“หนี…หนีไปแล้ว?”
หัวหน้าทีมวิจัยยืนเซอยู่กับที่ เขาเกือบจะคิดว่าหูตัวเองมีปัญหาซะแล้ว
“คนที่หนีไป…คือรองหัวหน้าทีม? ตาเฒ่าบ้านั่นงั้นหรอ?”
เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว พอได้สติก็รีบวิ่งไปทางประตูรถอย่างล้มลุกคลุกคลาน แล้วก้มตัวลงมองลอดช่องประตูไปยังประตูทางเข้าอย่างรวดเร็ว
น่าเสียดายที่สายตาของหัวหน้าทีมคนนี้ไม่ได้ดีมาก ลูกตาทั้งสองข้างถลึงกว้างจนแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าแล้ว แต่กลับมองเห็นเพียงปากปืนที่กำลังมีควันไฟพวยพุ่งออกมาเท่านั้น
“นาย!นายมานี่!”
เขามองซ้ายมองขวา แล้วจู่ๆ ก็หันไปชี้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่ง พร้อมตะโกนเรียกเขาเข้ามา
เนื่องจากเร่งรีบ เขาถึงกับตะโกนเสียงหลง จนเสียงแหลมผิดปกติเลยทีเดียว
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นสะดุ้ง จากนั้นก็ย่อตัวพุ่งเข้าไปหาเมื่อเห็นหัวหน้าทีมวิจัยโบกมือเรียกตัวเองอย่างบ้าคลั่ง
เพิ่งจะไปถึงตรงหน้า มืออันเหี่ยวแห้งของหัวหน้าทีมวิจัยก็กระชากคอเสื้อเขาทันที
ตาเฒ่าที่มีตำแหน่งในนิพพานสำนักงานใหญ่เป็นคนใหญ่คนโตท่านนี้ สีหน้าของเขาในตอนนี้ได้เปลี่ยนจากเข้มขรึมเหมือนในเวลาปกติ เป็นสีหน้าอันบิดเบี้ยวและดุร้าย
“นายเห็นชัดหรือเปล่า? ตกลงว่าใครกันแน่ที่หนีไป!”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถูกกระชากคอเสื้อจนหายใจติดขัดเล็กน้อย เขาตอบอย่างยากลำบาก “ดูเหมือนจะมีสามคนครับ หนึ่งในนั้นสวมชุดกาวน์สีขาว ผมสีดอกเลา ข้างหลังยังมีคนรูปร่างเล็กคนหนึ่งวิ่งตามไป…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็รู้สึกเหมือนคอเสื้อหลวมออกทันที ไม่นานก็พบว่าหัวหน้าทีมคนนี้ได้ทรุดลงไปนั่งกับพื้นเรียบร้อยแล้ว
“เป็นเขา เขากับลูกสาวของเขา…ไม่…นี่มันเป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้หรอก…”
หัวหน้าทีมพึมพำซ้ำไปซ้ำมาด้วยแววตาเลื่อนลอย “ทำไมเขาต้องหนีด้วย? เขาจะหนีไปทำไม? เขาอยากได้อะไรฉันก็หามาให้หมดแล้วนี่นา!”
พุดถึงตรงนี้ เสียงของเขาก็เหวสูงขึ้นทันที สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้งสุดขีด “ตาแก่สารเลวนั่น ไม่คิดเลยว่ามันจะหนีไป! มันตั้งใจทำร้ายฉัน นี่มันตั้งใจจะทำร้ายฉันชัดๆ!”
แล้วเขาก็พุ่งตัวไปทางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดิมอีกครั้ง จนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตกใจตัวสั่น
“ทำไมฉันต้องเสือกมายืนมุงดูอะไรตรงนี้ด้วยเนี่ย รู้อย่างนี้น่าจะไปอยู่ห่างๆ ซะก็ดี…” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยน้ำตาไหลอาบแก้ม
“ไป!ถ่ายทอดคำสั่งลงไป! ไปจับตัวเขากลับมาให้ฉัน! ต้องจับกลับมาให้ได้!” หัวหน้าทีมวิจัยตะโกนลั่น
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสีหน้าลำบากใจ ห่ากระสุนลงขนาดนี้ จะให้พวกเขาไปจับยังไงล่ะ?
