พื้นที่สีเขียวในมหาลัยแพทย์ไม่ธรรมดา ภายในเวลาเกือบหนึ่งปีหลังจากเกิดภัยพิบัติ หญ้ารกที่กลายพันธุ์ไปเริ่มฉวยโอกาสเติบโตและยืดใบยาวเฟื้อยขึ้นไม่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้น พวกหลิงม่อก็ไม่สามารถเดินในพงหญ้าไปได้ตลอด
ที่มู่เฉินตะโกนบอกว่าไม่มีทางเดินแล้ว ความจริงเขาหมายถึงลานกว้างข้างหน้าที่จู่ๆ ก็โปผล่ขึ้นมา และจากมุมที่เขายืนอยู่ เขาสามารถมองเห็นรูปปั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น รวมถึงอาคารหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลได้อย่างชัดเจน แต่ “เส้นทาง” ที่อยู่ข้างหน้ากลับหายไปแล้ว ห่างออกไปประมาณสิบเมตร มีแต่ต้นหญ้ารกแน่นหนา ใบหญ้าคมๆ เหล่านั้นแค่มองแวบเดียวก็ทำให้คนรู้สึกเจ็บไปทั้งตัวแล้ว
หลิงม่อกำลังคุยกับซย่าน่าและเย่เลี่ยนอย่างอยู่ข้างหน้า ดังนั้นจึงมีแค่มู่เฉินคนเดียวที่สังเกตเห็น
“อย่าทำตัวตื่นตูมนักสิ”
ซย่าน่าก้าวไปข้างหน้า เธอยกเคียวดาบในมือกวัดแกว่งลงไป ต้นหญ้ารกหนาข้างหน้าก็ถูกแหวกออกเป็นทางเดิน
“ที่แท้ก็อำพรางเส้นทางไว้นี่เอง…” มู่เฉินเก้อเขิน
“ถูกต้อง ด้านหน้านี้เป็นลานกว้าง หลังจากเดินฝ่าออกไปจากตรงนี้ แล้วเดินเข้าไปในพงหญ้าทางนั้นอีกซักระยะ เราก็จะเดินไปถึงรั้วชั้นนอกสุดแล้ว ที่นี่ไม่มีทางอื่นให้เดินอ้อมแล้ว เราเลยจำเป็นต้องทำอย่างนี้” ซย่าน่าบอก
“ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางเร็วหน่อย เดินฝ่าออกไปแล้วยังต้องหาทางเข้าอีก” หลิงม่อพยักหน้าบอก
เพื่อทำให้เหล่าทหารไล่ล่าไขว้เขว และปกปิดร่องรอยให้มิดชิด พวกเย่เลี่ยนได้ทำการอำพรางเส้นทางหลบหนีเส้นนี้ทันทีที่สร้างมันขึ้นมาแล้ว
อย่างเช่นจุดที่พวกเข้ามาในพงหญ้า มันเป็นจุดที่อยู่ในมุมที่ไม่สะดุดตาเลยแม้แต่น้อย แถมยังตั้งใจทิ้งพุ่มหญ้ารกที่ดูเหมือนไม่เคยถูกสัมผัสมาก่อนเพื่อำพรางไว้อีกด้วย ทว่าต่อมาพวกเขาก็เดินแหวกหญ้าอยู่ในพื้นที่สีเขียวตลอด จนกระทั่งเมื่อเดินอ้อมมาไกลมากแล้ว พวกเขาจึงเดินมาถึงจุดสิ้นสุดของพื้นที่สีเขียวในที่สุด
ต้นหญ้าถูกแหวกออกอย่างรวดเร็ว และไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงขอบลานกว้างแห่งนั้น
เมื่อมองลอดออกไปจากพุ่มหญ้า จะสามารถเห็นทัศนียภาพทั้งหมดของลานกว้างได้ทันที
