณ์ให้คนหนี?”
พอเขาพูดออกมาอย่างนี้ ทุกคนในที่นี้ก็เริ่มมีปฏิกิริยาทันที
“ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นใกล้จะสองนาทีแล้ว พวกมันหนีไปได้แล้วหรือเปล่า!” มีคนคำนวณเวลา พลางพูดขึ้น
เสียงถกเถียงดุเดือดขึ้นอีกครั้ง บางคนทำท่าว่าจะไปหาเจ้าหน้าที่ยาม
แต่ในตอนนั้นเองกลับมีคนสังเกตเห็น ว่าบอสใหญ่กำลังนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
“บอสใหญ่?” หัวหน้าทีมวิจัยเรียกเสียงเบา
เขาเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงที่สุดกับเรื่องนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นคนสร้างปัญหานี้ขึ้นมา ขอเพียงจับคนคนนั้นมาได้ ความผิดที่เขาต้องแบกรับก็จะน้อยลงมาก
พอคิดว่าตัวเองมองข้ามจุดนี้ไป เขาก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา
ต้องโทษสถานการณ์ตอนนี้…ที่มันวุ่นวายเกินไป!
บอสใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงได้ยกมือขึ้นบอกว่า “ไม่ต้องใจร้อน ฉันรอให้พวกเขาโผล่หางออกมาตั้งนานแล้ว”
พอเขาพูดอย่างนี้ ทุกคนต่างก็ตกใจ พูดอย่างนี้ แสดงว่าเขารู้นานแล้ว?
ทว่าท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน สีหน้าของบอสใหญ่กลับดูเคร่งขรึม
เขากำหมัดแน่น สายตาฉายแววโหดเหี้ยมขึ้นมาปราดหนึ่ง
กล้าโอหังเข้ามาเหยียบหัวเขาถึงถิ่น…ไม่ว่าจะเป็น “หนู” พวกนี้ หรือผู้อยู่เบื้องหลัง เขาจะลากมันออกมาให้หมดทุกตัว!
แต่ในฐานะตัวการปัญหา หลิงม่อกลับไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่เรื่องสาขาย่อยในเมืองตงหมิงจนถึงตอนนี้ เขาได้ทำให้ฟอลคอนโดนลูกหลงไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
ตอนนี้เขากำลังจูงมือหลันหลันไปหลบด้านหลังรถออฟโรดคันหนึ่ง และกำลังจ้องรูโหว่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนั่น
จากจุดที่เขาอยู่ไปถึงรูโหว่ตรงนั้น ห่างกันสิบกว่าเมตรเท่านั้น และตรงกลางก็ไม่มีผู้มีความสามารถพิเศษคอยขวางทาง
หลังห่ากระสุนผ่านไป บริเวณรูโหว่บนตาข่ายเหล็กมีตัวทดลองล้มอยู่เจ็ดแปดตัว หนึ่งในนั้นยังไม่หมดลมหายใจ มันกำลังนอนกระตุกสั่นไม่หยุดอยู่ท่ามกลางกองเลือด
หลิงม่อรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ซึมออกมาจากฝ่ามือของหลันหลัน จึงหันไปมอง แล้วถามเสียงเบา “เธอกลัว?”
“ใครกลัวเล่า…” หลันหลันเถียงข้างๆ คูๆ
หลิงม่ออดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ถึงเด็กสาวจะคลุกคลีอยู่กับซอมบี้มามากแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังไม่เคยเห็นฉากนองเลือดอย่างนี้อยู่ดี
ระหว่างทางเธอก็บอกแล้ว ทุกครั้งที่เหล่าหลันทำการทดลอง เธอจะถูกไล่ออกนอกห้องเสมอ และเพราะเธอว่างจนเบื่อ เธอถึงได้มักเดินเตร็ดเตร่อยู่ใน “ห้องเก็บของสะสม” ชั้นนอกสุด ถึงแม้จะดึกแค่ไหนแล้วก็ตาม
ตอนที่พูดเรื่องพวกนี้ ถึงแม้ใบหน้าเธอจะมีรอยยิ้ม แต่หลิงม่อกลับมองเห็นความโดดเดี่ยวของเธอ
ถ้าไม่ว่างจนเบื่อขนาดนั้น เด็กสาวปกติคนหนึ่งจะไปเล่นสนุกกับ “ของสะสม” พวกนั้นทั้งวี่ทั้งวันได้อย่างไร…
แต่หลิงม่อเพิ่งจะพูดออกไปอย่างนี้ หลันหลันก็ค้านเสียงแข็งกลับมาว่า “นายพูดอะไรน่ะ! แล้วฉันไม่ปกติตรงไหน! ก็ฉันชอบสัตว์ประหลาดพวกนั้น นายจะทำไม!”
“แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่ชอบแล้วล่ะ?” หลิงม่อถาม
หลันหลันกลอกตาขาวใส่หลิงม่ออย่างหงุดหงิด เขาชี้ไปทางซอมบี้ที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่ในกองเลือด ร่างกายทั้งร่างถูกยิงจนพรุนแล้วถามว่าเธอชอบไหม…นี่มันจงใจชัดๆ!
“ทำไมยังไม่ไปอีกล่ะ?” มู่เฉินย่องเข้ามาด้านหลัง แล้วถามเสียงเบา
สีหน้าของหลิงม่อเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที เขาเงยหน้าแล้วพยักพเยิดไปยังทิศทางนั้น “ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ”
“ไม่ปกติยังไง?” เหล่าหลันเองก็ถามด้วย
น้ำเสียงของเขากลับฟังดูเหมือนกำลังตื่นเต้น มู่เฉินหันไปมองเขาอย่างประหลาดใจ แล้วตาเฒ่าสติฟั่นเฟือนคนนี้ก็ยิ้มอย่างได้ใจ “ทำไมล่ะ? ยังไงฉันก็ไม่ตายอยู่แล้ว”
“ถ้าหากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจริงๆ ผมจะจับลุงเป็นเบาะหลัง (แพะรับบาป) คนแรกเลย” มู่เฉินพูดอย่างหงุดหงิด
“พวกนายคิดดูสิ รูโหว่ใหญ่ขนาดนี้ พวกนั้นก็มองเห็นกันทุกคนแล้ว ทำไมไม่เข้าไปขวาง?” หลิงม่อถาม
หลันหลันขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ขวางไปก็ไม่มีประโยชน์นี่นา ยังไงซอมบี้ก็เข้ามาหมดแล้ว”
“ไม่ได้หมายถึงขวางซอมบี้ หมายถึงทำไมไม่ขวางพวกเรา” หลิงม่อส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น
อีกสามคนที่เหลือต่างชะงัก จากนั้นก็ดึงสติกลับมา
ใช่แล้ว เรื่องราววุ่นวายขนาดนี้ พวกคนระดับสูงจะคิดไม่ได้ได้อย่างไรว่ามีคนหักหลัง?
ถึงแม้รูโหว่นั้นจะเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน แต่ด้วยความสามารถของสำนักงานใหญ่ ตอนนี้น่าจะมีคนไปเฝ้าตรงนั้นเป็นพิเศษแล้ว
“นี่คือ “กับดักจับหนู” ที่พวกเขาสร้างขึ้น” หลิงม่อบอก
—————————————————————————–