ความจริงจะอ้อมหลบออกไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่อีกฝ่ายกล้าวิ่งหนีออกไปทางประตูหน้าอย่างอุกอาจขนาดนี้ จะไม่มีกำลังเสริมคอยช่วยเลยหรือ?
ถ้าพวกเขาคลำความมืดออกไปไล่ตามพวกนั้น ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือ…
แต่พอเห็นแววตาคลุ้มคลั่งของหัวหน้าทีมวิจับ สุดท้ายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ไม่กล้าพูดความในใจออกมา ทำได้เพียงฝืนใจพยักหน้า “ผมจะไปรายงานครับ”
หลังจากมองดูเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกลับเข้าไปในกลุ่มคน หัวหน้าทีมวิจัยก็รู้สึกเหมือนทั้งร่างกายหมดเรี่ยวแรงไปทันที
เขาเค้นเสียงพูดอย่างขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน “พวกแซ่หลัน…เจ้ามู่เฉิน แล้วยังเจ้าเด็กเมื่อวานซืนแซ่หลิง…”
หลังจากทวนซ้ำไปซ้ำอย่างเจ็บแค้น เล็บมือของเขาก็จิกลึกเข้าไปในเนื้อ
ท่าทางที่จู่ๆ ก็เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาของหัวหน้าทีมวิจัย สมาชิกระดับสูงคนอื่นๆ ต่างเห็นแล้ว
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ดุเดือด แต่ก็รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวด้วยเช่นกัน
เกิดเรื่องวุ่นวายมาเกือบทั้งคืน มีแค่วินาทีนี้เท่านั้น ที่พวกเขารู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของศัตรูอย่างแท้จริง
ที่แท้…นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขานี่เอง!
และการโจมตีครั้งนี้ของเขา ก็แทบจะกระชากกระดูกสันหลังของนิพพานไปเลยทั้งแถบ
รองหัวหน้าทีมวิจัยคือใคร? เขาคือรากฐานของทีมวิจัยเชียวนะ!
ก็ไม่แปลกที่หัวหน้าทีมจะโกรธจนตัวสั่นขนาดนั้น เมื่อรากฐานของทีมถูกขุด คุณค่าของทีมวิจัยก็ลดฮวบลงทันใด
แต่ไหนแต่ไรมา เขาเป็นคนที่มีตำแหน่งและอำนาจสูงที่สุดในบรรดาสมาชิกระดับสูง แต่หลังจากผ่านคืนนี้ไป ตำแหน่งของเขาก็คงไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว…
“หลังเกิดภัยพิบัติอุตส่าห์ไต่เต้าขึ้นมาอยู่ระดับสูง และสลัดคำว่า “รอง” ที่อยู่ติดตัวมาหลายสิบปีออกจนสำเร็จ กำลังเป็นช่วงขาขึ้นที่สดใสของเขาเลย สุดท้าย…” ชายคนหนึ่งยกมือปาดเหงื่อพลางพูดขึ้น
“แต่บอสใหญ่เป็นอะไรไปน่ะ? สีหน้าเหมือนจะแย่ลงนะ…” ในที่สุดก็มีคนสังเกตเห็นบอสใหญ่ที่ถูกหลิงม่อสูบลมแล้ว ทว่าคนคนนี้เพียงตะโกนออกมาด้วยความสงสัยคำสองคำ แต่กลับจับต้นชนปลายไม่ถูก…
ขณะเดียวกัน ในที่สุดชายแว่นดำก็ถูกดึงเข้ามาใกล้หลิงม่อโดยที่ไม่อาจขัดขืนได้
“อ๊ากๆๆๆ!” เขาตะโกนเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ชายถือท่อนเหล็กเบิกตามองขึ้นมา พลางตะโกนเสียงแข็ง “แกกล้าดียังไง!”