ลานกว้างแห่งนี้ไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่มาก ตรงกลางเป็นบ่อน้ำพุที่กักขังน้ำเน่าเสียเอาไว้ รอบข้างมีกระถางดอกไม้รกร้างมากมายวางประดับตกแต่งไว้ บนม้านั่งตัวยาวที่ขึ้นสนิมยังมีโครงกระดูกและเศษผ้าเปื้อนเลือดห้อยโตงเตงอยู่ เมื่อลมกลางคืนพัดผ่าน เสาไฟฟ้าโคลงเคลงก็ส่งเสียงดัง “เอี๊ยดอ๊าดๆๆ” ไม่หยุด
สิ่งก่อสร้างสไตล์ยุโรปที่อยู่ไม่ไกลหลังนั้นถูกเปิดประตูทิ้งไว้ ด้านหลังบานหน้าต่างมืดๆ เหล่านั้นราวกับมีเงาร่างมากมายกำลังโฉบไหวไปมา แต่พอดูดีๆ ก็จะเห็นว่ามันเป็นเพียงผ้าม่านเก่าๆ เท่านั้น…
ตัวลานกว้างเชื่อมติดกับถนนสองสาย ทำให้พื้นที่สีเขียวถูกแยกห่างออกไปพอดี
ดูจากสภาพแวดล้อม พวกหลิงม่อได้เดินอ้อมมาจนถึงพื้นที่ลับตาของมหาลัยแพทย์แล้ว โดยพื้นที่ลับตานี้หมายถึงลับตาจากนิพพานสำนักงานใหญ่นั่นเอง
“พื้นที่ที่ถูกนิพพานใช้งาน ก็คงจะมีแต่พื้นที่ที่มีอุปกรณ์การทดลองพวกนั้นสินะ?” หลิงม่อถาม
เหล่าหลันพยักหน้า แล้วบอกว่า “ฉันเองก็ไม่เคยมาที่นี่เลย…”
แต่ถึงที่นี่จะดูน่าวังเวงอีกแค่ไหน สำหรับพวกหลิงม่อมันก็ยังถือเป็นเรื่องธรรมดามาก
แม้แต่ในสายตาของสองพ่อลูกแซ่หลันที่เป็นพวก “ชอบหมกตัวอยู่แต่ในห้อง” ก็ยังมีแต่ความอยากรู้อยากเห็น ไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“กระดูกคนตายมีอะไรน่ากลัวกัน ฉันก็แค่รู้สึกพะอืดพะอมนิดหน่อยเวลาเห็นภาพนองเลือดเท่านั้นเอง…”
พอเห็นหลิงม่อหันกลับมามองตัวเองด้วยสายตาไม่วางใจ หลันหลันก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“งั้นหรอ?”
ซย่าน่าเองก็หันมามองหลันหลัน พลางยกยิ้มมุมปากเบาๆ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ที่เธอรู้สึกพะอืดพะอม เพราะเธอเห็นแค่เลือด แต่กลับมองไม่เห็นพลังชีวิตที่พุ่งกระฉูดออกมาในวินาทีนั้นไงล่ะ…”
“ต้องเป็นคนแบบไหนถึงจะเห็นอะไรแบบนั้นในเวลาอย่างนั้นได้…” หลันหลันขนลุกซู่โดยอัตโนมัติ
มู่เฉินมองหลันหลันด้วยสายตาเหมือนกำลังเห็นใจ เด็กสาวคนนี้ถือว่าเป็นวัยรุ่นหัวดื้อมากแล้ว แต่พอเทียบกับซย่าน่ายังถือว่าห่างชั้นกันอีกไกลทีเดียว…
“ไปกันเถอะ”
หลิงม่อยืนสังเกตการณ์อยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้น
เมื่อพุ่มหญ้ากอสุดท้ายถูกแหวกออก ทุกคนก็เดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
เย่เลี่ยนเดินอยู่ข้างหน้าสุด เธอยกมือขึ้นเสยผมที่เกลี่ยแก้มทัดหลังหู จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ตะ…ตามฉันมา…”
หายากที่เธอจะเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน พอเธอพูดจึงกลายเป็นว่าดึงดูดความสนใจของทุกคนไปทันที
เงาร่างบอบบางและสูงโปร่งภายใต้เงาจันทร์ ม่านตาสีดำลึกล้ำราวกับบ่อน้ำลึก รวมถึงกลิ่นอายประหลาดที่คล้ายไม่ใช่กลิ่นอายของมนุษย์แผ่ซ่านอยู่รอบตัวเธอ…
แม้แต่หลิงม่อก็ยังนิ่งงันไปชั่ววินาที ในขณะที่คิดในใจว่าคนทั่วไปอาจจินตนาการไม่ถึง ว่าเชื้อไวรัสที่ส่งผลร้ายแรงและอันตรายถึงชีวิต จะสามารถสร้างความงดงามอย่างที่สุดแบบนี้ขึ้นมาได้ด้วย…
เหล่าหลันยกมือขึ้นตบไหล่หลิงม่ออย่างโศกเศร้าอีกครั้ง แล้วบอกว่า “จู่ๆ ฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีกลุ่มปราบความเชื่อนอกรีต*ขึ้นมา เป้าหมายของพวกเขาคือเผาพวกรักร่วมเพศให้ตาย แต่จริงๆ แล้วในบางความหมาย มันก็บ่งบอกความรู้สึกของฉันตอนนี้ได้ดีเลยล่ะ…” ( กลุ่มปราบความเชื่อนอกรีต หรือ กองกำลัง FFF จากการ์ตูนเรื่อง Summon the Beasts)
“ในฐานะนักวิจัย ทำไมลุงต้องจำเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาชีพเลยอย่างนี้ได้ขึ้นใจล่ะ?” หลิงม่อทำหน้าหมดคำพูด
“นายต้องเข้าใจความรู้สึกของพ่อที่อยากทำความเข้าใจลูกสาวสิ…” เหล่าหลันถอนหายใจ
“ผมว่าลุงยอมแพ้เรื่องนั้นดีกว่า” หลิงม่อบอก แต่สายตาเขากลับฉายแววประหลาดขึ้นมาปราดหนึ่ง
“กองกำลัง F งั้นหรอ…”
ขณะที่กำลังเดินผ่านน้ำพุ ทุกคนต่างอดมองเข้าไปในน้ำเน่าเสียที่อยู่ในบ่อไม่ได้
ผิวน้ำที่แน่นิ่งไม่ไหวติง วัชพืชยาวเฟื้อยที่เลื้อยออกมาจากก้นบ่อ…ไม่รู้ว่าหลิงม่อรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่เขารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังแหวกว่ายอยู่ใต้ผิวน้ำ
“คงไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่แล้วมั้ง…” หลิงม่อคิดในใจ แต่ขณะเดียวกันเขากลับเหลือบไปเห็นหลันหลันกำลังจ้องมองในบ่อน้ำด้วยความฉงนสงสัย
เธอแทบจะแนบตัวชิดขอบบ่อน้ำทั้งตัว ในขณะที่โน้มร่างกายท่อนบนไปข้างหน้า จนใบหน้าสะท้อนชัดอยู่บนผิวน้ำ
“นี่!” หลิงม่อเพิ่งจะตะโกนเรียก แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง “ซ่า” พร้อมกับเห็นเงาสีดำหนึ่งพุ่งตัวออกมาจากผิวน้ำอย่างรวดเร็ว
เงาดำนั้นรวดเร็วมาก เมื่อทุกคนหันไปมองเพราะได้ยินเสียง มันก็พุ่งตัวเข้าใกล้ศีรษะหลันหลันมากแล้ว
ท่ามกลางความเร่งรีบ หลิงม่อไม่ได้มองรูปร่างมันให้ชัด แต่กลับเห็นเงาวิบวับตรงส่วนหัวของมัน
“มันมีฟันด้วย!”
“สวบ!”