“กล้าไม่กล้าก็ทำไปแล้ว” หลิงม่อเจียดเวลาหันมายิ้มให้เขา
เขากำลังก้าวเท้าซ้ายขวาสลับกัน เหมือนกำลังเดินเล่นกลางอากาศอยู่ แต่ดูจากร่างกายที่ยืดเกร็งของเขา กลับเห็นได้ชัดว่าเขากำลังใช้วิธีการบางอย่างยึดร่างตัวเองให้มั่นคงอยู่กลางอากาศ
แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์ของเขา ก็ดูดีกว่าท่าปีนตาข่ายเหล็กเหมือนปลาหมึกยักษ์ของชายถือท่อนเหล็กเยอะ
ยิ่งพอเขาส่งรอยยิ้มหยันลมาจากข้างบน…
“แกรนหาที่ตายเกินไปแล้ว!” ชายถือท่อนเหล็กสบถด่า
“จะโกหกใครก็ต้องดูสถานการณ์ซะบ้างสิ ระดับแกอย่ามากวนใจฉันดีกว่า อ่อนหัดเกินไปแล้ว” หลิงม่อพูดขึ้น
ชายถือท่อนเหล็กชะงัก ไม่นานเขาก็สะกดกลั้นอารมณ์จนหน้าแดงเถือก
ไม่คิดเลยว่าจะถูกมองออกทันทีอย่างนี้!
จะว่าไป ทั้งที่เจ้าหมอนี่กำลังพูดคุยตอบโต้กับเขา แต่ทำไมไม่เห็นเกิดผลกระทบอะไรเลยล่ะ…ไหนบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้มีพลังจิตคือสมาธิไม่ใช่หรือ?
หรือว่า…เขาไม่ได้สนใจฉันแต่แรกอยู่แล้ว!
ชายถือท่อนเหล็กโกรธจนกัดฟันดังกรอดๆ สายตาของเขามองกลับไปกลับมาระหว่างหลิงม่อกับชายแว่นดำ เพื่อจ้องหาจังหวะลงมือ
“คิดจะแย่งคนไปจากมือฉันหรอ? แต่แกช้าเกินไปหน่อยนะ” หลิงม่อกลับพูดต่อ “แกปีนขึ้นมาไวกว่าเขาบินเข้ามาไม่ได้หรอก”
“…” ชายถือท่อนเหล็กแทบกระอักเลือดด้วยความแค้น เจ้าหมอนี่ยังมีอารมณ์มาเย้ยหยันเขาอีกหรือนี่!
ทว่าหลิงม่อก็ไม่ได้พูดผิดแต่อย่างใด ชายถือท่อนเหล็กต้องหลบหลีกลูกกระสุน แล้วยังต้องปีนขึ้นข้างบนไปด้วย จึงทำให้เขาเพิ่มความเร็วมากกว่านี้ไม่ได้จริงๆ
แต่เพราะเหตุนี้ ชายถือท่อนเหล็กกลับยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม
ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายได้เปรียบแล้วแท้ๆ แต่ทำไมยังใช้อุบายเดียวกันกับเขาล่ะ!
เวลานี้เขาได้ยินเสียง “วืด” ดังเข้ามาใกล้ ซึ่งนั่นคือเสียงร่างชายแว่นดำแหวกลมเข้ามานั่นเอง
ชายถือท่อนเหล็กคำรามเสียงต่ำ แล้วเขาก็ดีดตัวออกจากตาข่ายเหล็ก หมุนตัวกระโจนเข้าไปหาร่างชายแว่นดำ
จุดประสงค์ของเขาชัดเจนมาก ไม่ว่าชายแว่นดำจะบินเข้ามาอย่างไร ขอเพียงกระโจนคว้าร่างเขาให้ได้ เท่านั้นก็ถือว่าแก้ปัญหาได้แล้ว
ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังดีกว่าตกอยู่ในกำมือของหลิงม่อ!
ปรากฏว่าเพิ่งจะปล่อยมือออกจากตาข่ายเหล็ก เขาก็ไดยินเสียงหลิงม่อที่อยู่ข้างบนตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “แกก็ใช้ไม้ของแกตีสิ”
ชายแว่นดำที่ลอยอยู่กลางอากาศตัวเกร็งไปทั้งร่าง นี่เห็นเขาเป็นลูกเบสบอลหรืออะไร!
ชายถือท่อนเหล็กเองก็ชะงักไปเล็กน้อย เจ้าหมอนี่มันไม่จบไม่สิ้นจริงๆ!
ทว่าความสามารถในการดีดตัวและกระโดดขึ้นสูงของเขาน่าทึ่งมากจริงๆ แค่ชะงักไปชั่วครู่ไม่ได้ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาะดุดเลยแม้แต่น้อย
พอเห็นว่านิ้วมือของตัวเองใกล้จะคว้าโดนร่างชายแว่นดำแล้ว ชายถือท่อนเหล็กก็อดกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้
ถึงแม้การก่อกวนจะไม่สำเร็จ แต่คนคนนี้ก็ย่ามใจเกินไปแล้ว…
แต่ในเสี้ยววนาทีนี้เอง สายตาเขากลับพล่าเลือนไปชั่วขณะ
“หื้ม?”
ขณะที่เครื่องหมายคำถามก็ผุดขึ้นมาในสมอง เสียงกรีดร้องของชายแว่นดำก็เหมือนจะใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางความมึนเบลอ ชายถือท่อนเหล็กยังคิดอย่างสงสัยในใจว่า “ไม่ใช่สิ ฉันกระโจนเข้าไป คนก็ต้องอยู่ข้างล่างฉันสิ…”
“อ๊ากกก!”
ความเจ็บที่เกิดจากใบหน้ากระแทกกับพื้นอย่างแรงปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์มึนงง เขาสะบัดหัวแรงๆ แล้วพยุงร่างกายที่ข้อต่อเกือบจะหลุดออกจากกันขึ้นช้าๆ แต่กลับมองเห็นหลิงม่อแบกร่างชายแว่นดำทิ้งตัวลงพื้นอย่างง่ายดาย
หลิงม่อโบกมือให้เขา ทั้งที่มีตาข่ายเหล็กกั้นขวางอยู่ตรงหน้า “ทัชดาวน์ได้แต้มแล้วนี่”
ชายถือท่อนเหล็กที่ยังมึนงงไม่ค่อยได้สติไม่สบอารมณ์ “แกคิดว่ากำลังเล่นบาสฯ อยู่หรือไงหา!”
“ช่วงเวลาที่ศัตรูลอยตัวอยู่กลางอากาศลงมือง่ายกว่านี่นา…” หลิงม่อยิ้มบาง
ชายถือท่อนเหล็กพุ่งตัวเข้าใส่ตาข่ายเหล็ก พลางเขย่าอย่างแรง “แกห้ามไปไหนเด็ดขาด! ถ้าแกกล้าพาตัวเขาไป ฉันรับรองได้เลยว่าแกจะตายอย่างน่าอนาถยิ่งกว่านี้!”
“อ้อหรอ…” หลิงม่อยกเท้าเตะเอวชายแว่นดำหนึ่งที เพื่อหยุดเสียงโอดครวญของเขาให้เงียบลง ขณะเดียวกันก็หันไปถามด้วยรอยยิ้มว่า “เขาเป็นคนสำคัญมากหรอ?”