ทันใดนั้นเคียวดาบของซย่าน่าก็พุ่งเข้ามาจากด้านข้าง และในวินาทีที่กำลังจะถูกจู่โจม หลันหลันเองก็ก้าวถอยไปข้างหลังราวกับถูกดึงกะทันหัน เธอเซไปเล็กน้อยก่อนจะยืนอย่างมั่นคง
เธอลูบใบหน้าตัวเอง แล้วเลื่อนมือไปลูบบริเวณเอว จากนั้นก็หันมามองหน้าหลิงม่อด้วยสีหน้าซีดเผือด
“อย่าอยากรู้อยากเห็นไปทุกอย่างสิ โลกภายนอกมันอันตรายนะ” สีหน้าของหลิงม่อดูเคร่งเครียดเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่หลันหลันแสดงท่าทางอยากรู้อยากเห็น เขาไม่ทันฉุกคิดว่าอาจเกิดอันตรายอย่างนี้ขึ้น ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตกใจจริงๆ กลับเป็นเงาดำนั่น ดวงแสงแห่งจิตของสิ่งนั้นเล็กมาก แล้วมันยังซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำ จึงไม่แปลกที่เมื่อกี้เขาตรวจจับไม่เจอ
เสี้ยววินาทีที่ซย่าน่าแทงดาบเข้าไป หลิงม่อเองก็ใช้พลังบีบรัดดวงจิตโจมตีเสริมได้อย่างเหมาะเจาะด้วยเช่นกัน เจ้าเงาดำนั่นสูญเสียความสามารถในการควบคุมไปชั่วขณะ ทำให้ถูกเคียวดาบแทงทะลุร่างพอดี
ทว่าขณะที่ซย่าน่าดึงเคียวดาบกลับมา เงาดำนั้นยังกระตุกสั่นคาปลายดาบอยู่
“นั่นอะไรน่ะ?”
เย่เลี่ยนเดินเข้าไปดูอย่างฉงน เธอยกใบหญ้าที่เด็ดสุ่มๆ ขึ้นมาถูตามตัวเจ้าเงาดำสองสามที
ไม่นาน เลือดหนืดๆ หยดหนึ่งก็ปรากฏอยู่บนใบหญ้า ในขณะที่ทุกคนต่างย่นจมูกพร้อมๆ กัน
“กลิ่นโคตรฉุนเลย!”
มีเพียงหลิงม่อที่คิดต่างจากทุกคน “เจ้าสิ่งนี้ทำไมเหมือนถูกพ่นด้วยโคโลญจน์เลยล่ะ…”
“ความเข้มข้นของเชื้อไวรัสในร่างกายของมันสูงมาก” เหล่าหลันรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วพูดขึ้น
“แต่มันเป็นตัวอะไรกันแน่?” หลิงม่อเองก็เดินเข้าไปดูอย่างละเอียด แต่จู่ๆ เขากลับพบว่าสิ่งมีชีวิตที่ดำราวกับน้ำหมึกนี้ดูคุ้นตาอยู่ไม่น้อย…
“นี่มันปลาคราฟไม่ใช่หรอ!”
“ปลาคราฟจะกลายพันธุ์ได้ยังไง!” มู่เฉินเหมือนไม่ค่อยเชื่อนัก
เหล่าหลันกลับพยักหน้าหลังจากสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง “เป็นปลาคราฟจริงๆ ก่อนกลายพันธุ์มันอาจยาวถึงสิบนิ้วอยู่แล้ว”
“แต่ตามหลักแล้วขนาดตัวนั่นมัน…” มู่เฉินยังอยากจะค้านต่อ แต่หลิงม่อกลับนึกถึงหนูที่เคยเจอในเมืองชุ่ยหู
หนูทั่วไปจะตัวใหญ่ได้แค่ไหนกัน? ขนาดพวกมันยังปรากฏลักษณะขั้นแรกของการกลายพันธุ์แล้ว แล้วยิ่งเป็นปลาตัวใหญ่ขนาดนี้ล่ะ?