หลิงม่อถามสองแง่สองง่าม ขณะเดียวกันเขาก็กำลังสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของชายแว่นดำด้วย
ถึงแม้ท้องฟ้าจะมืดมัว แต่สายตาของหลิงม่อดีกว่าคนธรรมดามาก
และที่เขาหยุดถาม ก็เป็นเพราะเขามีคำตอบในใจรางๆ แล้ว…
ชายถือท่อนเหล็กเห็นหลิงม่อเตะชายแว่นดำ สีหน้าพลันยิ่งดุดันขึ้นกว่าเกา แต่พอหลิงม่อถามออกมาอย่างนี้ สีหน้าของเขาก็มีพิรุธขึ้นมา จากนั้นเขาก็ยืดคอตอบเสียงแข็ง “ทำไม แกกลัวล่ะสิ? ฉันจะบอกให้…”
“อั่กๆ…” ชายแว่นดำยกมือกุมเอวในขณะที่ร่างกายกระตุกสั่นไม่หยุด แต่พอได้ยินประโยคนี้เขากลับอดเปิดปากส่งเสียงขึ้นมาไม่ได้
แต่ลูกเตะเมื่อกี้ของหลิงม่อไม่ได้เบาเลย ตอนนี้เขารู้สึกว่าไตของเขาใกล้จะหลุดออกมาจากอวัยวะบางส่วนแล้ว จะยังมีแรงเหลือให้พูดเสียที่ไหน ทำได้เพียงส่งเสียงครวญครางสองที และหวังว่าชายถือท่อนเหล็กจะเข้าใจ…
“แก…” ชายถือท่อนเหล็กคิ้วกระตุกยิกๆ ด้วยความแค้น “แกรุนแรงขนาดนั้น…”
“ไม่บอก? งั้นก็ช่างเถอะ” หลิงม่อหัวเราะพลางส่ายหน้า จากนั้นก็ยื่นมือไปคว้าร่างชายแว่นดำขึ้น แล้วหันไปบอกเขาว่า “แกอย่ามาเสียใจภายหลังกับการตัดสินใจของตัวเองล่ะ”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ชายถือท่อนเหล็กพยายามตะเกียกตะกายปีนขึ้นไปบนตาข่ายเหล็ก แต่ตอนนี้แม้แต่แขนขาตัวเองเขาก็ยังควบคุมไม่ได้ แล้วจะปีนขึ้นไปได้อย่างไร?
ชายถือท่อนเหล็กทำได้เพียงมองดูหลิงม่อลากตัวชายแว่นดำหายลับเข้าไปในความมืดต่อหน้าต่อหน้า จากนั้นก็ทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง
นิ้วมือของเขาเกี่ยวรูตาข่ายเหล็กไว้แน่น พลางพึมพำด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก “จบกัน…”
“เร็วเข้า!”
มู่เฉินลากเหล่าหลันวิ่งออกมาจากประตูทางเข้า จากนั้นก็กลั้นใจวิ่งออกมาไกลอีกประมาณสิบกว่าเมตร แล้วจึงค่อยหยุดพัก
พอเห็นเขาทำหน้าตื่นตระหนก หลันหลันก็ตระหนกตามทันที “เป็นอะไรไป?”
“ข้างหน้ามีคนอยู่” มู่เฉินพูดเสียงเบา
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า…นิพพานมีการเตรียมการมานานแล้ว?” เหล่าหลันถามอย่างกังวลใจ
มู่เฉินพยักหน้าอย่างหนักใจ จากนั้นก็ค่อยๆ ยกมีดขึ้น ก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วบอกว่า “พวกเธอหนีไปก่อน หาที่หลบข้างหน้านั่น ฉันจะคุ้มกันหลังให้…”
“นี่! เจ้าทึ่ม ทางนี้!”
ทันใดนั้น เสียงอันคุ้นเคยก็ดังออกมาจากพุ่มหญ้า และคำพูดอันฮึกเหิมและเลือดร้อนของมู่เฉินก็ถูกกลืนลงคอไปแทบไม่ทัน
กล้ามเนื้อบนใบหน้าเขากระตุกยิกๆ จากนั้นก็หันไปบอกกับหลันหลันและเหล่าหลันที่กำลังทำหน้าสงสัยว่า “คนของพวกเราเอง…”
“อย่างนั้นเองหรอ…” หลันหลันกระพริบตาปริบๆ แล้วพยักหน้า
“คำพูดเมื่อกี้…ลืมมันไปซะเถอะ” มู่เฉินพูดเสียงเบา
“ไม่คิดเลยว่าจะมีคนมาคอยรับพวกนายด้วย!” เหล่าหลันดูตื่นเต้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด
มู่เฉินพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ฉันเองก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน…เจ้าหัวหน้าทีมจอมหลอกลวงนั่น! เขาไม่เคยบอกอะไรกับฉันเลย!”
—————————————————————————–