หลังจากที่กลายพันธุ์ เจ้าปลาคราฟตัวนี้ก็มีเรี่ยวแรงและองศาการบิดงอลำตัวที่แตกต่างไปจากปลาธรรมดามากแล้ว
ขณะเดียวกับที่ดิ้นขัดขืนอย่างแรง มันยังอ้าปากออกเล็กน้อยด้วย เผยให้เห็นซี่ฟันเล็กและแหลมคม มองแวบแรกดูเหมือนเครื่องมือแหลมคมรูปทรงกลม
“ในนี้คงเคยมีศพตกลงไป” หลิงม่อวิเคราะห์
พอเขาพูดคำว่า “เคย” สีหน้าของมู่เฉินกับหลันหลันก็ซีดไปเล็กน้อย แล้วสายตาที่พวกเขามองเจ้าปลาคราฟตัวนี้ก็หลงเหลือเพียงความหวาดกลัว
“เชื้อไวรัสเริ่มแพร่กระจายในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…” เหล่าหลันรำพึง
“วางใจ ผมจะดูแลพวกลุงให้ปลอดภัยอะ…”
หลิงม่อยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเหล่าหลันพูดต่อว่า “ช่างดีเหลือเกิน ฉันว่าแล้วว่าการตัดสินใจออกมาเป็นเรื่องที่ถูกต้อง! ข้างนอกนี้มีอะไรให้วิจัยเพียบเลย…”
พูดไป เขาก็ยกฝ่ามือขึ้นถูไปมา แม้แต่ดวงตาก็เปล่งประกายระยิบระยับ
ไม่นานเขาก็ดึงสติกลับมา แล้วหันไปถามหลิงม่ออย่างคาดหวังว่า “เอาเจ้าปลาคราฟตัวนี้ไปด้วยได้ไหม?”
“ทำให้มันตายก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ…”
ผ่านไปเพียงไม่นาน จู่ๆ สีหน้าของหลิงม่อก็เปลี่ยนไป
เขาหันหน้ากลับไปมองถนนหนึ่งในสองสายนั้นอย่างรวดเร็ว “มีคนมาแล้ว”
“ทำไมตามมาถึงนี่ได้ล่ะ?” มู่เฉินตระหนก พลางเร่งเร้า “พวกเราหลบกันก่อนดีไหม?”
“ไม่ทันแล้ว” หลิงม่อหันไปมองพื้นที่สีเขียวที่อยู่อีกด้านหนึ่ง พลางคำนวณระยะทางในใจเงียบๆ
ย้อนกลับไป? แต่อย่างนั้นจะยิ่งไม่ปลอดภัยน่ะสิ…
พอสถานการณ์ทางสำนักงานใหญ่สงบลง ทีมค้นหาที่ถูกส่งตัวมาก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
“ทำยังไงดี?” หลันหลันถาม
หลิงม่อมองชายแว่นดำที่ถูกมู่เฉินฉุดกระชากลากถูกมาตลอดทาง แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า “พอดีเลย ได้จังหวะจัดการภาระที่ทำให้ห่วงหน้าพะวงหลังพอดี”
ถึงพวกเขาจะหนีออกจากมหาลัยแพทย์ไปได้ในวันนี้ แต่ต่อไปพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับการตามล่าแบบพลิกแผ่นดินจากนิพพานอยู่ดี
พวกนั้นมีผู้มีความสามารถพิเศษจำนวนมาก การจะตามหาพวกหลิงม่อจึงไม่ใช่เรื่องยาก
แต่หลิงม่อยังมีเรื่องต้องทำอีกมากมาย หากต้องถูกพวกนั้นตามรังควานอยู่ตลอด คงจะต้องวุ่นวายมากอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถึงแม้จะไม่สามารถทำให้พวกนั้นล้มเลิกการไล่ล่าไปเลย แต่อย่างน้อยก็ยังซื้อเวลาให้พวกเราได้บ้าง” หลิงม่อพูดด้วยรอยยิ้ม
ขณะเดียวกัน ชายแว่นดำที่ถูกหลิงม่อจ้องอยู่ก็ดิ้นพล่านอย่างแรง ปากก็เปล่งเสียง “อื้อๆๆๆ” ไม่หยุด…